[Titanic] ทำไมจนท. ดูแลเรือ ไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งก่อน Titanic ชนเหรอครับ ?

พอดีนั่งดูไททานิค อีกรอบ แล้วก้สงสัยฉากชนภูเขาน้ำแข็งน่ะครับ
ทำไม จนท.ถึงไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งล่วงหน้าในระยะไกลเหรอครับ ทั้งที่สมัยนั้นน่าจะมีกล้องส่องทางไกลแล้ว
ถ้าเห็นไกลๆ ก็น่าจะเลี้ยวหลบทัน ตอนนั้น มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ไม่เห็นน้ำแข็งก่อนพอจะเลี้ยวทันเหรอครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ประเด็นที่สาม
เรื่องรู้ว่าน้ำแข็งเยอะแต่ก็สั่งวิ่งเต็มที่ + เรื่องมีเรืออยู่ใกล้ไททานิคแค่ 30 นาที + เรือที่อยู่ใกล้เห็นจุดพลุแล้วนึกว่างานฉลอง + เรื่องวิทยุโทรเลขเสียอยู่เลยไม่ได้คำเตือนหรือติดต่อไม่ได้ + เรื่องเรือคู่แข่งอยู่ใกล้และอ้างว่าไม่มีเวรยาม


ข้อเท็จจริง :

จริงครับที่มีเรือใกล้มากที่สุดอยู่ คือเรือแคลิฟอร์เนียน ที่ห่างออกไปราว 30 ไมล์และสามารถมาช่วยได้ทันเวลาจนผู้เสียชีวิตไม่น่าจะมากขนาดนี้ แต่ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของการสื่อสารหรืออุปกรณ์ครับ เป็น "ความผิดพลาดของคน" หรือเฉพาะเจาะจงก็ "เจ้าหน้าที่โทรเลข" นี่ล่ะครับ ทั้งสองฝ่ายเลยก็ว่าได้

ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง (เอกสารบางแหล่งระบุว่า 6 ครั้ง) จากเรือเดินสมุทรในสายแอตแลนติกเหนือ อาทิ จากเรือ อาร์เอ็มเอส แคโรเนีย (RMS Caronia), อาร์เอ็มเอส บอลติก, เอสเอส อเมริกา (SS Amerika) [22], เอสเอส แคลิฟอร์เนียน (SS Californian) และ เอสเอส เมซาบา (SS Mesaba) ฯลฯ และที่ร้ายก็คือ เมื่อเวลา 21.45 น. ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนว่ามีภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่ในเส้นทางข้างหน้า แต่พนักงานวิทยุโทรเลขไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตันหรือเจ้าหน้าที่เรือคนใดเลย ทั้งนี้ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้แก่ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นเหตุให้กัปตัน (หรืออิสเมย์) สั่งเร่งความเร็วสูงสุด 23 น้อตนั่นเอง ซึ่งต่อมา 22 นาฬิกา 50 นาที เรือเดินสมุทร แคลิฟอร์เนียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ส่งข่าวเตือนไททานิก

พนักงานโทรเลขของเรือแคลิฟอเนียน พยายามเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งกับไททานิกว่ามีธารน้ำแข็งใหญ่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ทำให้ต้องหยุดเรือเพราะไม่สามารถไปต่อได้ แต่ก็ต้องถูกตัดบทโดยพนักงานโทรเลข แจ็ค ฟิลลิป ที่กำลังยุ่งและอารมณ์ไม่ดีจากการที่ผู้โดยสารต้องการใช้บริการมากมายจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น จึงได้ตอบกลับไปยังเรือแคลิฟอร์เนียนว่า "Shut up, shut up, I am busy; I am working Cape Race" ทำให้เรือแคลิฟอร์เนียนถึงกับเหวอ (ก็อาจจะโกรธล่ะนะ หวังดีแต่โดนตอบมาแบบนั้น) แต่เขาก็ตัดสินใจอยู่ไปอีกสักครู จากนั้นเมื่อ 23.30 เขาก็ตัดสินใจปิดการสื่อสารแล้วเข้านอนไป

