ที่จริงผมเองไม่เคยติดตาม Blade of the immortal ในฉบับมังงะหรืออนิเมมาก่อน แต่ก็พอได้ยินชื่อเสียงมาเหมือนกันว่า เรื่องๆนี้จะเป็นการ์ตูนบู๊สายดาร์ก ดุเดือดเลือดสาดที่ดีเรื่องหนึ่ง ดังนั้น พอผมทราบว่ามีการทำ Blade of the immortal ฉบับคนแสดงก็รู้สึกสนใจ ยิ่งเห็นตัวอย่างก็ยิ่งรู้สึกะ ทาคุยัยากดู เพราะหนังดูดุเดือดดี มีดาราที่ผมติดตามอย่างคิมูระ ทาคุยะ และโทดะ เอริกะนำแสดง สโลแกนที่หนังพยายามโปรโมทก็เน้นไปที่ "หนึ่งพิฆาตสามร้อย" ซึ่งชวนให้นึกถึงหนังซามูไรที่ผมชอบอย่าง 13 Assassins ด้วย
(อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เป็นตื่นเต้นกับเรื่องที่ มิอิเกะ เป็นผู้กำกับเท่าไรนัก เพราะจากผลงานของเขาที่ผมเคยดูเมื่อไม่นานมานี้อย่าง As the God Wills หรือ Terra Formars นั้น ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรนัก จนกระทั่งดูหนังจบแล้วกลับมาอ่านข้อมูลเพิ่มที่บ้านถึงค่อยรู้ว่า คนๆนี้เป็นผู้กำกับ 13 Assassins)
ที่จริงในช่วงแรกเริ่ม หนังเปิดตัวออกมาได้ดีทีเดียว มีการใช้ลูกเล่นหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น
-ในอดีตของพระเอก ก็มีการทำเป็นสีขาวดำ หรือการต่อสู้กับผู้ร้ายจำนวนมากๆ ก็ทำได้กดดัน ว่าพระเอกนี่จะไปถึงตัวหัวหน้า(ในช่วงต้นเรื่อง)ได้หรือไม่
- ฉากเปิดตัวผู้ร้ายสำนักอิตโตริวในเงามืดก็ทำออกมาดูอำมหิต น่ากลัว
-การปรากฎตัวของ Kuroi Sabato ก็จะมีบทกวีขึ้นบนหน้าจอ พร้อมกับบรรยากาศชวนหลอน ความจริงแค่ Character design ก็ได้อารมณ์หนังผีแล้ว (เพราะบนเกราะตัวละครก็มีการเขียนบทสวดนโม อมิตาพุทธ เป็นภาษาญี่ปุ่น) ตอนเปิดเผยว่า "ของติดไหล่" ของตัวละคนตัวนี้เป็นอะไรนี่ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวไปใหญ่
อย่างไรก็ตาม การดำเนินเรื่องหลังจากนั้น ก็เริ่มดร็อปลงอย่างน่าเสียดาย
ที่จริง ถ้าวางแผนดีๆ หนังเรื่องนี้สามารถทำออกมาได้ดีไม่แพ้ซามูไรพเนจรฉบับคนแสดงทีเดียว เพราะผู้ร้ายแต่ละคนก็มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันไป อาวุธที่พระเอกใช้ก็มีลูกเล่นมากมายเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ฉากสู้กับผู้ร้ายหลายตัวนี่กลับจบเร็วกว่าที่คิด ฝั่งผู้ร้าย ไม่ได้แสดงความขลังเท่าที่ควรก็แพ้แล้ว ฝั่งพระเอกก็ได้อารมณ์ว่าชนะได้เพราะ healing factor มากกว่าความเก่ง จะมีแค่ฉากดวลกับโทดะ เอริกะ (ที่สู้เก่งที่สุดในเรื่อง) ที่ทำออกมาได้ลุ้นหน่อย
นอกจากนี้ ก็ยังมีตัวละครหลายตัวที่น่าจะมีความสำคัญในฉบับการ์ตูนระดับหนึ่ง แต่ก็โผล่ออกมาไม่มากนัก
การยกระดับความตึงเครียดในการดำเนินเรื่องยังทำได้ไม่ดี ถึงแม้ฉากสู้จะมีอยู่เป็นระยะๆ พอมาถึงตอนท้ายเรื่องที่พระเเอกต้องสู้กับกองทหารผู้ร้ายนับร้อย จึงไม่ลุ้นนัก ซึ่งก็น่าเสียดายที่ผู้กำกับเรื่องนี้ ทำได้ไม่ดีเท่าผลงานเก่าของตนอย่าง 13 Assassins ที่ทำฉากแบบนี้ได้ดีกว่ามาก ทั้งๆที่ใน 13 Assassins นี้ มีฉากบู๊โดยรวมน้อยกว่า Blade of the Immortal ด้วยซ้ำ และด้วยปัญหาในการชงอารมณ์คนดูนี้เอง พอเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉาก Boss Fight ที่มีความยาวพอสมควร คนดูก็เลยได้อารมณ์เหมือนดูให้มันจบๆมากกว่า
โดยรวมผมให้ 6.5/10 ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ไม่ดูก็ไม่เป็นไรครับ (ลึกๆคิดเหมือนกันว่า ถ้าหั่นเป็นสองถึงสามภาค แล้วให้คนกำกับซามูไรพเนจรมาทำน่าจะเจ๋งมากกว่านี้)
ป.ล.
