บาเคอร์
บทนำ
ราณีแตะแหวนซึ่งร้อยไว้ด้วยสร้อยเงินและสวมติดคอมานานเกือบสิบปีด้วยความเคยชิน บ่อยครั้งที่การกระทำนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว เหตุก็เพราะนี่คือความอุ่นใจที่ยึดมั่นมาแสนนาน ราวกับว่าเจ้าของแหวนวงนี้อยู่เคียงข้างเสมอ แม้แต่ในเวลานี้ก็ตาม
หัวแหวนนั้นเป็นทองคำขาวสลักลวดลายที่ดูออกไม่ยากว่าเป็นผู้ชายเครายาว ผมยาว มีผ้าโพกศีรษะ สองข้างของลำตัวเป็นปีกนกที่กำลังแผ่สยายกว้าง และเขากำลังน้าวคันธนูซึ่งประสานเข้ากับพื้นหลังจนดูราวเป็นเนื้อเดียวกัน สัญญลักษณ์นี้เรียกร้องความสนใจใครๆ ที่ได้เห็นอยู่เสมอ เพื่อนร่วมงานของเธอทุกคนรู้ว่านี่คือตราของอาณาจักรสุเมเรียน จึงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมาย แต่สำหรับคนแปลกหน้า ถ้ามีใครถาม เธอไม่เคยรั้งรอที่จะสาธยายถึงที่มาที่ไป หากทว่าสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เคยบอกใครคือเรื่องที่ว่าเธอได้มันมาอย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่ต้องการเก็บไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว ต้องการเก็บความทรงจำของคืนวันนั้น…ในท่ามกลางสงครามและความเป็นความตายรอบด้าน…ไว้ในซอกมุมล้ำลึกที่สุดของหัวใจตลอดไป
หากทว่าเคฟฟิเยห์ที่คลุมไหล่ของเธอในเวลานี้ต่างออกไป ไม่เคยมีใครสนใจผ้าฝ้ายทอด้วยมือลายตาตารางผืนนี้นอกจาก เจเน็ต แคลลีย์ บรรณาธิการหนังสือกึ่งวิชาการเล่มแรกที่เธอเขียนและตีพิมพ์เมื่อสี่ปีก่อน
‘เคฟฟิเยห์ใช้ได้ทั้งคลุมไหล่ทั้งโพกศีรษะแหละค่ะเจเน็ต ในอิรัคระยะหลังๆ นี่ผู้ชายนิยมแต่งตัวแบบพื้นเมือง แล้วโพกหัวด้วยเคฟฟิเยห์ รัดด้วยอะกัลเพื่อแสดงให้เห็นถึงเผ่าของตัวเองกันมากขึ้น แต่ละเผ่ามีรูปแบบการโพกหัวด้วยเคฟฟิเยห์เป็นของตัวเองด้วยนะคะ ผู้นำเผ่าก็จะมีอะกัลที่เป็นเกลียวเชือกรัดเคฟฟิเยห์ในรูปแบบของตัวเอง’
ราณีพึงพอใจเสมอที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นมาและเป็นไปของประเทศที่เธอรัก…ประเทศของคนที่เธอรัก
‘เขียนเรื่องของเขาสิคะ ด็อกเตอร์ อัลฟาซี…’
ราณีใช้นามสกุลของเขามาร่วมสิบปีแล้วแม้ไม่เคยได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และทั้งยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสถานภาพการสมรสของเขาในเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ในประเทศนี้ของเธอ ใครจะเปลี่ยนนามสกุลเป็นอะไร จะใช้นามสกุลอะไรและของใครก็ได้ทั้งนั้น
‘…ปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดของประเทศนั้น แล้วต่อมาหลังสงครามก็กลายเป็นกบฏ เขาเป็นทั้งหมดนั้นทั้งๆ ที่มีเชื้อสายคาลเดียน นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในประเทศที่ประชากรเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาอิสลาม แถมเป็นลูกครึ่งตะวันตกด้วยอีก ไม่ธรรมดาเลยนะคะ’
แต่แล้วดูเหมือนหล่อนจะมีความคิดที่ดีกว่านั้น
‘ไม่ใช่สิ เขียนเรื่องของคุณทั้งสองคน เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว’
ในเวลานั้น ในท่ามกลางแดดอ่อนยามเย็นหน้าร้านอาหาร ราร์รอส อันเลื่องชื่อกลางกรุงวอชิงตันดีซี เป็นร้านอาหารประจำของเธอเพราะตั้งอยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุด ราณีได้แต่ยิ้ม
…เรื่องราวของ ‘เขา’ กับเธออย่างนั้นหรือ จะเริ่มต้นตรงไหน จะเริ่มอย่างไร และควรจบอย่างไรในเมื่อจนถึงขณะนี้เธอยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
