คุณเคยเชื่อเรื่องคำทำนายป่ะคะ ?
หลายคน เมื่อหาทางออกไม่เจอ หรือกำลังอยู่ในห้วงของความสับสน และลังเลกับชีวิตว่าจะทำอย่งไรต่อไป
หรือบางคนไม่อาจคาดหวังอนาคตได้ด้วยตนเอง การใช้หลักธรรมหรือ เหตุผลทางความเชื่อ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เรา
ใช้แนวทางนี้ เพื่อค้นหาคำตอบหรือป่าว ? แต่ก็มีหลายคนที่ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ เพื่อเลือกเป็นแนวทาง
แล้วคุณล่ะเป็นแบบไหน? ....
ปรกติ จขกท เข้าวัดบ่อยมาก ไปเกือบทุกอาทิตย์ เหตุที่ไปบ่อยคือ การถูกปลูกฝังในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี การอบรมบ่มเพาะ
ให้อยู่กับพุทธศาสนามายาวนาน เรียกว่าตั้งแต่เด็กมาเลย และส่วนหนึ่งคือการอ่านและความชอบที่มีพื้นฐานมาจากการถูกพาไปวัดด้วย
การถูกพาไปวัด ของจขกท จาก ปู่ ย่า พ่อ แม่ ไม่ได้สอนให้ไปวัดเพื่อ ล้างทุกข์ หรือไปวัดเมื่อเรารู้สึกทุกข์ใจ และไม่สบายใจ
เพราะถ้ายึดติดว่า ทุกครั้งที่เราไปวัดคือต้องไปเพื่อ บนบานให้ได้สิ่งที่ต้องการ ไปเพราะเราทุกข์มาก นั่นคือ เราสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง
มากกว่าจะไปวัด เพื่อแสวงหาความสงบสุข ปล่อยวาง และ สร้างนิสัยให้มีสติกับทุกๆเรื่อง
ดังนั้นการไปวัดของ จขกท จึงไปเพราะความต้องการลดกิเลส มากกว่าเพิ่มกิเลสค่ะ จขกท ถือหลักทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้คือ
ทำดีต้องได้ดี ทำสิ่งใด ผลตอบกลับย่อมได้สิ่งนั้น มันเป็นหลักสัจธรรมผสมกับหลักนิตธรรม ที่พิสูจน์ได้ค่ะ
แต่คุณเชื่อไหม วันนี้ จขกท เริ่มลังเลกับความคิดเล็กน้อย ว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ กับ ไสยศาสตร์ ทำไมสามารถ
เชื่อมโยงกันได้ โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆเลย บางเรื่อง มันก็เหลือเชื่อกับความบังเอิญมากๆ จขกท เองก็คิดไม่ตก ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
จขกท จะเล่าให้ฟังค่ะ
เริ่มจาก จขกท เดินทางไปเยี่ยมบิดามา ตอนไปก็จำได้ว่า เอาเงินที่เป็นแบงค์ร้อยและแบงค์ย่อยใส่ในกระเป๋าใบเล็กๆไว้เพื่อสะดวก
เวลาหยิบใช้ จะได้ไม่ต้องควักเงิน ในกระเป๋าตังค์ที่ใช้ประจำ หนึ่งคือหลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าตังค์เพื่อกันหาย หรือเงินตก
สองคือ สะดวกแก่การจดจำยอดเงิน ว่าเรามีเท่าไหร่ เพราะตัวเองจะเก็บยอดเงินเป็นตัวเลขกลมๆ และแบ่งออกมาใช้
ทำให้เรารู้ว่า ในแต่ละครั้ง เราจะเหลือยอดเท่าไหร่ เมื่อกดเงินจากตู้มา
แต่หลังจาก จขกท กลับมา กระเป๋าใบเล็ก ได้หายไปค่ะ นึกอยู่นานว่าหายไปตอนไหน เพราะตอนที่จ่ายค่าแท๊กซี่
