แบ่งปันมุมมองของครูที่ได้ไปฝั่งตัวในระบบ รร ขยายโอกาสใน กทม และได้เรียนรู้ปัญหาของการศึกษาของเรา

บทความของครู sky หรือ Thunhavich Thitiratsakul ทำหน้าที Fellow โครงการ Teach for Thailand ซึ่งได้แบ่งปันมุมมองปัญหาของการเรียนซึ่งผมมองว่าตรงนี้และทั้งเด็กที่มีโอกาสและด้อยโอกาสก็ต้องการสิ่งเดียวกัน
นั้นคือความเชื่อความศัทธาในตัวเด็ก อยากให้พ่อแม่หลายๆคนได้อ่านและนำมุมมองที่ได้จากเรื่องนี้ไปลองประยุคใช้กับเด็กๆลูกๆในครอบครัวดูครับผม
ผมผู้เขียนเป็นผู้เข้าร่วมฟังเสวนาแล้วได้ถอดเทป ถ้าผู้ได้สนใจสามารถฟังรายละเอียเต็มๆได้จาก https://www.facebook.com/search/top/?q=teach%20for%20thailand%20x%20thammasat
--------------
ปัญหาการศึกษา ที่เรายังมองไม่เห็น นโยบายก็แค่ไม่ได้ เงินสนุนก็แก้ไม่ได้ วันแรก ไปสอนด้วยความเชื่อที่ผมจะไปแก้ปัญหาได้ ผมเปิดเพลงความเชื่อของ Body slam  ระหว่างทางขับรถไปสอนที่ รร. วันแรก
มีหลายคนขู่ผมไว้ว่าเด็กเนี่ยมีความรู้ต่ำกว่าพื้นฐานอยู่ 3 - 4 ปี  ผมสอนเด็ก ม. 1 ดังนั้น 3 - 4 ปี  ก็น่าจะอยู่ประมาณ ป. 4  ผมก็ลองนึกว่าเด็ก ป. 4 ทำอะไรได้บ้างก็น่าจะบวก ลบ คูณ หาร ได้และ
แต่ว่าสิ่งที่ผมพบครับเด็กแย่กว่านั้นครับเกือบทั้งห้อง บวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้และ เกินครึ่งห้องท่องสูตรคูณไม่ได้ และมีแค่ 5 คนจาก 40 คนที่สามารถหารได้
และอีก 10 คนที่บวกลบเลขได้ ผมลองถามเค้าว่า 35 ลบ 27 ได้ 12 คือ 5 ลบ 7 ได้ 2 และ 3 ลบ 2 เหลือ 1 ก็เลยตอบ 12
เฮ้ยนี่มันหนักกว่าที่เราคิด เราจะทำอะไรได้ วันนั้นครับผมก็พูดโป่งออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลยว่า ทุกคนฟัง ตอนนี้คนเนี่ยนะพื้นฐานทุกคนยังไม่ได้ระดับ ทุกคนจะต้องเก่งกว่านี้
ครูสัญญาว่าเทอมนี้ทุกคนจะต้องผ่านเลขได้ เด็กทุกคนเงียบกริบแบบนี้เลยครับ(แบบในห้องประชุมที่เงียบตอนนี้) เด็กได้แต่ยิ้ม (เสียงในห้องประชุมมีหัวเราะนิดหน่อย)
หลังจากนั้นทั้งเทอมผมก็สอนไป ตั้งใจปรับพื้นฐานทั้งหมด สอนหลังเลิกเรียน มีคลิปอะไรผมก็เอามาเปิด Khan Acandemy ผมก็เอามาเปิด มีสื่อะไรทั้งหลายในโลกนี้ผมก็เอามาเปิดให้นักเรียนดู
