สวัสดีครับ วันนี้ผมขออนุญาตมาแชร์ประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 5 วันที่แล้วในการเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศทาจิกิสถาน ทวีปเอเชียกลาง
ทริปนี้ผมเดินทางกันผู้ชาย 3 คน เป็นการท่องเที่ยวลักษณะแบกแพค ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมีจุดมุ่งหมายใน 3 ประเทศคือ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และ ทาจิกิสถาน กับ 2 ประเทศแรกนั้นทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ สนุกสนาน สวยงามประทับใจ แต่มาเกิดเรื่องกันช่วงวันสุดท้าย ใกล้ๆจะเดินทางกลับในประเทศทาจิกิสถาน
เหตุเกิดที่กรุงดูชานเบ้ เมืองหลวงของประเทศ พวกผมออกมาเดินเล่นกันในตัวเมืองซึ่งไม่ไกลจากโฮสเทลที่พักเพื่อหาข้าวกลางวันทาน ซึ่งเป็นเช้าวันแรกที่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงแห่งนี้หลังจากเที่ยวธรรมชาติ ต่างจังหวัด ภูเขาอะไรพวกนี้มาหลายวัน เดินแค่ประมาณ 15 นาทีจากที่พักก็เข้าสู่กลางใจเมืองซึ่งจะมีอาคารรัฐบาล สถานที่สำคัญหลายแห่งตั้งอยู่ ผมและเพื่อนสังเกตเห็นตำรวจในป้อมเล็กๆริมถนนมองเรา 3 คนอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่เดินผ่านไป
ประมาณ 50 เมตรจากตรงนั้นพวกผมหยุดถ่ายรูปรถเมล์ราง (ไม่แน่ใจว่าใช้คำถูกหรือไม่แต่เป็นลักษณะรถเมล์ที่มีสายเคเบิ้ลลากตามจากด้านบน) ซึ่งดูเก่าแก่ ดูเป็นเอกลักษณ์ของเมือง สักพักตำรวจหนึ่งคนเดินมาโวยวายเป็นภาษารัสเซียแล้วบอกว่าห้ามถ่ายภาพ ชี้ๆไปที่กล้องแล้วก็ว่าพวกเรา พร้อมทั้งให้เราดูป้ายห้ามถ่ายซึ่งตั้งอยู่หน้าบริเวณอาคารของ UN ด้านหลังของพวกเรา พวกเราขอโทษแล้วพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่ได้ถ่ายภาพอาคารด้านหลังแต่ถ่ายภาพรถเมล์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมทั้งโชว์หลักฐานให้ดูซึ่งก็มีแต่ภาพรถเมล์และไม่มีส่วนใดของอาคารต้องห้ามเข้ามาอยู่ในภาพทั้งนั้น ตำรวจไม่ยอม พยายามเรียกเราทั้ง 3 คนเข้าไปในป้อม ตอนแรกเราพยายามเดินหนี แต่มีตำรวจอีกนายออกมาจากป้อมแล้วกวักมือเรียกพวกเราด้วยอาการฉุนเฉียว พวกผมเห็นว่าอยู่กลางใจเมือง ริมถนนใหญ่ คงไม่มีอะไรมาก เลยยอมเดินตาม
เข้าไปในป้อมตำรวจสองคนยึดมือถือ 1 ในสมาชิกของเราไปแล้วบอกว่าห้ามถ่ายๆ สักพักมีเจ้าหน้าที่อีก 1 นายที่พอพูดภาษาอังกฤษได้เดินเข้ามา ผมพยายามอธิบายว่า ผมไม่ได้ถ่ายภาพอาคาร ผมถ่ายแต่ภาพรถเมล์ เจ้าหน้าที่หันไปคุยกันเองแล้วหันมาบอกผมเป็นภาษาอังกฤษว่า "คุณถ่ายแต่คุณลบไปแล้ว" เจ้าหน้าที่ให้เอาหนังสือเดินทางมาดู พวกผมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นก็ตกใจ รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรม ดูยัดเยียดข้อกล่าวหา และดูไม่น่าไว้วางใจ จึงแกล้งบอกตำรวจไปว่าหนังสือเดินทางอยู่ที่โฮสเทลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ พวกเราแค่เดินออกมาหาข้าวกลางวันทาน ไม่ได้พกมาด้วย เจ้าหน้าที่ดูลังเลปรึกษากันเป็นภาษารัสเซีย แล้วบอกให้กลับไปเอาได้แค่คนเดียวที่เหลือให้รอที่ป้อม ผมจึงให้เพื่อนๆรอแล้ววิ่งกลับไปที่โฮสเทล รีบขอความช่วยเหลือจากพนักงาน พนักงานบอกว่าตำรวจเค้าต้องการเงินจากคุณแน่ๆ