เหตุการณ์หลังจากนั้นเมื่อเรือชน Titanic ส่งสัญญาณ CQD ออกไป การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในสมัยนั้นจริงๆจะใช้สัญญาณ CQD (Come Quick Danger) ซึ่งในตอนแรกก็ใช้สัญญาณนั้น ส่วน SOS นั้นเป็นสัญญาณใหม่ ซึ่งพอหลังๆฟิลลิปเห็นว่า CQD ไม่ได้ผล จึงเริ่มส่งสัญญาณ SOS ออกไป ซึ่งถือว่าเป็นเรือลำแรกในโลกที่ใช้ SOS ในการขอความช่วยเหลือ ซึ่งพอเรือใกล้จม แจ็ค ฟิลลิปพยายามส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆอย่างบ้าคลั่ง (เหมือนกับรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนละมั้ง) และปฏิเสธที่จะหนีจากการชวนของ แฮโรลด์ ไบรด์ เพื่อนเจ้าหน้าที่โทรเลขอีกคน ทำให้ผลสุดท้ายไบรด์รอดชีวิตแต่ถูกหิมะกัดเท้า ส่วนฟิลลิปนั้นเสียชีวิต

เกร็ดน่ารู้ : เนื่องจากในสมัยนั้นบริษัทโทรเลขไม่ได้ขึ้นตรงกับเรือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของมาร์โคนี่ และหน้าที่หลักของห้องโทรเลขในสมัยนั้นคือ บริการผู้โดยสาร เนื่องจากสมัยนั้นมีโทรศัพท์ใช้แล้วก็จริง แต่เนื่องจากโทรศัพท์บนเรือกับแผ่นดินนั้นยังไม่มี การติดต่อโทรเลขจึงสำคัญมาก เพราะการเดินเรือนั้นบางทีกินเวลาเป็นสัปดาห์เป็นเดือน ส่วนหน้าที่ในการติดต่องานเรือนั้นเป็นเรื่องรอง และยังไม่มีระบบการส่งข้อความถึงกับตันอย่างเป็นรูปเป็นร่างอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่ทำไมไม่ไปช่วยนั้น ไม่ใช่เพราะไม่เห็นเรือหรือคิดว่าจุดพลุเพราะงานฉลองนะครับ

เรือแคลิฟอร์เนียนเห็นสัญญาณทุกอย่าง และเห็นเรืออยู่ลิบ ๆ ด้วย ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ ตัวกับตัน Stanley Lord โดนประนามอย่างหนักเลยทีเดียว แต่เมื่อมีการสืบพยานหลักฐาน และดูผลจากการคำนวณหลาย ๆ อย่างแล้วก็ต้องถือว่า "ปรากฏการณ์ธรรมชาติ" เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมาก. ๆครับ แต่จะไปโทษธรรมชาติอย่างเดียวเลยก็ไม่ได้ อย่างที่บอก เจ้าหน้าที่เรือเองก็มีส่วนเช่นกัน

เรื่องปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นได้อธิบายไปในประเด็นก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขอขยายเกี่ยวกับเรื่องสัญญาณขอความช่วยเหลือจากพลุ รหัสมอส ในประเด็นนี้ครับเพราะมันเกี่ยวเนื่องกันกับประเด็นก่อนหน้าในเรื่องปรากฎการณ์ธรรมชาติจากน้ำนิ่ง อากาศเย็นจัด ไอน้ำ และก่อให้เกิดภาพลวงตา

จากการให้การของกัปตันและลูกเรือของเรือแคลิฟอร์เนียนบอกตรงกันว่าเห็นพลุสัญญาณที่เรือไททานิกยิงขึ้นขอความช่วยเหลือ แต่ก็สับสนว่ามันเป็นพลุสัญญาณอะไร เนื่องจากพวกเขาเห็นพลุสัญญาณพุ่งขึ้นไม่สูงนัก และเป็นพลุขาว (อันนี้ไททานิกพลาดไม่เตรียมพร้อมพลุแดง เพราะชะล่าใจไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรฉุกเฉิน)

และซ้ำร้ายเมื่อเจ้าหน้าที่บนเรือส่องกล้องส่องทางไกลไปดู เขาไม่รู้ว่าเรือลำนั้นคือไททานิกครับ เพราะเห็นว่าเรือที่ยิงพลุขึ้นมามีลักษณะแปลก ๆ ท้องเรือกว้างผิดเรือเดินสมุทรทั่วไป เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเรือไททานิกหรือไม่ และจากการที่ดาวเต็มฟ้าคืนนั้นและจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากความเย็นนั้นมันส่งภาพลวงตาลงมา ทำให้มองไกล ๆ ไม่รู้ว่าแสงแวบ ๆ อะไร เพราะมันคล้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างจากตัวเรือ แสงจากดาว หรือแสงจากพลุ เลยไม่รู้ว่าเป็นพลุขอความช่วยเหลือหรือไม่