ผลปรากฏว่าสิ้นเทอมผลสอบจากเด็ก 40 คน 35 คนตก และ 5 คนที่ผ่าน และ 5 คนนี้ก็คือ 5 คนที่สามารถหารเลขเป็นตั้งแต่วันแรกแล้ว

ผมก็ซ๊อค แล้วปัญหาอยู่ที่อะไรหละ ผมก็สอนหนังสือ ผมก็ไม่น่าสอนแย่ขนาดนั้นนะครับ
และวันหนึ่งผมก็ไปคุมฐานคณิตศาสตร์ในวันวิชาการของโรงเรียน ผมก็รอเด็กมาที่ฐาน จากนั้นก็มีเด็กประถมเล็กๆเดินผ่าน ผมก็พยามชักชวนเข้ามาๆๆๆ มาเล่นเกมกันถ้าใครเล่นผ่านผมให้ 2 ตัวปั้มเลย
ก็มีเด็กเข้ามาเยอะแยะเลย ก็มาสนใจว่าเกมอะไรถามอะไรพยามจะตอบกัน ซึ่งเด็กก็กำลังตื่นเต้นเล่นๆไป (เอ้ยแกอันนี้ทำอย่างไรดีเด็กคุยกัน) ซักพักมีเสียงมาจากด้านหลังว่า
"ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ โง่ ก็อย่างทำให้ใครเค้ารู้ว่าเราโง่"  ผมหันหลังไปดูครับปรากฏว่าเป็นครูประถมท่านหนึ่ง ตะโกนบอกเด็กแบบนี้ครับ และหลังจากนั้นเด็กที่กำลังเล่นกำลังสนุกก็วางของลง
และเด็กเหล่านั้นก็บอกผมว่าครูผมไม่เล่นแล้ว ผมทำไม่ได้หรอก ตัวปั้มผมไม่เอาแล้ว ครับแล้วเด็กก็เดินลงไปเลย
ตั้งแต่วันนั้นผมเริ่มรู้และผมเริ่มตาสว่างว่าจริงๆแล้วไอ้ปัญหาที่เราจะทำตั้งใจจะทำ ว่าจะสอนให้เด็กแก้ปัญหาเลขนั้น คิดเลขให้เป็น เราทำผิดทางหรือป่าว
จริงๆเด็กเองก็อยากจะทำนะ เด็กเค้ามีความสังสัยมีความพยาม หรือมันเป็นที่ คำพูดอะไรบางอย่าง
วันต่อมาผมก็สอนคณิตศาสตร์ต่อปกติ ผมจำได้ว่าวันนั้นผมสอนเรื่องเศษส่วนอยู่ ซักพักผมก็สอนไม่ได้และเพราะไอ้เรื่องเมื่อวานมันติดอยู่ในหัวผมตลอด
ผมขอถามทุกท่านนั้นห้องนี้ก่อนครับ (ว่าใครเคยโดนด่าว่าไอ้เลว ไอ้ชั่วบ้าง) ในห้องฟังมีคนยกมือนิดหน่อย
แต่คำถามเดียวกันนี้ที่ผมได้ถามกับในห้องนักเรียนปรากฏว่าเกินครึ่งห้องครับยกมือ และมีบางคนไม่ยกมือเลยได้แต่นั่งนิ่งๆผมก็ถามเค้าว่าทำไมไม่ยกมือ
เด็กก็ตอบว่าคำด่าพวกนี้จิ๊บๆครับครูผมโดนด่าแรงกว่านี้อีกครับ บางคนโดนด่าว่าเป็นสัตว์เลื้ยคลานชนิดหนึ่ง
เด็กบางคนโดนด่าว่าไอ้ลูกอกตัญญู เด็กบางคนโดนถีบออกจากบ้าน โดนเข็มขัดฟาดหน้าและไล่ออกจากบ้าน หนักสุดที่ผมได้ยินคือโดนขู่ฆ่า
และก็มีเด็กบางคนที่ออกจา รร. ไปแล้วก็โดนพ่อเลี้ยงข่มขื่น นี่คือเด็กที่ผมเคยเจอ อันนี้คือ รร ใน กทม. นะครับซึ่งเป็น รร. ที่ใกล้ๆกับพวกเรานะครับ