ครั้งสุดท้าย มันก็ยังอยู่ในกระเป๋าสะพายอยู่เลย กลับมาบ้าน ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนอ่อนใจ คิดว่าคงตกอยู่ในรถแท๊กซี่แน่แล้ว
จะบอกว่าเสียดายเงินไหม ก็ใช่นะ เพราะมีอยู่เจ็ดแปดร้อย และก็คิดว่าทำไมตัวเองสะเพร่า ขนาดทำของหายง่ายๆ และก็ลืมมันไป
เมื่อวันวิสาขะ ก็ไปวัดตามปรกติ แต่วันนั้น ดันนึกยังไงก็ไม่รู้ ปรกติจะไม่เชื่อ คำทำนาย หมอดู หรือ ดวงอะไรมากมาย ได้แต่ฟังและ
คิดตาม( หากเจอใครมาทักนะคะ ) แต่วันนั้นอยากเขย่าเซียมซีขึ้นมาเฉยๆ ก็ทำตามที่เค้าแนะนำกันมา ว่าหากอยากรู้เรื่องอะไร
ก็ลองเสี่ยงทายถามดู ผลจะเป็นอย่างไร เลขในไม้เซียมซีที่ตกลงมาจะบอก และมื่อ จขกท เสี่ยงได้ไม้ที่ตกคือเลข 7 ตามรูป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และคำทำนาย คือตามนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านแล้วก็ได้แต่คิด ว่า ของที่หายจะได้คืนจริงหรือ มันผ่านมาเป็นสองสาม อาทิตย์แล้วนี่นา อาจจะเป็นความบังเอิญ
แต่สงสัยคือ สิ่งที่เราอธิฐานถาม ก็ตรงหลายข้อนะ ก็ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้
( เด๋วนี้ มีหลายวัดที่นิยมให้คนอ่าน มากกว่าให้ดึงกระดาษออกไป วัดนี้ก็เช่นกันค่ะ ดีนะ ไม่เปลืองทรัพยากรดี)
กลับบ้านมาจขกท ก็ไม่คิดอะไร จนมาเมื่อวาน อยู่ๆ ก็อยากมาเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางออกซะงั้น
(ปรกติ จขกท จะใส่เสื้อผ้าและสิ่งของไว้ในกระเป๋าเดินทางไว้เสมอ เวลาไปไหนอย่างเร่งด่วน ก็จะเสียเวลาจัดกระเป๋าน้อยลงค่ะ )
อุแม่เจ้า !!! พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น กระเป๋าตังค์ใบเล็ก นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทางนี่เอง เอร้ย...มันเข้าไปอยู่ตอนไหนเนี่ย
จขกท หลงลืมไปซุกมันไว้ได้ไง โห สงสัยเราคงเข้าวัยแชแลแล้ว จึงได้หลงลืมง่ายอย่างนี้
จขกท ก็มานั่งนึกนะคะ เออ ทำไมความบังเอิญมันช่างพอเหมาะ พอเจาะ ซะจริง ถ้า จขกท ไม่ไปวัด ไม่เสี่ยงเซียมซี
จขกท จะเจอกระเป๋าตังค์ใบเล็กไหมหนอ ถ้าเจอจะเจอเมื่อไหร่ เพราะเราเองก็ไม่ค่อยเปิดกระเป๋าเดินทางเลย นอกจาก
จะเตรียมตัวเดินทางเท่านั้น จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าโชคดีก็น่าจะใช่ที่หาเจอ ดีใจไหมก็ดีใจ แต่มันน้อยกว่าความแปลกใจน่ะค่ะ
ใครเคยมี ปสก แบบนี้ ลองมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิคะ บางที่เรื่องความพอดี กับอภินิหารนี่ มันก็เป็นศาสตร์ลึกลับอีกอย่างที่น่าสนใจเนอะ
จบแล้วค่ะ
ปล ..เป็นเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังกันน่ะค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ
เรื่องเล่า : ของหายจะได้คืน
คุณเคยเชื่อเรื่องคำทำนายป่ะคะ ?
