นี่เป็นกระทู้แรกนะคะ เนื่องจากเราเองพึ่งเจอประสบการณ์ตรงกับตัวเองมา เลยอยากมาแชร์เรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ให้คนทำงานหลายๆคนระวัง โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ยังไม่เคยสมัครงานที่ไหนมาก่อน การเซ็นสัญญาเข้าทำงานมันไม่ง่ายอย่างที่คิดค่ะ
เริ่มเรื่องเลยนะคะ เราพึ่งจบการศึกษาระดับป.ตรี ระหว่างนั้นก็เลยเริ่มสมัครงานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในไทย ทั้งสอบและสัมภาษณ์ทั้ง2รอบเรียบร้อย ทีนี้ก่อนเซ็นสัญญา ทางHRก็แจ้งว่าเราต้องทำการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานด้วยจึงจะได้เซ็นสัญญาจ้าง แต่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไรมา
เราก็สบายใจระดับนึงเพราะเท่าที่คุยกับเพื่อนๆที่ทำงานบริษัทอื่นๆเค้าก็ไม่ได้มีการตรวจเลือด ส่วนมากจะเป็นตรวจโรคภายนอกทั่วไปกับเอกซเรย์แค่นั้น แต่พอเซิร์จข้อมูลจากเน็ตดูแล้วก็เริ่มระแวงค่ะ เพราะแอบไปเจอมาว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้เงินเดือนสูงๆ(เกือบทุกที่)จะบังคับตรวจเลือดหมด !
เพื่อความแน่ใจเรานี่รวบรวมความกล้าโทรถาม HR เลย พี่คะอยากทราบรายการตรวจสุขภาพค่ะว่าต้องตรวจหาอะไรบ้าง พอเค้าไล่มาทีละรายการเรานี่อึ้งเลย ตรวจละเอียดยิบขนาดนี้จะเอาเลือดเราไปเป็นลิตรมั้ยเนี่ย? ตรวจหาตั้งแต่ความแข็งแรงของเม็ดเลือด กรุ๊ปเลือด ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี บลาๆๆ และตามที่คาดไว้ ตรวจHIV ด้วยคุณพระ!
เอาล่ะสิ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบกว่ายังไม่เคยตรวจเลือดกับเค้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วนี่จะมานัดตรวจเดือนหน้า ทำเรากระวนกระวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ถามว่าเคยมีความเสี่ยงมั้ย ตอบเลยว่ามีสิคะ เราไม่ใช่เทพทิดาพยากรณ์ในวรรณคดีที่ต้องถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิตนี่นา แถมความรู้เรื่องHIVเรานี่น้อยมาก การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยจริงๆเพราะไม่ได้เรียนสายสุขภาพมาด้วย จึงไม่เคยระวังตัวมาก่อน เราก็คิดนะว่าเราไม่มีอาการป่วยอะไรแสดงให้เห็นเลยนี่นา จะเป็นได้ไง แต่พอยิ่งอ่านข้อมุลผู้ติดเชื้อแล้วหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มเลย เนื่องจากเจ้าเชื้อตัวนี้มันสามารถซ่อนอยู่ในร่างกายเราได้หลายปีโดยไม่แสดงอาการอะไรเลยก็เป็นได้ จนกว่าร่างกายเราจะทรุดหนักโดยไม่ทันตั้งตัว ทางเดียวที่จะรู้แน่ชัดคือตรวจเลือดสถานเดียวจ้า