1. Blade of the immortal ฉบับอนิเมทำออกมาดีไหมครับ (พิจารณาจากเรื่องเนื้อหาครบ + เคารพต้นฉบับ) หรือควรไปอ่านมังงะเลยจะดีกว่า
2. จากดูหนังเรื่องนี้จบ ผมก็พอที่จะพบคำตอบส่วนหนึ่งของคำถามที่ว่า "ทำไมการ์ตูนอเมริกาถึงทำออกมาเป็นหนังเจ๋งๆได้หลายเรื่อง ส่วนการ์ตูนญี่ปุ่นถึงทำออกมาเป็นหนังถึงหาเรื่องดีๆได้ยาก"
2.1 เนื้อเรื่องของการ์ตูนอเมริกากระทัดรัด สามารถทำแยกเป็นส่วนๆ ได้ง่ายกว่าการ์ตูนญี่ปุ่น เหมาะแก่การทำเป็นหนัง stand alone
ส่วนเนื้อหาการ์ตูนญี่ปุ่น (โดยเฉพาะสาย Shonen jump)จะค่อนข้างมีความต่อเนื่องไปจนจบ ถึงบางเรื่องจะมีการแบ่งเป็นภาคๆ เนื้อหาในแต่ละภาคก็ยาวอยู่ดี
ดังนั้น พอจะทำเป็นหนีง stand alone เนือหาก็ห้วนเกินไป แต่พอจะทำแบ่งหนังเป็นภาคย่อยก็หาจุดแบ่งภาคลำบาก และบางทีนายทุนญี่ปุ่นก็อยากที่จะทำแบบรวมภาคมากกว่าแยกภาคด้วย (ตัวอย่างของหนังที่สามารถแบ่งภาคออกมาได้ดี ก็คือซามูไรพเนจรภาคชิชิโอ กับปรสิต แต่ว่าการถ่ายทำจะทำออกมาแบบถ่ายทำหนังสองเรื่องในคราวเดียว แล้วฉายแบบแยกภาคแทน ซึ่งหากมองในมุมนายทุนก็เสี่ยงเกินไป )
2.2 ตัวละครในหนังที่ทำมาจากการ์ตูนอเมริกาส่วนใหญ่จะมีจำนวนน้อยกว่าการ์ตูนญี่ปุ่น (หากนับในสัดส่วนต่อเรื่อง)
ยกตัวอย่างเช่นใน
Batman ไตรภาคโนแลน - พระเอก 1ถึง 2 : ผู้ร้าย 1 ถึง 2
Captain America Winter Soldier - พระเอก 3 ผู้ร้าย2
๊Iron Man - พระเอก 1 ผู้ร้าย 1
ฺSaint Seiya ภาคโกลด์เซนต์ : พระเอก 5 ศัตรู 12 ( Saint Seiya: Legend of Sanctuary บรอนซ์เซนต์ที่ไม่ใช่เซย่าบทน้อยมาก โกลด์เซนต์ที่มีบทเด่นๆก็มีไม่กี่ตัว บางตัวก็โดนเขียนบทให้หายไปจากเรื่องแบบง่ายๆ)
ซามูไรพเนจร ภาคชิชิโอ : พระเอก 3+1 ผู้ร้าย 11 (แม้ซามูไรพเนจรภาคชิชิโอ จะทำออกมาเป็นภาคคนแสดงได้ดีทีเดียว แต่การเกลี่ยบทของจุปปงคาตาระกลับทำออกมาไม่ค่อยดีเลย)
การเกลี่ยบทในหนังที่ทำจากการ์ตูนญี่ปุ่นจึงทำออกมาลำบากกว่า
2.3 การต่อสู้ในการ์ตูนอเมริกาจะเน้นแนวตะลุมบอน ส่วนการ์ตูนญี่ปุ่นจะสู้แบบตัวต่อตัว
หนังที่ทำจากการ์ตูนอเมริกาอย่าง Civil War จึงยังสนุกอยู่ทั้งๆที่ มีฮีโร่จำนวนมากมาสู้กัน ส่วนหนังญี่ปุ่นที่มีตัวละครมากๆอยู่แล้ว จึงทำฉากสู้ให้ละเอียดๆครบทุกคนไม่ได้
ฤทธิ์ดาบไร้ปราณี Blade of the immortal (live action) : เสียดายที่ทำได้เกือบเจ๋ง
(อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เป็นตื่นเต้นกับเรื่องที่ มิอิเกะ เป็นผู้กำกับเท่าไรนัก เพราะจากผลงานของเขาที่ผมเคยดูเมื่อไม่นานมานี้อย่าง As the God Wills หรือ Terra Formars นั้น ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรนัก จนกระทั่งดูหนังจบแล้วกลับมาอ่านข้อมูลเพิ่มที่บ้านถึงค่อยรู้ว่า คนๆนี้เป็นผู้กำกับ 13 Assassins)