หลายคน เมื่อหาทางออกไม่เจอ หรือกำลังอยู่ในห้วงของความสับสน และลังเลกับชีวิตว่าจะทำอย่งไรต่อไป
หรือบางคนไม่อาจคาดหวังอนาคตได้ด้วยตนเอง การใช้หลักธรรมหรือ เหตุผลทางความเชื่อ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เรา
ใช้แนวทางนี้ เพื่อค้นหาคำตอบหรือป่าว ? แต่ก็มีหลายคนที่ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ เพื่อเลือกเป็นแนวทาง
แล้วคุณล่ะเป็นแบบไหน? ....
ปรกติ จขกท เข้าวัดบ่อยมาก ไปเกือบทุกอาทิตย์ เหตุที่ไปบ่อยคือ การถูกปลูกฝังในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี การอบรมบ่มเพาะ
ให้อยู่กับพุทธศาสนามายาวนาน เรียกว่าตั้งแต่เด็กมาเลย และส่วนหนึ่งคือการอ่านและความชอบที่มีพื้นฐานมาจากการถูกพาไปวัดด้วย
การถูกพาไปวัด ของจขกท จาก ปู่ ย่า พ่อ แม่ ไม่ได้สอนให้ไปวัดเพื่อ ล้างทุกข์ หรือไปวัดเมื่อเรารู้สึกทุกข์ใจ และไม่สบายใจ
เพราะถ้ายึดติดว่า ทุกครั้งที่เราไปวัดคือต้องไปเพื่อ บนบานให้ได้สิ่งที่ต้องการ ไปเพราะเราทุกข์มาก นั่นคือ เราสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง
มากกว่าจะไปวัด เพื่อแสวงหาความสงบสุข ปล่อยวาง และ สร้างนิสัยให้มีสติกับทุกๆเรื่อง
ดังนั้นการไปวัดของ จขกท จึงไปเพราะความต้องการลดกิเลส มากกว่าเพิ่มกิเลสค่ะ จขกท ถือหลักทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้คือ
ทำดีต้องได้ดี ทำสิ่งใด ผลตอบกลับย่อมได้สิ่งนั้น มันเป็นหลักสัจธรรมผสมกับหลักนิตธรรม ที่พิสูจน์ได้ค่ะ
แต่คุณเชื่อไหม วันนี้ จขกท เริ่มลังเลกับความคิดเล็กน้อย ว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ กับ ไสยศาสตร์ ทำไมสามารถ
เชื่อมโยงกันได้ โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆเลย บางเรื่อง มันก็เหลือเชื่อกับความบังเอิญมากๆ จขกท เองก็คิดไม่ตก ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
จขกท จะเล่าให้ฟังค่ะ
เริ่มจาก จขกท เดินทางไปเยี่ยมบิดามา ตอนไปก็จำได้ว่า เอาเงินที่เป็นแบงค์ร้อยและแบงค์ย่อยใส่ในกระเป๋าใบเล็กๆไว้เพื่อสะดวก
เวลาหยิบใช้ จะได้ไม่ต้องควักเงิน ในกระเป๋าตังค์ที่ใช้ประจำ หนึ่งคือหลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าตังค์เพื่อกันหาย หรือเงินตก
สองคือ สะดวกแก่การจดจำยอดเงิน ว่าเรามีเท่าไหร่ เพราะตัวเองจะเก็บยอดเงินเป็นตัวเลขกลมๆ และแบ่งออกมาใช้
ทำให้เรารู้ว่า ในแต่ละครั้ง เราจะเหลือยอดเท่าไหร่ เมื่อกดเงินจากตู้มา
แต่หลังจาก จขกท กลับมา กระเป๋าใบเล็ก ได้หายไปค่ะ นึกอยู่นานว่าหายไปตอนไหน เพราะตอนที่จ่ายค่าแท๊กซี่
