ปัจจุบันผมอายุ 36 แล้วนะครับ จะมาย้อนคำพูดของพวกผู้ใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา จากการกล่าวหาว่าผมเป็นเกย์บ้าง กระเทยบ้าง ตุ๊ดบ้าง ซึ่งคำพูดแบบนั้นมันเป็นคำพูดที่บั่นทอนจิตใจคนเราได้เลยนะ เมื่อตอนผมยังเด็กๆ สีผิวอาจจะออกขาวหน่อยนึง และผอมๆ เลยอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลภายนอกมองว่าเป็น เกย์บ้าง ตุ๊ดบ้าง ซึ่งตัวผมเองย่อมรู้ดีว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ความคิดของผู้ใหญ่สมัยก่อนมักยัดเยียดให้เรา ภาพนี้ตอนเด็กๆ น่าจะอายุสัก 8 ปี
เมื่อตอนผมอยู่ ม.2 อายุน่าจะประมาน 13-14 ปี ผมก็จะมีแก๊งค์ที่เตะฟุตบอลและเล่นเกมกับเพื่อนๆ หลายคน แถวบ้านแต่จะสนิทด้วยกันมากคนนึง ชื่อ คิง ที่ผมชอบไปเล่นเกมที่ร้านเกมและเตะบอลกับเขาด้วยกันประจำ บางครั้งก็คุยกันจนดึกไม่กลับบ้านจนแม่ต้องให้พี่สาวมาตาม ด้วยความที่ว่าเราเป็นเด็กผู้ชายก็มีเดินกอดคอกันเป็นประจำ บางครั้งอาจจะลืมตัวมีการจับมือกันพากันไปเล่นเกมบ้างในบางครั้ง ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้คนอื่นมองไม่ดีก็ได้ และบางครั้งผมก็เดินกอดคอเพื่อนๆ คนอื่นที่ไม่ใช่ คิง เหมือนกัน แต่แล้วมีอยู่วันนึงคนแถวบ้านที่รู้จักพูดขึ้นมาว่า เฮ้ยๆ คู่เกย์มาแล้วๆ ผมและเพื่อนก็มองหน้าไปแล้วก็ งง แต่ไม่สนใจ อาจจะเพราะยังเด็กเลยไม่อยากไปทะเลอะกับผู้ใหญ่ และเนื่องจากบ้านผมเป็นร้านทำผมผู้หญิงเลยอาจจะมีคนมองว่า ผมต้องเป็นเกย์บ้าง กระเทยบ้าง ตุ๊ดบ้าง มันอาจจะติดมากันได้ ในความคิดตอนเด็กนั้น พอระยะเวลาผ่านไปเรื่อย ยิ่งมีเสียงหนาหูขึ้นมาอีก ว่าคู่เกย์มาแล้วอีกแล้วไปไหนกันมา ไปทำอะไรมา ได้กันหรือยัง คือแต่ละคำพูดบอกได้เลย ขนาดเด็ก ม.1 ม.2 ยังสะอึกเลย ตอนแรกคิดว่าแซวเล่นๆ พูดเล่นๆ แต่จากพูดกันแค่คนเดียว กลายเป็นพูดหลายคน กลายเป็นเพื่อนๆ ที่สนิทในแก็งค์เตะบอลก็เอามาล้อกันว่าเราเป็นคู่เกย์กันบ้าง รักกันบ้าง คำพูดคนอื่นยังไม่เท่ากับคำพูดเพื่อนตัวเองเลย จะต่อยกันเรื่องเพราะเรื่องปากเสียแบบนี้ก็หลายครั้ง ซึ่งวัยนั้นเป็นช่วงที่ติดเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ เวลาเพื่อนไม่อยู่ก็จะเหงาๆ บ้างไม่มีคนเล่นเกมด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ จนมีอยู่วันนึงเพื่อนของสาวประเภทสอง ที่บ้านที่เป็นช่างทำผม ซึ่งเป็นสาวประเภทสองเหมือนกันและตัวใหญ่มาก บ้านเขาอยู่ตรงกลางซอยที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ มีอยู่วันนึงเขาเจอผมเดินอยู่คนเดียวกลางซอย เขารีบเข้ามาทำท่าจะกระชากผมเข้าไปในบ้าน