พนักงานลุกออกมาจากเคาน์เตอร์ทันที แล้วโทรหาใครก็ไม่ทราบ หลังจากนั้นพาผมเดินจากโฮสเทลไปหาคุณตำรวจอีกหนึ่งคนซึ่งประจำอยู่แถวนั้น คุณตำรวจเอารถมารับแล้วพาขับไปที่จุดเกิดเหตุ คุณตำรวจถามผมว่าคนที่เรียกเราเข้าไปในป้อมแต่งตัวเหมือนเค้าหรือไม่ ผมบอกว่าใช่ครับ แล้วบนบ่าเค้ามีกี่ดาว ผมพยายามนึกภาพแต่ก็จำไม่ได้ เลยบอกไปว่าไม่แน่ใจแต่ไม่น่าจะมีดาว ตำรวจบอกว่าอยู่กับผมแล้วไม่ต้องห่วงแถวนี้ผมดูแลอยู่
พอถึงป้อมที่เพื่อนอีก 2 คนรออยู่ ผมก็กล้าๆกลัวๆเดินตามคุณตำรวจและพนักงานโฮสเทลเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในป้อมรีบเดินออกมาทักและทำความเคารพคุณตำรวจที่มากับผม ทั้งหมดพูดคุยกันเป็นภาษารัสเซีย พนักงานโฮสเทลหันมาบอกพวกเราว่าไม่เป็นไร สบายใจได้ เค้าไม่ได้จะทำอะไรคุณ เค้าแค่ต้องการตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่าว่าเข้าเมืองมาอย่างถูกต้องหรือไม่ พวกผมยื่นเอกสารทั้งหมดให้ตรวจสอบแต่โดยดี พวกเราทุกคนจับมือกันแล้วแยกย้าย แต่ยังค้างคาใจอยู่ก็คือท่าทีตอนแรกของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดกับตอนหลังที่ผมพาคนมาช่วยคุยนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ตอนแรกดูข่มขู่และไม่เป็นมิตรอย่างแรง ดูจะเอาเรื่องพวกเราให้ได้ที่ไปถ่ายภาพรถเมล์ แต่ตอนหลังกลับกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส
พวกเราออกมาจากป้อม แล้วนั่งพักทำใจกันสักครู่ในสวนสาธารณะ ผมถามเพื่อนทั้ง 2 ว่า ระหว่างที่ผมวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือที่โฮสเทลนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อนบอกว่าตำรวจในป้อมไม่คืนมือถือให้สักทีแล้วทำท่าเหมือนจะขอเงิน โดยใช้นิ้วดีดขึ้นๆลงๆเป็นเชิงสัญลักษณ์ จริงอยู่ทั้งหมดมันเป็นแค่ความรู้สึกของพวกเรา ตำรวจยังไม่ได้เอ่ยปากและยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่พฤติกรรมและท่าทีที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมไปถึงการถูกยัดเยียดว่าถ่ายภาพตึก และการที่เรายังไม่ได้ทำอะไรผิดค่อนข้างทำให้พวกผมมั่นใจในความรู้สึกนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไม่ออกอุบายขอกลับไปเอาหนังสือเดินทางและขอความช่วยเหลือจากพนักงานโฮสเทลอะไรจะเกิดขึ้น
บอกตรงๆนาทีนั้นพวกผมหมดอารมณ์เที่ยวเลยครับ นี่ขนาดยังไม่เสียตังค์ สัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจของตำรวจในประเทศนี้ ถึงแม้ว่าคนที่มาช่วยเราจะเป็นตำรวจเหมือนกันก็ตาม แต่ความรู้สึกมันไปแล้ว ระหว่างวันพวกเราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ที่สำคัญวันนั้นแทบไม่ได้ถ่ายรูปยกกล้องขึ้นมากันอีกเลย เพราะไม่รู้จะไปโดนหาเรื่องอีกเมื่อไหร่
วันรุ่งขึ้นเป็นกำหนดเดินทางกลับ พวกเรารีบไปสนามบินล่วงหน้าก่อนเครื่องออกหลายชั่วโมง ถึงเวลาเชคอินโหลดกระเป๋าทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ พอเสร็จขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ทันใดนั้นมีเครื่อง x-ray ตั้งอยู่ ซึ่งไม่ใช่ x-ray ตรวจของเหลว อาวุธ วัตถุต้องห้าม รักษาความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่องอะไรพวกนั้น เป็นด่านเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ 3 คน ซึ่งมาบอกผมทีหลังว่าเป็นศุลกากร หนึ่งในนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว ทั้งหมดให้พวกผมเอากระเป๋า hand carry เข้าเครื่องแล้วขอดูหนังสือเดินทาง ถามผมว่ามาทำอะไร แน่นอนครับผมตอบว่ามาเที่ยว หลังจากนั้นถามผมว่ามีเงินสดเท่าไร ยังไม่ทันจะตอบเจ้าหน้าถามย้ำอีกครั้ว่ามีพกเงินยูเอสมาเท่าไรในกระเป๋า ผมบอกไม่แน่ใจ แต่น่าจะมีประมาณ 300 กว่าๆ (ที่ไม่แน่ใจเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางและยังไม่ได้คำนวนรายจ่ายทั้งหมด ไม่รู้ว่าใช้ไปเท่าไร นอกจากนี้ก็ยังมีเงินสกุลอื่นๆอย่างละนิดอย่างละหน่อยไม่ว่าจะเป็นยูโร ปอนด์ ฮ่องกงดอลลาร์ หยวนและมาเลเซียริงกิตเหลือจากทริปอื่นๆก่อนหน้า ซึ่งไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าใส่เงินเดินทาง จึงยังไม่ได้แจ้งจำนวนเป๊ะๆที่แน่นอน แต่ผมบอกว่าจะเปิดให้ดู)
เจ้าหน้าที่เรียกพวกเราเข้าไปในห้องเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พร้อมทั้งให้เอาเงินสดออกมาให้หมด เจ้าหน้าที่วางเรียงกันทีละสกุลเงินบนโต๊ะ แล้วห้ามเราแตะต้องเหมือนเป็นของกลาง พร้อมถามเราว่ามีเก็บไว้ที่อื่นอีกไหม ผมบอกว่าไม่มีแล้ว เจ้าหน้าค้นซอกเล็กซอกน้อยตามกระเป๋าแล้วถามย้ำอีกครั้งว่ามั่นใจนะว่าไม่มีแล้ว ผมบอกว่ามั่นใจได้ครับ ทีนี้กลับมาที่เงินสดที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ เจ้าหน้าที่คำนวนเป็นเงิน USD ออกมาได้ประมาณเกือบๆ 600 ดอลล์ ซึ่งมากกว่าที่ผมแจ้งไปตั้งแต่แรก เจ้าหน้าที่ตรวจแบบนี้กับเราทั้ง 3 คนแล้วบอกว่าทุกคนเกินหมด แจ้งไม่ตรงกับที่มี จึงจำเป็นต้องยึดเงินส่วนเกินไว้ทั้งหมด ห้ามนำออกนอกประเทศ
พวกผมพยายามเถียงว่า พวกผมบอกไปก่อนแล้วว่าไม่มั่นใจจริงๆ ได้แต่ประมาณจำนวนคร่าวๆ ถ้าคุณต้องการให้เราแสดงเงินออกนอกประเทศจริงๆ ทำไมไม่เอาใบสำแดงมาให้เรากรอก พวกเราก็จะนับแล้วเขียนลงไปให้หมด พวกผมพร้อมจะแสดงอยู่แล้ว ไม่ต้องการจะปกปิดเลย (มาแบกเป้เที่ยวกับกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป+อาหารกระป๋องแทบจะทุกมื้อ พวกผมไม่ได้พกเงินมาเกินจำนวนที่ศุลกากรกำหนดแน่ๆ) แล้วอีกอย่างตอนแรกคุณก็ถามถึงแค่ USD มาตอนนี้คุณมาเหมารวมหมดทุกสกุลเงินได้ยังไง เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าพวกเราทำผิดกฎหมายศุลกากร แจ้งไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเป็นต้องยึดเงินทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะต้องดำเนินคดีกับคุณ ส่งกลับเข้าเมืองไปทำเอกสาร ต้องเข้าคุก แล้ววันนี้เดินทางไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นบรรยากาศตึงเครียดมาก พวกผมเงียบสักครู่ เจ้าหน้าที่จึงจับพวกเราแยกออกจากกันโดยให้เพื่อนอีกคนที่มีเงินเกินมาไม่มากออกไปก่อน โดยยังคงให้ผมกับน้องอีกคนอยู่ในห้อง ผมว่าบอกนี่มันไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเราเลย มาถามปากเปล่า แล้วก็จะมายึดเงิน เอาอย่างนี้ผมขอใช้สิทธิ์ติดต่อสถานทูตไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ (เอาจริงๆแล้วไม่มีสถานทูตไทยในทาจิกิสถาน ที่ใกล้ที่สุดคงจะเป็นที่กรุงอัสทานา ประเทศคาซัคสถาน) เจ้าหน้าที่บอกว่าสถานทูตช่วยไม่ได้ ผมยืนยันจะขอออกไปโทรหา เจ้าหน้าที่บอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน "I will help you and you have to help me" พอพูดประโยคนี้จบผมมั่นใจเลยว่าโดนรีดไถเงินอีกแน่ๆ พอมั่นใจแบบนี้พวกเราเลยคุยกันเองเป็นภาษาไทยว่าจะไม่ยอมเด็ดขาด