ตอนนั้นเครียดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร คิดว่าเราเสี่ยงมาขนาดนี้ยังไงก็ไม่น่ารอด แล้วถ้าบริษัทตรวจเจอและไม่เซ็นสัญญาจะบอกพ่อแม่ยังไงคิดไม่ออกเลย เพราะตั้งแต่ผ่านสอบสัมภาษณ์พ่อกับแม่ก็เอาไปป่าวประกาศทั้งหมู่บ้านแล้วด้วย โถว บอกตรงๆว่าเราคิดหาทางออกไม่ถูกหากถูกบริษัทปฏิเสธด้วยเรื่องว่าเลือดคุณเป็นบวกนะครับ... พ่อกับแม่จะเสียใจขนาดไหน? เราเลยตัดสินใจรวบรวมความกล้าที่สุดในชีวิตไปตรวจเลือดคนเดียวล่วงหน้าที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก่อนวันตรวจจริง โดยมีเวลาทำใจแค่2อาทิตย์
ณ วันฟังผล... พยายามทำใจไปบ้างแล้วแต่มันก็ยังกลัวมากอยู่ดี หัวใจเต้นตุ้บๆๆอยุ่หน้าห้องแพทย์แรงมาก สักพักหมอเรียกเราเข้าไปนั่งด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด คุณหมอไม่ยิ้มให้กำลังใจเราบ้างเลย ฮือ แถมยังแกะซองผลเลือดสดๆร้อนๆตรงหน้าเราเลย หัวใจแทบวายนี่ต้องลุ้นไปพร้อมๆกับหมอเลยหรอ T^T หมอมองที่กระดาษแสดงผลแล้วก็พูดว่า "เป็นลบครับ ดีใจด้วยนะ" แล้วก็ยิ้มให้เราแบบเห็นฟันครบทุกซีก เราจะรอไรล่ะ ยิ้มตามจนแก้มแทบปริ บอกตรงๆว่าดีใจมากหลังจากเก็บความทุกข์ใจคนเดียวมานาน เหมือนสลัดความกังวลกว่าครึ่งเดือนออกไปหมดสิ้น
เราตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เราก็จะมาแชร์ให้เป็นวิทยาทานแก่คนสมัครงานคนอื่นๆเพื่อที่จะได้ตัดสินใจให้ดีก่อนไปสมัครงาน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า บริษัทที่สายงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานรบริการและสาธารณสุขแต่อย่างใด ยังคัดคนจากผลHIVเลย ซึ่งมันไม่แฟร์อย่างยิ่งสำหรับผู้ติดเชื้อกว่าล้านคนในประเทศเราที่ต้องโดนตัดสิทธ์ง่ายๆเพราะเรื่องแค่นี้ จึงอยากเตือนทุกคนที่กำลังจะเรียนจบหรือกำลังจะย้ายงานว่า ไปตรวจเลือดเองก่อนเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียทั้งเวลาทั้งใจหากสอบผ่านแล้วไม่ได้เข้าทำงาน เพราะบางคนก็หาข้ออ้างบอกที่บ้านไม่ได้หรอกหากถูกที่ทำงานปฏิเสธจากเรื่องสุขภาพแบบนี้ อยากให้คนที่เคยมีความเสี่ยงทุกคนไม่ว่าจะกี่ปีมาแล้ว ถ้ายังไม่เคยตรวจก็ขอให้ไปตรวจเถอะค่ะ เชื้อHIVไม่ได้น่ากลัว ยิ่งถ้าเรารู้ตัวเร็วเราก็จะดูแลตัวเองได้เร็วขึ้น มีแต่ผลดีค่ะ
อยากฝากอีกเรื่องสำหรับคนที่รักสนุก สมัยนี้ใครมีเชื้อHIVบ้างดูจากภายนอกไม่ออกจริงๆค่ะ จะมาไว้ใจกันว่าอีกฝ่ายไม่เป็นแล้วไม่ป้องกันไม่ได้ เพราะคนที่ติดเชื้อมานานแล้วไม่รูตัวก็มีเยอะมาก หลักแสนคนได้ค่ะ ดังนั้นขอย้ำว่าควรป้องกันทุกครั้งถึงแม้จะเป็นแฟนเราเอง เพราะเรื่องนี้มันไม่ได้มีผลต่อสภาพจิตใจหรือสุขภาพของเราอย่างเดียว แต่มีผลต่ออนาคตหน้าที่การงานด้วย (ยังไงก็ตามเราขอเอาใจช่วยให้มีการรณรงค์ห้ามบริษัทตรวจเลือดพนักงานสักทีเถอะ เพราะคนที่ติดเชื้อเค้าก็ควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆเหมือนกัน)