ผมรีบดึงตัวเองออกมาก่อนเลย แล้วเขาบอกว่าสนใจมั้ยเดียวพี่ทำให้ เดียวให้ 500 บาท ผมบอกได้เลยว่าน่ากลัวมากๆ ลองนึกภาพดูผู้ชายตัวใหญ่ๆ ซึ่งตอน ม.2 ผมสูง 165 ก็คิดว่าตัวสูงแล้วนะ เจอสาวประเภทสองคนนั้นยังกลัวเลย ผมได้แต่ยืนอึ้ง นิ่ง ไม่ตอบอะไรแล้วรีบเดินไปเลย ซึ่งหลังจากนั้นถ้าเจอเขาอีกเขาก็จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกสุดท้ายถ้าเจอเขายืนอยู่หน้าบ้านเขาผมจะไม่เดินผ่านเลย จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก หลังจากเรียนจบ ม.3 เป็นช่วงที่กำลังจะขึ้น ม.ปลายพวกเพื่อนแถวบ้านก็มีอันต้องย้ายถิ่นฐานกันไปหมด รวมทั้งผมด้วยเลยไม่ได้เจอสาวประเภทสองนั้นอีกเลย
ช่วงอายุ 16 - 18 ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากเรียนหนังสือ เตะบอล เล่นเกม
มาตอนอายุ 20 ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ย้ายบ้านมาผมก็ได้สนิทกับน้องแถวบ้านคนนึง ชื่อนัท อายุน้อยกว่าผม 5 ปี เราสนิทกันมากเพราะชอบเล่นเกมเหมือนกัน เตะบอลเหมือนกัน และเล่นด้วยกันเป็นประจำ พากันออกไปเล่นเกมที่ร้านข้างนอกกันบ่อยๆ จนมาวันนึงแม่กับพี่ผมเตือนว่า อย่าพาลูกเขาไปเล่นเกมข้างนอกแล้วนะ มันไม่ดีส่วนผมก็ งง ทำไมมันไม่ดี ไม่เข้าใจจนมาวันนึงเจอแฟนของพี่สาวนัท ที่รู้จักกันก็แซวบอกอ่าวๆ คู่เกย์นี้ไปไหนกันอีกแล้วหรอ เลยมานึกคำพูดของแม่กับพี่สาวได้ หรือว่าทางครอบครัวนัทเขามาบอกว่าเราพาลูกเขาไปติดเกม หรืออาจจะคิดไปมากกว่านั้น แต่แล้วก็ยังพากันไปเล่นเกมกันอยู่ดี เพราะพวกเราสนิทกันมากถึงขั้นเดินขึ้นมาปลุกถึงบนห้องได้เลย แม่กับพี่สาวผมเลยกลัวว่าผมจะเกย์ไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยมีแฟนตั้งแต่เด็กมาเลย มีแต่เพื่อนผู้ชาย แต่แล้วจนมาวันนึงที่แก็งค์เตะบอลเหมือนเดิมซึ่งคนเตะบอลก็จะมีอายุมาก อายุน้อยบ้างตามวัย อยู่ดีๆ แม่กับป้าของเด็กผู้ชายสองคนที่เตะบอลกับผมบ่อยๆ เขาก็มายืนด่าผมบอกว่าท่าทางก็เหมือนกระเทยบ้าง เหมือนตุ๊ดบ้าง ปากก็แดง จะไม่ให้ลูกชายมาเตะบอลด้วย ผมละ งง เลย อะไรของเขาก็ชวนกันเตะบอลเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยซักหน่อยก็เตะบอลอยู่แถวใกล้ๆ บ้านพวกเราด้วยซ้ำไป ครั้งน้ันถึงกับหน้าชาเพราะโดนด่ากลางวงเล่นฟุตบอลเลย ด้วยความถูกยัดเยียดอีกครั้งนึง และครั้งนี้เราโตพอที่จะแยกแยะได้แล้วว่าที่เขามาว่าเราแบบนี้มันไม่เหมาะสม และคราวนี้โตแล้วเลยสวนกลับไปว่าผมไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่กระเทยนะ พูดแบบนี้ไม่ถูก เขาก็ไม่ฟังพาน้องที่เตะบอลสองคนกลับบ้านเลย