พวกผมอาศัยจังหวะนั้นเงียบต่อ โดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น โชคดีที่เราไปสนามบินไวมากๆ จึงไม่รีบ มีเวลาเป็นลูกไก่ในกำมือให้เจ้าหน้าที่ แล้วเที่ยวบินก็ดีเลย์ไป 1 ชั่วโมงด้วย หนึ่งในนั้นเลยทนไม่ไหวบอกผมว่าเอาแบบนี้ละกัน คุณจ่ายมาให้พวกเรา 100 ดอลล์ (3500 บาท) แล้วผมจะไม่เอาเรื่อง ผมบอกว่าไม่ได้หรอก 100 ดอลล์นี้ พวกผมใช้ได้กันอีกนาน พวกผมบอกไปแล้วว่ามาแบกเป้เที่ยว เงินทุกอย่างต้องเอาไปใช้อีกหลายประเทศ โปรดเข้าใจพวกเราด้วย เจ้าหน้าที่เลยเรียกหัวหน้าเข้ามาในห้อง หัวหน้าบอกว่าให้ดำเนินการทำเอกสารส่งพวกเราเข้าเมืองเลย ไปเข้าคุก โดยที่เอาหนังสือเดินทางพวกผมไปถ่ายเอกสาร พวกผมยังคงดื้อเงียบ ไม่หือไม่อือแต่ไม่จ่าย อยากทำอะไรก็ทำไป
เจ้าหน้าที่ขอนาฬิกาติจิดอลบนข้อมือของน้องที่ไปด้วย ไปตรวจสอบแล้วถามผมว่า ไอ้นี่มันอัดเสียงได้ไหม ผมบอกว่าไม่ได้ เจ้าหน้าที่ดูลังเลแล้วคืนให้เพราะนาฬิกาออกแบบมาคล้ายๆ USB
สุดท้ายเจ้าหน้าที่คงเซ็ง ลดแล้วลดอีกพวกเราก็ยังไม่จ่าย เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ละกัน เอามา 20 ดอลล์ (700 บาท) เป็นค่าดำเนินการแล้วจะปล่อยให้ไปขึ้นเครื่อง ตอนนั้นพวกผมค่อนข้างมั่นใจว่าจับปลอมแน่ๆ ก็เลยยังคงเงียบต่อ จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกว่าจะส่งเรื่องดำเนินการพวกเราไปที่ประเทศอื่นๆ ระวังตัวให้ดี ต่อไปจะมีปัญหากับศุลกากรทุกประเทศเพราะข้อมูลเชื่อมถึงกันหมด พวกเราได้แต่ทำหน้าเศร้าสลด แต่คิดในใจว่า จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่เรายืนยันที่จะไม่จ่ายเด็ดขาด ประหยัดมาทั้งทริปทำไมต้องมาเสียเงินกับเรื่องแบบนี้ด้วย อยู่ในนั้นตั้งแต่ตอนแรกเกือบๆ 40 นาที แต่รู้สึกเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง จนสุดท้ายหัวหน้าเข้ามาอีกครั้ง จึงบอกว่า โอเคคราวนี้เราจะปล่อยพวกคุณไป แต่คราวหน้าพวกคุณโดนแน่ๆ (คิดในใจ เจอแบบนี้ผมไม่มีทางที่จะกลับไปอีกแน่นอน)
ออกมาจากห้องได้พวกผมรีบผ่านตม.แล้ววิ่งไปที่ประตูขึ้นเครื่อง อยากจะออกจากประเทศนี้ให้ไวที่สุดเลยครับ ประมาณ 1.5 ชั่วโมงเครื่องบินมาถึงเมืองอัลมาตี้ ประเทศคาซัคสถานทำให้ทราบว่า มีพี่ผู้หญฺิงคนไทยที่ไปทำงานโดยสารมากับพวกเราบนเที่ยวบินนั้นด้วย ผมจึงถือโอกาสระบายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พี่เค้าฟัง พี่ผู้หญิงและสามีฝรั่งแจ้งว่าเป็นเรื่องปกติของประเทศในแถบนี้ซึ่งเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวบ่อยมากๆ
ถึงแม้ว่าสุดท้ายพวกเราไม่ได้เสียเงินแม้แต่นิดเดียว แต่ความรู้สึกดีๆ ความสวยงามของภูมิประเทศ ธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ศาสนสถาน สถาปัตยกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประทับใจในประเทศนี้กลับหายไปในพริบตาเพราะพฤติกรรมแย่ๆของเจ้าหน้าที่รัฐ กลายเป็นว่าตอนนี้เกลียดประเทศนี้เข้าไส้เลยครับ จำไว้ให้ขึ้นใจ "Tajikistan" ถ้าท่านใดหรือทราบว่าคนรู้จักจะไปเที่ยวประเทศนี้ ก็ฝากเรื่องราวของของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ให้ระวังตัวกันด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านไม่ต้องเจอแบบผม เข็ดจริงๆครับกับประเทศนี้