ครั้งสุดท้าย มันก็ยังอยู่ในกระเป๋าสะพายอยู่เลย กลับมาบ้าน ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนอ่อนใจ คิดว่าคงตกอยู่ในรถแท๊กซี่แน่แล้ว
จะบอกว่าเสียดายเงินไหม ก็ใช่นะ เพราะมีอยู่เจ็ดแปดร้อย และก็คิดว่าทำไมตัวเองสะเพร่า ขนาดทำของหายง่ายๆ และก็ลืมมันไป
เมื่อวันวิสาขะ ก็ไปวัดตามปรกติ แต่วันนั้น ดันนึกยังไงก็ไม่รู้ ปรกติจะไม่เชื่อ คำทำนาย หมอดู หรือ ดวงอะไรมากมาย ได้แต่ฟังและ
คิดตาม( หากเจอใครมาทักนะคะ ) แต่วันนั้นอยากเขย่าเซียมซีขึ้นมาเฉยๆ ก็ทำตามที่เค้าแนะนำกันมา ว่าหากอยากรู้เรื่องอะไร
ก็ลองเสี่ยงทายถามดู ผลจะเป็นอย่างไร เลขในไม้เซียมซีที่ตกลงมาจะบอก และมื่อ จขกท เสี่ยงได้ไม้ที่ตกคือเลข 7 ตามรูป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และคำทำนาย คือตามนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านแล้วก็ได้แต่คิด ว่า ของที่หายจะได้คืนจริงหรือ มันผ่านมาเป็นสองสาม อาทิตย์แล้วนี่นา อาจจะเป็นความบังเอิญ
แต่สงสัยคือ สิ่งที่เราอธิฐานถาม ก็ตรงหลายข้อนะ ก็ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้
( เด๋วนี้ มีหลายวัดที่นิยมให้คนอ่าน มากกว่าให้ดึงกระดาษออกไป วัดนี้ก็เช่นกันค่ะ ดีนะ ไม่เปลืองทรัพยากรดี)
กลับบ้านมาจขกท ก็ไม่คิดอะไร จนมาเมื่อวาน อยู่ๆ ก็อยากมาเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางออกซะงั้น
(ปรกติ จขกท จะใส่เสื้อผ้าและสิ่งของไว้ในกระเป๋าเดินทางไว้เสมอ เวลาไปไหนอย่างเร่งด่วน ก็จะเสียเวลาจัดกระเป๋าน้อยลงค่ะ )
อุแม่เจ้า !!! พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น กระเป๋าตังค์ใบเล็ก นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทางนี่เอง เอร้ย...มันเข้าไปอยู่ตอนไหนเนี่ย
จขกท หลงลืมไปซุกมันไว้ได้ไง โห สงสัยเราคงเข้าวัยแชแลแล้ว จึงได้หลงลืมง่ายอย่างนี้
จขกท ก็มานั่งนึกนะคะ เออ ทำไมความบังเอิญมันช่างพอเหมาะ พอเจาะ ซะจริง ถ้า จขกท ไม่ไปวัด ไม่เสี่ยงเซียมซี
จขกท จะเจอกระเป๋าตังค์ใบเล็กไหมหนอ ถ้าเจอจะเจอเมื่อไหร่ เพราะเราเองก็ไม่ค่อยเปิดกระเป๋าเดินทางเลย นอกจาก
จะเตรียมตัวเดินทางเท่านั้น จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าโชคดีก็น่าจะใช่ที่หาเจอ ดีใจไหมก็ดีใจ แต่มันน้อยกว่าความแปลกใจน่ะค่ะ
ใครเคยมี ปสก แบบนี้ ลองมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิคะ บางที่เรื่องความพอดี กับอภินิหารนี่ มันก็เป็นศาสตร์ลึกลับอีกอย่างที่น่าสนใจเนอะ
จบแล้วค่ะ
ปล ..เป็นเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังกันน่ะค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