ที่จริงในช่วงแรกเริ่ม หนังเปิดตัวออกมาได้ดีทีเดียว มีการใช้ลูกเล่นหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น
-ในอดีตของพระเอก ก็มีการทำเป็นสีขาวดำ หรือการต่อสู้กับผู้ร้ายจำนวนมากๆ ก็ทำได้กดดัน ว่าพระเอกนี่จะไปถึงตัวหัวหน้า(ในช่วงต้นเรื่อง)ได้หรือไม่
- ฉากเปิดตัวผู้ร้ายสำนักอิตโตริวในเงามืดก็ทำออกมาดูอำมหิต น่ากลัว
-การปรากฎตัวของ Kuroi Sabato ก็จะมีบทกวีขึ้นบนหน้าจอ พร้อมกับบรรยากาศชวนหลอน ความจริงแค่ Character design ก็ได้อารมณ์หนังผีแล้ว (เพราะบนเกราะตัวละครก็มีการเขียนบทสวดนโม อมิตาพุทธ เป็นภาษาญี่ปุ่น) ตอนเปิดเผยว่า "ของติดไหล่" ของตัวละคนตัวนี้เป็นอะไรนี่ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวไปใหญ่
อย่างไรก็ตาม การดำเนินเรื่องหลังจากนั้น ก็เริ่มดร็อปลงอย่างน่าเสียดาย
ที่จริง ถ้าวางแผนดีๆ หนังเรื่องนี้สามารถทำออกมาได้ดีไม่แพ้ซามูไรพเนจรฉบับคนแสดงทีเดียว เพราะผู้ร้ายแต่ละคนก็มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันไป อาวุธที่พระเอกใช้ก็มีลูกเล่นมากมายเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ฉากสู้กับผู้ร้ายหลายตัวนี่กลับจบเร็วกว่าที่คิด ฝั่งผู้ร้าย ไม่ได้แสดงความขลังเท่าที่ควรก็แพ้แล้ว ฝั่งพระเอกก็ได้อารมณ์ว่าชนะได้เพราะ healing factor มากกว่าความเก่ง จะมีแค่ฉากดวลกับโทดะ เอริกะ (ที่สู้เก่งที่สุดในเรื่อง) ที่ทำออกมาได้ลุ้นหน่อย
นอกจากนี้ ก็ยังมีตัวละครหลายตัวที่น่าจะมีความสำคัญในฉบับการ์ตูนระดับหนึ่ง แต่ก็โผล่ออกมาไม่มากนัก
การยกระดับความตึงเครียดในการดำเนินเรื่องยังทำได้ไม่ดี ถึงแม้ฉากสู้จะมีอยู่เป็นระยะๆ พอมาถึงตอนท้ายเรื่องที่พระเเอกต้องสู้กับกองทหารผู้ร้ายนับร้อย จึงไม่ลุ้นนัก ซึ่งก็น่าเสียดายที่ผู้กำกับเรื่องนี้ ทำได้ไม่ดีเท่าผลงานเก่าของตนอย่าง 13 Assassins ที่ทำฉากแบบนี้ได้ดีกว่ามาก ทั้งๆที่ใน 13 Assassins นี้ มีฉากบู๊โดยรวมน้อยกว่า Blade of the Immortal ด้วยซ้ำ และด้วยปัญหาในการชงอารมณ์คนดูนี้เอง พอเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉาก Boss Fight ที่มีความยาวพอสมควร คนดูก็เลยได้อารมณ์เหมือนดูให้มันจบๆมากกว่า
โดยรวมผมให้ 6.5/10 ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ไม่ดูก็ไม่เป็นไรครับ (ลึกๆคิดเหมือนกันว่า ถ้าหั่นเป็นสองถึงสามภาค แล้วให้คนกำกับซามูไรพเนจรมาทำน่าจะเจ๋งมากกว่านี้)
ป.ล.