แชร์ประสบการณ์..โดนรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐขณะท่องเที่ยวในประเทศทาจิกิสถาน
ทริปนี้ผมเดินทางกันผู้ชาย 3 คน เป็นการท่องเที่ยวลักษณะแบกแพค ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมีจุดมุ่งหมายใน 3 ประเทศคือ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และ ทาจิกิสถาน กับ 2 ประเทศแรกนั้นทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ สนุกสนาน สวยงามประทับใจ แต่มาเกิดเรื่องกันช่วงวันสุดท้าย ใกล้ๆจะเดินทางกลับในประเทศทาจิกิสถาน
เหตุเกิดที่กรุงดูชานเบ้ เมืองหลวงของประเทศ พวกผมออกมาเดินเล่นกันในตัวเมืองซึ่งไม่ไกลจากโฮสเทลที่พักเพื่อหาข้าวกลางวันทาน ซึ่งเป็นเช้าวันแรกที่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงแห่งนี้หลังจากเที่ยวธรรมชาติ ต่างจังหวัด ภูเขาอะไรพวกนี้มาหลายวัน เดินแค่ประมาณ 15 นาทีจากที่พักก็เข้าสู่กลางใจเมืองซึ่งจะมีอาคารรัฐบาล สถานที่สำคัญหลายแห่งตั้งอยู่ ผมและเพื่อนสังเกตเห็นตำรวจในป้อมเล็กๆริมถนนมองเรา 3 คนอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่เดินผ่านไป
ประมาณ 50 เมตรจากตรงนั้นพวกผมหยุดถ่ายรูปรถเมล์ราง (ไม่แน่ใจว่าใช้คำถูกหรือไม่แต่เป็นลักษณะรถเมล์ที่มีสายเคเบิ้ลลากตามจากด้านบน) ซึ่งดูเก่าแก่ ดูเป็นเอกลักษณ์ของเมือง สักพักตำรวจหนึ่งคนเดินมาโวยวายเป็นภาษารัสเซียแล้วบอกว่าห้ามถ่ายภาพ ชี้ๆไปที่กล้องแล้วก็ว่าพวกเรา พร้อมทั้งให้เราดูป้ายห้ามถ่ายซึ่งตั้งอยู่หน้าบริเวณอาคารของ UN ด้านหลังของพวกเรา พวกเราขอโทษแล้วพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่ได้ถ่ายภาพอาคารด้านหลังแต่ถ่ายภาพรถเมล์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมทั้งโชว์หลักฐานให้ดูซึ่งก็มีแต่ภาพรถเมล์และไม่มีส่วนใดของอาคารต้องห้ามเข้ามาอยู่ในภาพทั้งนั้น ตำรวจไม่ยอม พยายามเรียกเราทั้ง 3 คนเข้าไปในป้อม ตอนแรกเราพยายามเดินหนี แต่มีตำรวจอีกนายออกมาจากป้อมแล้วกวักมือเรียกพวกเราด้วยอาการฉุนเฉียว พวกผมเห็นว่าอยู่กลางใจเมือง ริมถนนใหญ่ คงไม่มีอะไรมาก เลยยอมเดินตาม
เข้าไปในป้อมตำรวจสองคนยึดมือถือ 1 ในสมาชิกของเราไปแล้วบอกว่าห้ามถ่ายๆ สักพักมีเจ้าหน้าที่อีก 1 นายที่พอพูดภาษาอังกฤษได้เดินเข้ามา ผมพยายามอธิบายว่า ผมไม่ได้ถ่ายภาพอาคาร ผมถ่ายแต่ภาพรถเมล์ เจ้าหน้าที่หันไปคุยกันเองแล้วหันมาบอกผมเป็นภาษาอังกฤษว่า "คุณถ่ายแต่คุณลบไปแล้ว" เจ้าหน้าที่ให้เอาหนังสือเดินทางมาดู พวกผมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นก็ตกใจ รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรม ดูยัดเยียดข้อกล่าวหา และดูไม่น่าไว้วางใจ จึงแกล้งบอกตำรวจไปว่าหนังสือเดินทางอยู่ที่โฮสเทลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ พวกเราแค่เดินออกมาหาข้าวกลางวันทาน ไม่ได้พกมาด้วย เจ้าหน้าที่ดูลังเลปรึกษากันเป็นภาษารัสเซีย แล้วบอกให้กลับไปเอาได้แค่คนเดียวที่เหลือให้รอที่ป้อม ผมจึงให้เพื่อนๆรอแล้ววิ่งกลับไปที่โฮสเทล รีบขอความช่วยเหลือจากพนักงาน พนักงานบอกว่าตำรวจเค้าต้องการเงินจากคุณแน่ๆ