สุดท้ายขาดคนเล่นบอลไปนานเลย หรืออาจจะเพราะได้ยินจากคนแถวนั้นพูดกันมาปากต่อปากก็ได้ และนี่เป็นอีกครั้งที่ถูกยัดเยียดความเป็นเกย์ กระเทย ตุ๊ดให้อีกครั้ง และแล้วชีวิตนี้ก็หนีพวกสาวประเภทสองไม่เคยพ้น ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดีเมื่อก่อนเล่นสงกรานต์ก็ต้องข้าวสาร ผมก็นัดกับเพื่อนที่บ้านเพื่อน ตอนกำลังเดินผ่านปากซอยทางเข้าบ้านเพื่อนเจอแก็งค์สาวประเภทสองดักอยู่ ผมมองเห็นแต่ไกลแล้วแต่ทำเดินเฉยๆ เขาตะโกนบอกมาเลยว่าน้องแว่นคนนั้นอ่ะ อย่าหนีนะ ผมก็เดินเลี่ยงๆ ไป สุดท้ายโดนดึงเขาไปหอมแก้มหลายที พอไปรวมกลุ่มกันเสร็จที่บ้านเพื่อนก็ไปเดินเล่นน้ำสรงกรานต์ที่ข้าวสาร กำลังเดินเล่นน้ำปะแป้งปกติในสมัยก่อน ก็เจอแก๊งค์สาวประเภทสองอีกแล้ว คราวนี้แก๊งค์ใหญ่ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรเพราะคนเยอะขนาดนั้น รวมทั้งมีเพื่อนๆ ไปด้วยตั้งหลายคนคงไม่เป็นไร พอเดินไปถึงสาวประเภทสองแต่ละคน ไม่พูดพร่ำอะไรเลย ลากผมเข้าไปที่มุมจับเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงขาสั่นผมจับปิกาจูน้อยเข้าให้ไม่รู้ว่ากี่มือๆ แถมโดนหอมแก้มและจูบอีก พวกเพื่อนๆ ก็ดันไม่ยอมมาช่วยมันเดินไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้แล้วกว่าจะออกมาได้แทบเละ ไม่รู้ชีวิตนี้ไปโดนใจอะไรหนักหนากับสาวประเภทสองและเกย์ๆ หลังจากนั้นมาไม่กล้าไปข้าวสารเล่นน้ำสรงกรานต์อีกเลยกลัวโดนรุมอีก พอโตมาหน่อยเริ่มทำงาน ....... เดียวมาต่อนะครับปวดหลังแล้วพิมพ์นานไปหน่อย
เมื่อผมเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เด็กจนโต แล้วชอบถูกผู้ชายลวนลาม
เมื่อตอนผมอยู่ ม.2 อายุน่าจะประมาน 13-14 ปี ผมก็จะมีแก๊งค์ที่เตะฟุตบอลและเล่นเกมกับเพื่อนๆ หลายคน แถวบ้านแต่จะสนิทด้วยกันมากคนนึง ชื่อ คิง ที่ผมชอบไปเล่นเกมที่ร้านเกมและเตะบอลกับเขาด้วยกันประจำ บางครั้งก็คุยกันจนดึกไม่กลับบ้านจนแม่ต้องให้พี่สาวมาตาม ด้วยความที่ว่าเราเป็นเด็กผู้ชายก็มีเดินกอดคอกันเป็นประจำ บางครั้งอาจจะลืมตัวมีการจับมือกันพากันไปเล่นเกมบ้างในบางครั้ง ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้คนอื่นมองไม่ดีก็ได้ และบางครั้งผมก็เดินกอดคอเพื่อนๆ คนอื่นที่ไม่ใช่ คิง เหมือนกัน แต่แล้วมีอยู่วันนึงคนแถวบ้านที่รู้จักพูดขึ้นมาว่า เฮ้ยๆ คู่เกย์มาแล้วๆ ผมและเพื่อนก็มองหน้าไปแล้วก็ งง แต่ไม่สนใจ อาจจะเพราะยังเด็กเลยไม่อยากไปทะเลอะกับผู้ใหญ่ และเนื่องจากบ้านผมเป็นร้านทำผมผู้หญิงเลยอาจจะมีคนมองว่า ผมต้องเป็นเกย์บ้าง กระเทยบ้าง ตุ๊ดบ้าง มันอาจจะติดมากันได้ ในความคิดตอนเด็กนั้น พอระยะเวลาผ่านไปเรื่อย ยิ่งมีเสียงหนาหูขึ้นมาอีก ว่าคู่เกย์มาแล้วอีกแล้วไปไหนกันมา ไปทำอะไรมา ได้กันหรือยัง คือแต่ละคำพูดบอกได้เลย ขนาดเด็ก ม.1 ม.2 ยังสะอึกเลย ตอนแรกคิดว่าแซวเล่นๆ พูดเล่นๆ แต่จากพูดกันแค่คนเดียว กลายเป็นพูดหลายคน กลายเป็นเพื่อนๆ ที่สนิทในแก็งค์เตะบอลก็เอามาล้อกันว่าเราเป็นคู่เกย์กันบ้าง รักกันบ้าง คำพูดคนอื่นยังไม่เท่ากับคำพูดเพื่อนตัวเองเลย จะต่อยกันเรื่องเพราะเรื่องปากเสียแบบนี้ก็หลายครั้ง ซึ่งวัยนั้นเป็นช่วงที่ติดเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ เวลาเพื่อนไม่อยู่ก็จะเหงาๆ บ้างไม่มีคนเล่นเกมด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ จนมีอยู่วันนึงเพื่อนของสาวประเภทสอง ที่บ้านที่เป็นช่างทำผม ซึ่งเป็นสาวประเภทสองเหมือนกันและตัวใหญ่มาก บ้านเขาอยู่ตรงกลางซอยที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ มีอยู่วันนึงเขาเจอผมเดินอยู่คนเดียวกลางซอย เขารีบเข้ามาทำท่าจะกระชากผมเข้าไปในบ้าน ผมรีบดึงตัวเองออกมาก่อนเลย แล้วเขาบอกว่าสนใจมั้ยเดียวพี่ทำให้ เดียวให้ 500 บาท ผมบอกได้เลยว่าน่ากลัวมากๆ ลองนึกภาพดูผู้ชายตัวใหญ่ๆ ซึ่งตอน ม.2 ผมสูง 165 ก็คิดว่าตัวสูงแล้วนะ เจอสาวประเภทสองคนนั้นยังกลัวเลย ผมได้แต่ยืนอึ้ง นิ่ง ไม่ตอบอะไรแล้วรีบเดินไปเลย ซึ่งหลังจากนั้นถ้าเจอเขาอีกเขาก็จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกสุดท้ายถ้าเจอเขายืนอยู่หน้าบ้านเขาผมจะไม่เดินผ่านเลย จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก หลังจากเรียนจบ ม.3 เป็นช่วงที่กำลังจะขึ้น ม.ปลายพวกเพื่อนแถวบ้านก็มีอันต้องย้ายถิ่นฐานกันไปหมด รวมทั้งผมด้วยเลยไม่ได้เจอสาวประเภทสองนั้นอีกเลย
ช่วงอายุ 16 - 18 ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากเรียนหนังสือ เตะบอล เล่นเกม
มาตอนอายุ 20 ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ย้ายบ้านมาผมก็ได้สนิทกับน้องแถวบ้านคนนึง ชื่อนัท อายุน้อยกว่าผม 5 ปี เราสนิทกันมากเพราะชอบเล่นเกมเหมือนกัน เตะบอลเหมือนกัน และเล่นด้วยกันเป็นประจำ พากันออกไปเล่นเกมที่ร้านข้างนอกกันบ่อยๆ จนมาวันนึงแม่กับพี่ผมเตือนว่า อย่าพาลูกเขาไปเล่นเกมข้างนอกแล้วนะ มันไม่ดีส่วนผมก็ งง ทำไมมันไม่ดี ไม่เข้าใจจนมาวันนึงเจอแฟนของพี่สาวนัท ที่รู้จักกันก็แซวบอกอ่าวๆ คู่เกย์นี้ไปไหนกันอีกแล้วหรอ เลยมานึกคำพูดของแม่กับพี่สาวได้ หรือว่าทางครอบครัวนัทเขามาบอกว่าเราพาลูกเขาไปติดเกม หรืออาจจะคิดไปมากกว่านั้น แต่แล้วก็ยังพากันไปเล่นเกมกันอยู่ดี