1. Blade of the immortal ฉบับอนิเมทำออกมาดีไหมครับ (พิจารณาจากเรื่องเนื้อหาครบ + เคารพต้นฉบับ) หรือควรไปอ่านมังงะเลยจะดีกว่า
2. จากดูหนังเรื่องนี้จบ ผมก็พอที่จะพบคำตอบส่วนหนึ่งของคำถามที่ว่า "ทำไมการ์ตูนอเมริกาถึงทำออกมาเป็นหนังเจ๋งๆได้หลายเรื่อง ส่วนการ์ตูนญี่ปุ่นถึงทำออกมาเป็นหนังถึงหาเรื่องดีๆได้ยาก"
2.1 เนื้อเรื่องของการ์ตูนอเมริกากระทัดรัด สามารถทำแยกเป็นส่วนๆ ได้ง่ายกว่าการ์ตูนญี่ปุ่น เหมาะแก่การทำเป็นหนัง stand alone
ส่วนเนื้อหาการ์ตูนญี่ปุ่น (โดยเฉพาะสาย Shonen jump)จะค่อนข้างมีความต่อเนื่องไปจนจบ ถึงบางเรื่องจะมีการแบ่งเป็นภาคๆ เนื้อหาในแต่ละภาคก็ยาวอยู่ดี
ดังนั้น พอจะทำเป็นหนีง stand alone เนือหาก็ห้วนเกินไป แต่พอจะทำแบ่งหนังเป็นภาคย่อยก็หาจุดแบ่งภาคลำบาก และบางทีนายทุนญี่ปุ่นก็อยากที่จะทำแบบรวมภาคมากกว่าแยกภาคด้วย (ตัวอย่างของหนังที่สามารถแบ่งภาคออกมาได้ดี ก็คือซามูไรพเนจรภาคชิชิโอ กับปรสิต แต่ว่าการถ่ายทำจะทำออกมาแบบถ่ายทำหนังสองเรื่องในคราวเดียว แล้วฉายแบบแยกภาคแทน ซึ่งหากมองในมุมนายทุนก็เสี่ยงเกินไป )
2.2 ตัวละครในหนังที่ทำมาจากการ์ตูนอเมริกาส่วนใหญ่จะมีจำนวนน้อยกว่าการ์ตูนญี่ปุ่น (หากนับในสัดส่วนต่อเรื่อง)
ยกตัวอย่างเช่นใน
Batman ไตรภาคโนแลน - พระเอก 1ถึง 2 : ผู้ร้าย 1 ถึง 2
Captain America Winter Soldier - พระเอก 3 ผู้ร้าย2
๊Iron Man - พระเอก 1 ผู้ร้าย 1
ฺSaint Seiya ภาคโกลด์เซนต์ : พระเอก 5 ศัตรู 12 ( Saint Seiya: Legend of Sanctuary บรอนซ์เซนต์ที่ไม่ใช่เซย่าบทน้อยมาก โกลด์เซนต์ที่มีบทเด่นๆก็มีไม่กี่ตัว บางตัวก็โดนเขียนบทให้หายไปจากเรื่องแบบง่ายๆ)
ซามูไรพเนจร ภาคชิชิโอ : พระเอก 3+1 ผู้ร้าย 11 (แม้ซามูไรพเนจรภาคชิชิโอ จะทำออกมาเป็นภาคคนแสดงได้ดีทีเดียว แต่การเกลี่ยบทของจุปปงคาตาระกลับทำออกมาไม่ค่อยดีเลย)
การเกลี่ยบทในหนังที่ทำจากการ์ตูนญี่ปุ่นจึงทำออกมาลำบากกว่า
2.3 การต่อสู้ในการ์ตูนอเมริกาจะเน้นแนวตะลุมบอน ส่วนการ์ตูนญี่ปุ่นจะสู้แบบตัวต่อตัว
หนังที่ทำจากการ์ตูนอเมริกาอย่าง Civil War จึงยังสนุกอยู่ทั้งๆที่ มีฮีโร่จำนวนมากมาสู้กัน ส่วนหนังญี่ปุ่นที่มีตัวละครมากๆอยู่แล้ว จึงทำฉากสู้ให้ละเอียดๆครบทุกคนไม่ได้