เตือนใจผู้เสี่ยงเชื้อHIV กับการโดนตัดสิทธิ์เข้าทำงานที่หลายคนไม่เคยรู้
เริ่มเรื่องเลยนะคะ เราพึ่งจบการศึกษาระดับป.ตรี ระหว่างนั้นก็เลยเริ่มสมัครงานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในไทย ทั้งสอบและสัมภาษณ์ทั้ง2รอบเรียบร้อย ทีนี้ก่อนเซ็นสัญญา ทางHRก็แจ้งว่าเราต้องทำการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานด้วยจึงจะได้เซ็นสัญญาจ้าง แต่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไรมา
เราก็สบายใจระดับนึงเพราะเท่าที่คุยกับเพื่อนๆที่ทำงานบริษัทอื่นๆเค้าก็ไม่ได้มีการตรวจเลือด ส่วนมากจะเป็นตรวจโรคภายนอกทั่วไปกับเอกซเรย์แค่นั้น แต่พอเซิร์จข้อมูลจากเน็ตดูแล้วก็เริ่มระแวงค่ะ เพราะแอบไปเจอมาว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้เงินเดือนสูงๆ(เกือบทุกที่)จะบังคับตรวจเลือดหมด !
เพื่อความแน่ใจเรานี่รวบรวมความกล้าโทรถาม HR เลย พี่คะอยากทราบรายการตรวจสุขภาพค่ะว่าต้องตรวจหาอะไรบ้าง พอเค้าไล่มาทีละรายการเรานี่อึ้งเลย ตรวจละเอียดยิบขนาดนี้จะเอาเลือดเราไปเป็นลิตรมั้ยเนี่ย? ตรวจหาตั้งแต่ความแข็งแรงของเม็ดเลือด กรุ๊ปเลือด ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี บลาๆๆ และตามที่คาดไว้ ตรวจHIV ด้วยคุณพระ!
เอาล่ะสิ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบกว่ายังไม่เคยตรวจเลือดกับเค้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วนี่จะมานัดตรวจเดือนหน้า ทำเรากระวนกระวายใจจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ถามว่าเคยมีความเสี่ยงมั้ย ตอบเลยว่ามีสิคะ เราไม่ใช่เทพทิดาพยากรณ์ในวรรณคดีที่ต้องถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิตนี่นา แถมความรู้เรื่องHIVเรานี่น้อยมาก การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยจริงๆเพราะไม่ได้เรียนสายสุขภาพมาด้วย จึงไม่เคยระวังตัวมาก่อน เราก็คิดนะว่าเราไม่มีอาการป่วยอะไรแสดงให้เห็นเลยนี่นา จะเป็นได้ไง แต่พอยิ่งอ่านข้อมุลผู้ติดเชื้อแล้วหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มเลย เนื่องจากเจ้าเชื้อตัวนี้มันสามารถซ่อนอยู่ในร่างกายเราได้หลายปีโดยไม่แสดงอาการอะไรเลยก็เป็นได้ จนกว่าร่างกายเราจะทรุดหนักโดยไม่ทันตั้งตัว ทางเดียวที่จะรู้แน่ชัดคือตรวจเลือดสถานเดียวจ้า