บาเคอร์ (บทนำ)
บทนำ
ราณีแตะแหวนซึ่งร้อยไว้ด้วยสร้อยเงินและสวมติดคอมานานเกือบสิบปีด้วยความเคยชิน บ่อยครั้งที่การกระทำนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว เหตุก็เพราะนี่คือความอุ่นใจที่ยึดมั่นมาแสนนาน ราวกับว่าเจ้าของแหวนวงนี้อยู่เคียงข้างเสมอ แม้แต่ในเวลานี้ก็ตาม
หัวแหวนนั้นเป็นทองคำขาวสลักลวดลายที่ดูออกไม่ยากว่าเป็นผู้ชายเครายาว ผมยาว มีผ้าโพกศีรษะ สองข้างของลำตัวเป็นปีกนกที่กำลังแผ่สยายกว้าง และเขากำลังน้าวคันธนูซึ่งประสานเข้ากับพื้นหลังจนดูราวเป็นเนื้อเดียวกัน สัญญลักษณ์นี้เรียกร้องความสนใจใครๆ ที่ได้เห็นอยู่เสมอ เพื่อนร่วมงานของเธอทุกคนรู้ว่านี่คือตราของอาณาจักรสุเมเรียน จึงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมาย แต่สำหรับคนแปลกหน้า ถ้ามีใครถาม เธอไม่เคยรั้งรอที่จะสาธยายถึงที่มาที่ไป หากทว่าสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เคยบอกใครคือเรื่องที่ว่าเธอได้มันมาอย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่ต้องการเก็บไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว ต้องการเก็บความทรงจำของคืนวันนั้น…ในท่ามกลางสงครามและความเป็นความตายรอบด้าน…ไว้ในซอกมุมล้ำลึกที่สุดของหัวใจตลอดไป
หากทว่าเคฟฟิเยห์ที่คลุมไหล่ของเธอในเวลานี้ต่างออกไป ไม่เคยมีใครสนใจผ้าฝ้ายทอด้วยมือลายตาตารางผืนนี้นอกจาก เจเน็ต แคลลีย์ บรรณาธิการหนังสือกึ่งวิชาการเล่มแรกที่เธอเขียนและตีพิมพ์เมื่อสี่ปีก่อน
‘เคฟฟิเยห์ใช้ได้ทั้งคลุมไหล่ทั้งโพกศีรษะแหละค่ะเจเน็ต ในอิรัคระยะหลังๆ นี่ผู้ชายนิยมแต่งตัวแบบพื้นเมือง แล้วโพกหัวด้วยเคฟฟิเยห์ รัดด้วยอะกัลเพื่อแสดงให้เห็นถึงเผ่าของตัวเองกันมากขึ้น แต่ละเผ่ามีรูปแบบการโพกหัวด้วยเคฟฟิเยห์เป็นของตัวเองด้วยนะคะ ผู้นำเผ่าก็จะมีอะกัลที่เป็นเกลียวเชือกรัดเคฟฟิเยห์ในรูปแบบของตัวเอง’
ราณีพึงพอใจเสมอที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นมาและเป็นไปของประเทศที่เธอรัก…ประเทศของคนที่เธอรัก
‘เขียนเรื่องของเขาสิคะ ด็อกเตอร์ อัลฟาซี…’
ราณีใช้นามสกุลของเขามาร่วมสิบปีแล้วแม้ไม่เคยได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และทั้งยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสถานภาพการสมรสของเขาในเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ในประเทศนี้ของเธอ ใครจะเปลี่ยนนามสกุลเป็นอะไร จะใช้นามสกุลอะไรและของใครก็ได้ทั้งนั้น
‘…ปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดของประเทศนั้น แล้วต่อมาหลังสงครามก็กลายเป็นกบฏ เขาเป็นทั้งหมดนั้นทั้งๆ ที่มีเชื้อสายคาลเดียน นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในประเทศที่ประชากรเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาอิสลาม แถมเป็นลูกครึ่งตะวันตกด้วยอีก ไม่ธรรมดาเลยนะคะ’
แต่แล้วดูเหมือนหล่อนจะมีความคิดที่ดีกว่านั้น
‘ไม่ใช่สิ เขียนเรื่องของคุณทั้งสองคน เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว’
ในเวลานั้น ในท่ามกลางแดดอ่อนยามเย็นหน้าร้านอาหาร ราร์รอส อันเลื่องชื่อกลางกรุงวอชิงตันดีซี เป็นร้านอาหารประจำของเธอเพราะตั้งอยู่ใกล้ที่ทำงานที่สุด ราณีได้แต่ยิ้ม
…เรื่องราวของ ‘เขา’ กับเธออย่างนั้นหรือ จะเริ่มต้นตรงไหน จะเริ่มอย่างไร และควรจบอย่างไรในเมื่อจนถึงขณะนี้เธอยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่