ต่อมามีคนลองไปจำลองเหตุการณ์ที่สก็อตแลนด์ ว่าถ้ามีดาวอยู่เต็มฟ้า แล้วเรืออีกลำส่งสัญญาณอะไรมา จะเกิดแบบเดียวกันหรือไม่ ปรากฎว่าเหมือนกัน คือก็เห็นแวบๆ แต่ไม่รู้ว่าสัญญานอะไรกันแน่...

อีกอย่างกัปตันของแคลิฟอร์เนียนก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรือไททานิกจะขอความช่วยเหลือมา เพราะเขาเป็นเรือลำเล็ก ๆ ก็นึกว่าเรือสุดยิ่งใหญ่จะมาขอความช่วยเหลือได้ไง มันจะจมได้อย่างไร พอตื่นเช้ามาเท่านั้นแหละถึงรู้ว่าไททานิกจม

และหลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้มีกฏการเดินเรือเพิ่มขึ้น นั่นคือจะต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำห้องสื่อสารตลอด 24 ชม. ครับ

เสริมเรื่องพลุอีกนิด เป็นความประมาทล้วน ๆ อย่างที่บอก คือพลุสีแดงควรมีสำหรับเหตุฉุกเฉินแต่ไททานิกดันไม่มี แงะเมื่อพิจารณาหลาย ๆ อย่างแล้วทำให้สืบสวนจนพบว่า เหมือนไม่มีการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินเลยสำหรับไททานิก เรื่องพลุก็น่าจะไม่มีคนซีเรียสครับ เลยไม่ได้เอามา เพราะคิดว่าคงไม่มีเหตุฉุกเฉินอะไร
และซ้ำด้วยเรื่องเรือชูชีพที่เรือสามารถจุได้เต็มที่จริงๆ ลำ ซึ่งเพียงพอและเหลือเฟือกับผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 2,228 คน แต่ดันออกแบบมาเพียง 32 ลำ (เพียงพอตามกฎหมาย) ซึ่งก็ไม่พอจริง ๆ อยู่แล้ว แถมพอก่อนออกเรือจรอง กลับถูกบรรจุแค่ 20 เพราะคิดว่าเกะกะดาดฟ้าให้ผู้โดยสารเดินเล่น!!!

ทั้งหมดนี้ เพราะต่างคิดว่า เรือลำนี้ "ไม่มีวันจม"
ความประมาท เผลอเรอ และหยิ่งผยองของมนุษย์ล้วน ๆ

อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Californian
http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1320.php
https://jusci.net/node/2516


ประเด็นที่ 4
ถ้าชนตรง ๆ จะเสียหายน้อกว่า

เหมือนมีการถกนานแล้วในห้องหว้ากอ แต่กระทู้เก่ามาก โดยจากการทดลองและการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน สรุปได้ว่าหากไททานิกวัดใจแบบไม่เลี้ยวชนตรงไปเลยนั้น เรืออยู่ได้ไม่เกิน 30 นาทีอย่างแน่นอน ไม่เหลือ 2 ชั่วโมงให้ดราม่ากันได้ขนาดนี้แน่ แผลจากการชนข้างกราบขวานั้น ไม่ใช่รอยใหญ่ยาว แต่เป็นรอยขนาดย่อม ๆ ไม่กี่เมตร จำนวน 6 แผล แต่กินความยาวโดยรวมจนทำให้น้ำท่วมไปถึง 5 ห้อง (ลิมิตของห้องกั้นน้ำคือ 4 ห้อง เรือถึงจะยังอยู่ได้ แต่ประตูเสียหายจากการไหม้ของห้องถ่านหินจึงทำให้น้ำทะลุไป 5 ห้อง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของเรือ

———-
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อธิบายเพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงตามหลักฐานหลาย ๆ อย่างนะครับ
ไม่ได้มีเจตนาจะอวดรู้หรืออะไร แต่ในฐานะแฟนตัวยงของไททานิก (ทั้งเรือในประวัติศาสตร์ และหนังด้วย) จึงอยากแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องครับ

ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่