เพราะพวกเราสนิทกันมากถึงขั้นเดินขึ้นมาปลุกถึงบนห้องได้เลย แม่กับพี่สาวผมเลยกลัวว่าผมจะเกย์ไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยมีแฟนตั้งแต่เด็กมาเลย มีแต่เพื่อนผู้ชาย แต่แล้วจนมาวันนึงที่แก็งค์เตะบอลเหมือนเดิมซึ่งคนเตะบอลก็จะมีอายุมาก อายุน้อยบ้างตามวัย อยู่ดีๆ แม่กับป้าของเด็กผู้ชายสองคนที่เตะบอลกับผมบ่อยๆ เขาก็มายืนด่าผมบอกว่าท่าทางก็เหมือนกระเทยบ้าง เหมือนตุ๊ดบ้าง ปากก็แดง จะไม่ให้ลูกชายมาเตะบอลด้วย ผมละ งง เลย อะไรของเขาก็ชวนกันเตะบอลเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยซักหน่อยก็เตะบอลอยู่แถวใกล้ๆ บ้านพวกเราด้วยซ้ำไป ครั้งน้ันถึงกับหน้าชาเพราะโดนด่ากลางวงเล่นฟุตบอลเลย ด้วยความถูกยัดเยียดอีกครั้งนึง และครั้งนี้เราโตพอที่จะแยกแยะได้แล้วว่าที่เขามาว่าเราแบบนี้มันไม่เหมาะสม และคราวนี้โตแล้วเลยสวนกลับไปว่าผมไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่กระเทยนะ พูดแบบนี้ไม่ถูก เขาก็ไม่ฟังพาน้องที่เตะบอลสองคนกลับบ้านเลย สุดท้ายขาดคนเล่นบอลไปนานเลย หรืออาจจะเพราะได้ยินจากคนแถวนั้นพูดกันมาปากต่อปากก็ได้ และนี่เป็นอีกครั้งที่ถูกยัดเยียดความเป็นเกย์ กระเทย ตุ๊ดให้อีกครั้ง และแล้วชีวิตนี้ก็หนีพวกสาวประเภทสองไม่เคยพ้น ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดีเมื่อก่อนเล่นสงกรานต์ก็ต้องข้าวสาร ผมก็นัดกับเพื่อนที่บ้านเพื่อน ตอนกำลังเดินผ่านปากซอยทางเข้าบ้านเพื่อนเจอแก็งค์สาวประเภทสองดักอยู่ ผมมองเห็นแต่ไกลแล้วแต่ทำเดินเฉยๆ เขาตะโกนบอกมาเลยว่าน้องแว่นคนนั้นอ่ะ อย่าหนีนะ ผมก็เดินเลี่ยงๆ ไป สุดท้ายโดนดึงเขาไปหอมแก้มหลายที พอไปรวมกลุ่มกันเสร็จที่บ้านเพื่อนก็ไปเดินเล่นน้ำสรงกรานต์ที่ข้าวสาร กำลังเดินเล่นน้ำปะแป้งปกติในสมัยก่อน ก็เจอแก๊งค์สาวประเภทสองอีกแล้ว คราวนี้แก๊งค์ใหญ่ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรเพราะคนเยอะขนาดนั้น รวมทั้งมีเพื่อนๆ ไปด้วยตั้งหลายคนคงไม่เป็นไร พอเดินไปถึงสาวประเภทสองแต่ละคน ไม่พูดพร่ำอะไรเลย ลากผมเข้าไปที่มุมจับเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงขาสั่นผมจับปิกาจูน้อยเข้าให้ไม่รู้ว่ากี่มือๆ แถมโดนหอมแก้มและจูบอีก พวกเพื่อนๆ ก็ดันไม่ยอมมาช่วยมันเดินไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้แล้วกว่าจะออกมาได้แทบเละ ไม่รู้ชีวิตนี้ไปโดนใจอะไรหนักหนากับสาวประเภทสองและเกย์ๆ หลังจากนั้นมาไม่กล้าไปข้าวสารเล่นน้ำสรงกรานต์อีกเลยกลัวโดนรุมอีก พอโตมาหน่อยเริ่มทำงาน ....... เดียวมาต่อนะครับปวดหลังแล้วพิมพ์นานไปหน่อย