พนักงานลุกออกมาจากเคาน์เตอร์ทันที แล้วโทรหาใครก็ไม่ทราบ หลังจากนั้นพาผมเดินจากโฮสเทลไปหาคุณตำรวจอีกหนึ่งคนซึ่งประจำอยู่แถวนั้น คุณตำรวจเอารถมารับแล้วพาขับไปที่จุดเกิดเหตุ คุณตำรวจถามผมว่าคนที่เรียกเราเข้าไปในป้อมแต่งตัวเหมือนเค้าหรือไม่ ผมบอกว่าใช่ครับ แล้วบนบ่าเค้ามีกี่ดาว ผมพยายามนึกภาพแต่ก็จำไม่ได้ เลยบอกไปว่าไม่แน่ใจแต่ไม่น่าจะมีดาว ตำรวจบอกว่าอยู่กับผมแล้วไม่ต้องห่วงแถวนี้ผมดูแลอยู่
พอถึงป้อมที่เพื่อนอีก 2 คนรออยู่ ผมก็กล้าๆกลัวๆเดินตามคุณตำรวจและพนักงานโฮสเทลเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในป้อมรีบเดินออกมาทักและทำความเคารพคุณตำรวจที่มากับผม ทั้งหมดพูดคุยกันเป็นภาษารัสเซีย พนักงานโฮสเทลหันมาบอกพวกเราว่าไม่เป็นไร สบายใจได้ เค้าไม่ได้จะทำอะไรคุณ เค้าแค่ต้องการตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่าว่าเข้าเมืองมาอย่างถูกต้องหรือไม่ พวกผมยื่นเอกสารทั้งหมดให้ตรวจสอบแต่โดยดี พวกเราทุกคนจับมือกันแล้วแยกย้าย แต่ยังค้างคาใจอยู่ก็คือท่าทีตอนแรกของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดกับตอนหลังที่ผมพาคนมาช่วยคุยนั้นช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ตอนแรกดูข่มขู่และไม่เป็นมิตรอย่างแรง ดูจะเอาเรื่องพวกเราให้ได้ที่ไปถ่ายภาพรถเมล์ แต่ตอนหลังกลับกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส
พวกเราออกมาจากป้อม แล้วนั่งพักทำใจกันสักครู่ในสวนสาธารณะ ผมถามเพื่อนทั้ง 2 ว่า ระหว่างที่ผมวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือที่โฮสเทลนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อนบอกว่าตำรวจในป้อมไม่คืนมือถือให้สักทีแล้วทำท่าเหมือนจะขอเงิน โดยใช้นิ้วดีดขึ้นๆลงๆเป็นเชิงสัญลักษณ์ จริงอยู่ทั้งหมดมันเป็นแค่ความรู้สึกของพวกเรา ตำรวจยังไม่ได้เอ่ยปากและยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่พฤติกรรมและท่าทีที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมไปถึงการถูกยัดเยียดว่าถ่ายภาพตึก และการที่เรายังไม่ได้ทำอะไรผิดค่อนข้างทำให้พวกผมมั่นใจในความรู้สึกนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไม่ออกอุบายขอกลับไปเอาหนังสือเดินทางและขอความช่วยเหลือจากพนักงานโฮสเทลอะไรจะเกิดขึ้น
บอกตรงๆนาทีนั้นพวกผมหมดอารมณ์เที่ยวเลยครับ นี่ขนาดยังไม่เสียตังค์ สัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจของตำรวจในประเทศนี้ ถึงแม้ว่าคนที่มาช่วยเราจะเป็นตำรวจเหมือนกันก็ตาม แต่ความรู้สึกมันไปแล้ว ระหว่างวันพวกเราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ที่สำคัญวันนั้นแทบไม่ได้ถ่ายรูปยกกล้องขึ้นมากันอีกเลย เพราะไม่รู้จะไปโดนหาเรื่องอีกเมื่อไหร่
วันรุ่งขึ้นเป็นกำหนดเดินทางกลับ พวกเรารีบไปสนามบินล่วงหน้าก่อนเครื่องออกหลายชั่วโมง ถึงเวลาเชคอินโหลดกระเป๋าทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ พอเสร็จขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ทันใดนั้นมีเครื่อง x-ray ตั้งอยู่ ซึ่งไม่ใช่ x-ray ตรวจของเหลว อาวุธ วัตถุต้องห้าม รักษาความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่องอะไรพวกนั้น เป็นด่านเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ 3 คน ซึ่งมาบอกผมทีหลังว่าเป็นศุลกากร หนึ่งในนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว ทั้งหมดให้พวกผมเอากระเป๋า hand carry เข้าเครื่องแล้วขอดูหนังสือเดินทาง ถามผมว่ามาทำอะไร แน่นอนครับผมตอบว่ามาเที่ยว หลังจากนั้นถามผมว่ามีเงินสดเท่าไร ยังไม่ทันจะตอบเจ้าหน้าถามย้ำอีกครั้ว่ามีพกเงินยูเอสมาเท่าไรในกระเป๋า ผมบอกไม่แน่ใจ แต่น่าจะมีประมาณ 300 กว่าๆ (ที่ไม่แน่ใจเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางและยังไม่ได้คำนวนรายจ่ายทั้งหมด ไม่รู้ว่าใช้ไปเท่าไร นอกจากนี้ก็ยังมีเงินสกุลอื่นๆอย่างละนิดอย่างละหน่อยไม่ว่าจะเป็นยูโร ปอนด์ ฮ่องกงดอลลาร์ หยวนและมาเลเซียริงกิตเหลือจากทริปอื่นๆก่อนหน้า ซึ่งไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าใส่เงินเดินทาง จึงยังไม่ได้แจ้งจำนวนเป๊ะๆที่แน่นอน แต่ผมบอกว่าจะเปิดให้ดู)
เจ้าหน้าที่เรียกพวกเราเข้าไปในห้องเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พร้อมทั้งให้เอาเงินสดออกมาให้หมด เจ้าหน้าที่วางเรียงกันทีละสกุลเงินบนโต๊ะ แล้วห้ามเราแตะต้องเหมือนเป็นของกลาง พร้อมถามเราว่ามีเก็บไว้ที่อื่นอีกไหม ผมบอกว่าไม่มีแล้ว เจ้าหน้าค้นซอกเล็กซอกน้อยตามกระเป๋าแล้วถามย้ำอีกครั้งว่ามั่นใจนะว่าไม่มีแล้ว ผมบอกว่ามั่นใจได้ครับ ทีนี้กลับมาที่เงินสดที่วางไว้อยู่บนโต๊ะ เจ้าหน้าที่คำนวนเป็นเงิน USD ออกมาได้ประมาณเกือบๆ 600 ดอลล์ ซึ่งมากกว่าที่ผมแจ้งไปตั้งแต่แรก เจ้าหน้าที่ตรวจแบบนี้กับเราทั้ง 3 คนแล้วบอกว่าทุกคนเกินหมด แจ้งไม่ตรงกับที่มี จึงจำเป็นต้องยึดเงินส่วนเกินไว้ทั้งหมด ห้ามนำออกนอกประเทศ
พวกผมพยายามเถียงว่า พวกผมบอกไปก่อนแล้วว่าไม่มั่นใจจริงๆ ได้แต่ประมาณจำนวนคร่าวๆ ถ้าคุณต้องการให้เราแสดงเงินออกนอกประเทศจริงๆ ทำไมไม่เอาใบสำแดงมาให้เรากรอก พวกเราก็จะนับแล้วเขียนลงไปให้หมด พวกผมพร้อมจะแสดงอยู่แล้ว ไม่ต้องการจะปกปิดเลย (มาแบกเป้เที่ยวกับกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป+อาหารกระป๋องแทบจะทุกมื้อ พวกผมไม่ได้พกเงินมาเกินจำนวนที่ศุลกากรกำหนดแน่ๆ) แล้วอีกอย่างตอนแรกคุณก็ถามถึงแค่ USD มาตอนนี้คุณมาเหมารวมหมดทุกสกุลเงินได้ยังไง เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าพวกเราทำผิดกฎหมายศุลกากร แจ้งไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเป็นต้องยึดเงินทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะต้องดำเนินคดีกับคุณ ส่งกลับเข้าเมืองไปทำเอกสาร ต้องเข้าคุก แล้ววันนี้เดินทางไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นบรรยากาศตึงเครียดมาก พวกผมเงียบสักครู่ เจ้าหน้าที่จึงจับพวกเราแยกออกจากกันโดยให้เพื่อนอีกคนที่มีเงินเกินมาไม่มากออกไปก่อน โดยยังคงให้ผมกับน้องอีกคนอยู่ในห้อง ผมว่าบอกนี่มันไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเราเลย มาถามปากเปล่า แล้วก็จะมายึดเงิน เอาอย่างนี้ผมขอใช้สิทธิ์ติดต่อสถานทูตไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ (เอาจริงๆแล้วไม่มีสถานทูตไทยในทาจิกิสถาน ที่ใกล้ที่สุดคงจะเป็นที่กรุงอัสทานา ประเทศคาซัคสถาน) เจ้าหน้าที่บอกว่าสถานทูตช่วยไม่ได้ ผมยืนยันจะขอออกไปโทรหา เจ้าหน้าที่บอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน "I will help you and you have to help me" พอพูดประโยคนี้จบผมมั่นใจเลยว่าโดนรีดไถเงินอีกแน่ๆ พอมั่นใจแบบนี้พวกเราเลยคุยกันเองเป็นภาษาไทยว่าจะไม่ยอมเด็ดขาด