ตอนนั้นเครียดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร คิดว่าเราเสี่ยงมาขนาดนี้ยังไงก็ไม่น่ารอด แล้วถ้าบริษัทตรวจเจอและไม่เซ็นสัญญาจะบอกพ่อแม่ยังไงคิดไม่ออกเลย เพราะตั้งแต่ผ่านสอบสัมภาษณ์พ่อกับแม่ก็เอาไปป่าวประกาศทั้งหมู่บ้านแล้วด้วย โถว บอกตรงๆว่าเราคิดหาทางออกไม่ถูกหากถูกบริษัทปฏิเสธด้วยเรื่องว่าเลือดคุณเป็นบวกนะครับ... พ่อกับแม่จะเสียใจขนาดไหน? เราเลยตัดสินใจรวบรวมความกล้าที่สุดในชีวิตไปตรวจเลือดคนเดียวล่วงหน้าที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก่อนวันตรวจจริง โดยมีเวลาทำใจแค่2อาทิตย์
ณ วันฟังผล... พยายามทำใจไปบ้างแล้วแต่มันก็ยังกลัวมากอยู่ดี หัวใจเต้นตุ้บๆๆอยุ่หน้าห้องแพทย์แรงมาก สักพักหมอเรียกเราเข้าไปนั่งด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด คุณหมอไม่ยิ้มให้กำลังใจเราบ้างเลย ฮือ แถมยังแกะซองผลเลือดสดๆร้อนๆตรงหน้าเราเลย หัวใจแทบวายนี่ต้องลุ้นไปพร้อมๆกับหมอเลยหรอ T^T หมอมองที่กระดาษแสดงผลแล้วก็พูดว่า "เป็นลบครับ ดีใจด้วยนะ" แล้วก็ยิ้มให้เราแบบเห็นฟันครบทุกซีก เราจะรอไรล่ะ ยิ้มตามจนแก้มแทบปริ บอกตรงๆว่าดีใจมากหลังจากเก็บความทุกข์ใจคนเดียวมานาน เหมือนสลัดความกังวลกว่าครึ่งเดือนออกไปหมดสิ้น
เราตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เราก็จะมาแชร์ให้เป็นวิทยาทานแก่คนสมัครงานคนอื่นๆเพื่อที่จะได้ตัดสินใจให้ดีก่อนไปสมัครงาน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า บริษัทที่สายงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานรบริการและสาธารณสุขแต่อย่างใด ยังคัดคนจากผลHIVเลย ซึ่งมันไม่แฟร์อย่างยิ่งสำหรับผู้ติดเชื้อกว่าล้านคนในประเทศเราที่ต้องโดนตัดสิทธ์ง่ายๆเพราะเรื่องแค่นี้ จึงอยากเตือนทุกคนที่กำลังจะเรียนจบหรือกำลังจะย้ายงานว่า ไปตรวจเลือดเองก่อนเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียทั้งเวลาทั้งใจหากสอบผ่านแล้วไม่ได้เข้าทำงาน เพราะบางคนก็หาข้ออ้างบอกที่บ้านไม่ได้หรอกหากถูกที่ทำงานปฏิเสธจากเรื่องสุขภาพแบบนี้ อยากให้คนที่เคยมีความเสี่ยงทุกคนไม่ว่าจะกี่ปีมาแล้ว ถ้ายังไม่เคยตรวจก็ขอให้ไปตรวจเถอะค่ะ เชื้อHIVไม่ได้น่ากลัว ยิ่งถ้าเรารู้ตัวเร็วเราก็จะดูแลตัวเองได้เร็วขึ้น มีแต่ผลดีค่ะ
อยากฝากอีกเรื่องสำหรับคนที่รักสนุก สมัยนี้ใครมีเชื้อHIVบ้างดูจากภายนอกไม่ออกจริงๆค่ะ จะมาไว้ใจกันว่าอีกฝ่ายไม่เป็นแล้วไม่ป้องกันไม่ได้ เพราะคนที่ติดเชื้อมานานแล้วไม่รูตัวก็มีเยอะมาก หลักแสนคนได้ค่ะ ดังนั้นขอย้ำว่าควรป้องกันทุกครั้งถึงแม้จะเป็นแฟนเราเอง เพราะเรื่องนี้มันไม่ได้มีผลต่อสภาพจิตใจหรือสุขภาพของเราอย่างเดียว แต่มีผลต่ออนาคตหน้าที่การงานด้วย (ยังไงก็ตามเราขอเอาใจช่วยให้มีการรณรงค์ห้ามบริษัทตรวจเลือดพนักงานสักทีเถอะ เพราะคนที่ติดเชื้อเค้าก็ควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นๆเหมือนกัน)