พวกผมอาศัยจังหวะนั้นเงียบต่อ โดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น โชคดีที่เราไปสนามบินไวมากๆ จึงไม่รีบ มีเวลาเป็นลูกไก่ในกำมือให้เจ้าหน้าที่ แล้วเที่ยวบินก็ดีเลย์ไป 1 ชั่วโมงด้วย หนึ่งในนั้นเลยทนไม่ไหวบอกผมว่าเอาแบบนี้ละกัน คุณจ่ายมาให้พวกเรา 100 ดอลล์ (3500 บาท) แล้วผมจะไม่เอาเรื่อง ผมบอกว่าไม่ได้หรอก 100 ดอลล์นี้ พวกผมใช้ได้กันอีกนาน พวกผมบอกไปแล้วว่ามาแบกเป้เที่ยว เงินทุกอย่างต้องเอาไปใช้อีกหลายประเทศ โปรดเข้าใจพวกเราด้วย เจ้าหน้าที่เลยเรียกหัวหน้าเข้ามาในห้อง หัวหน้าบอกว่าให้ดำเนินการทำเอกสารส่งพวกเราเข้าเมืองเลย ไปเข้าคุก โดยที่เอาหนังสือเดินทางพวกผมไปถ่ายเอกสาร พวกผมยังคงดื้อเงียบ ไม่หือไม่อือแต่ไม่จ่าย อยากทำอะไรก็ทำไป
เจ้าหน้าที่ขอนาฬิกาติจิดอลบนข้อมือของน้องที่ไปด้วย ไปตรวจสอบแล้วถามผมว่า ไอ้นี่มันอัดเสียงได้ไหม ผมบอกว่าไม่ได้ เจ้าหน้าที่ดูลังเลแล้วคืนให้เพราะนาฬิกาออกแบบมาคล้ายๆ USB
สุดท้ายเจ้าหน้าที่คงเซ็ง ลดแล้วลดอีกพวกเราก็ยังไม่จ่าย เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ละกัน เอามา 20 ดอลล์ (700 บาท) เป็นค่าดำเนินการแล้วจะปล่อยให้ไปขึ้นเครื่อง ตอนนั้นพวกผมค่อนข้างมั่นใจว่าจับปลอมแน่ๆ ก็เลยยังคงเงียบต่อ จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกว่าจะส่งเรื่องดำเนินการพวกเราไปที่ประเทศอื่นๆ ระวังตัวให้ดี ต่อไปจะมีปัญหากับศุลกากรทุกประเทศเพราะข้อมูลเชื่อมถึงกันหมด พวกเราได้แต่ทำหน้าเศร้าสลด แต่คิดในใจว่า จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่เรายืนยันที่จะไม่จ่ายเด็ดขาด ประหยัดมาทั้งทริปทำไมต้องมาเสียเงินกับเรื่องแบบนี้ด้วย อยู่ในนั้นตั้งแต่ตอนแรกเกือบๆ 40 นาที แต่รู้สึกเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง จนสุดท้ายหัวหน้าเข้ามาอีกครั้ง จึงบอกว่า โอเคคราวนี้เราจะปล่อยพวกคุณไป แต่คราวหน้าพวกคุณโดนแน่ๆ (คิดในใจ เจอแบบนี้ผมไม่มีทางที่จะกลับไปอีกแน่นอน)
ออกมาจากห้องได้พวกผมรีบผ่านตม.แล้ววิ่งไปที่ประตูขึ้นเครื่อง อยากจะออกจากประเทศนี้ให้ไวที่สุดเลยครับ ประมาณ 1.5 ชั่วโมงเครื่องบินมาถึงเมืองอัลมาตี้ ประเทศคาซัคสถานทำให้ทราบว่า มีพี่ผู้หญฺิงคนไทยที่ไปทำงานโดยสารมากับพวกเราบนเที่ยวบินนั้นด้วย ผมจึงถือโอกาสระบายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พี่เค้าฟัง พี่ผู้หญิงและสามีฝรั่งแจ้งว่าเป็นเรื่องปกติของประเทศในแถบนี้ซึ่งเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวบ่อยมากๆ
ถึงแม้ว่าสุดท้ายพวกเราไม่ได้เสียเงินแม้แต่นิดเดียว แต่ความรู้สึกดีๆ ความสวยงามของภูมิประเทศ ธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ศาสนสถาน สถาปัตยกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประทับใจในประเทศนี้กลับหายไปในพริบตาเพราะพฤติกรรมแย่ๆของเจ้าหน้าที่รัฐ กลายเป็นว่าตอนนี้เกลียดประเทศนี้เข้าไส้เลยครับ จำไว้ให้ขึ้นใจ "Tajikistan" ถ้าท่านใดหรือทราบว่าคนรู้จักจะไปเที่ยวประเทศนี้ ก็ฝากเรื่องราวของของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ให้ระวังตัวกันด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านไม่ต้องเจอแบบผม เข็ดจริงๆครับกับประเทศนี้