ณ ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมเองก็เลยบอกเค้าไปว่า นร. เมื่อวานครูไปคุมฐานคณิตศาสตร์มีครูคนหนึ่งมาด่าเค้า ว่าโง่ อย่าทำให้เค้ารู้ว่าว่าโง่ซิ
ตอนนั้นเด็กทุกคนอึ้งและบอกผมว่าครูทำไมโดนอย่างนั้นนะ มันแรงไปมั้ย และน้องเค้าเป็นอย่างไร
คือเด็กทุกคนไม่ได้ชินครับ เด็กทุกคนบอกว่าเค้ารู้สึก ว่าคำพูดพวกนี้มันทำร้ายเค้าอยู่ คำพูดพวกนี้เค้าไม่ชอบ
ผมก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันปล่อยผ่านไปไม่ได้ ผมก็เลยบอก นร. ว่ารู้อะไรมั้ย ครูก็เคยโดนด่าเหมือนกัน ก่อนที่จะมาเป็นครูก็มีหลายคนพูดว่า sky นี่นะเป็นครูไม่ได้หรอก
ไอ้ปัญหาพวกนี้แก้อะไรไม่ได้หรอ ไม่ต้องไปทำหรอกไอ้ปัญหาพวกนี้ ทำงานตามปกติก่อนดีกว่า
เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้ ให้ใครมาสนับสนุนเราได้ แต่เราบังคับตัวเองได้ ผมบอกเค้าไปว่าเรามีสองทางเลือกที่เราจะเลือกได้คือ
1 เราจะเชื่อว่าคนพวกนี้ด่าว่าเราเลว เราไร้ค่า และก็เป็นแบบนั้นจริง หรือ
2 เราจะไม่เชื่อ เราเชื่อมั่นตัวเองว่าเราทำได้ เราเป็นครูที่ดีได้ เราเป็น นร. ที่เก่งได้
ตั้งแต่นั้นครับผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนแปลง ผมมอง นร. แล้วบอกเค้าว่า รู้อะไรม่ะหลายคนด่าว่าเราเลวใช่ม่ะ ด่าว่าเราโง่ แต่การที่เราผ่านอะไรพวกนี้มา 12 ปี แล้วมานั่งอยู่ตรงนี้ได้
มานั่งอยู่ในห้องเรียน มานั่งเรียนคณิตศาสตร์ได้ ทั้งที่โดนด่าว่าไอ้เลว ไอ้ชั่ว โดนถีบออกจากบ้าน นั้นแปลว่าเราเก่งแล้ว เราชนะมันมา 12 ปี เราไม่ได้แย่ เราผ่านมันมา 12 ปีแล้ว
และเราก็มาเจอกันตรงนี้ ครูก็มาสอน และ นร. ก็มาเรียน เรามาช่วยกันดีกว่า ผมบอกเค้าไปว่าผมเชื่อมั่นพวกเค้ามาก เชื่อว่าพวกเค้าทำได้ เชื่อว่าพวกเค้าเป็นคนดี
เชื่อว่าเค้าเก่งกว่านี้ได้ ผมเชื่อคนเดียวไม่พอ ทุกคนต้องช่วยกันด้วย ผมสัญญากับพวกเค้าว่าต่อจากนี้ จะสอนให้สนุกที่สุด ตอนนั้นผมลืมคิดไปแล้วเรื่องบทเรียนบวก ลบ คูณหาร
ผมแค่บอกเค้าว่าจะสอนให้สนุกที่สุด จะสอนให้มีความสุขที่สุด และทำให้พวกเราเชื่อมั่นตัวเองให้ได้ว่าเราเก่ง เราทำได้ เราสำเร็จได้ ไม่เหมือนที่ใครดูถูกกัน
และผมก็ขอเค้าให้ทุกคนพูดประโยคตามผมว่า  
เราเป็นคนดี   เราเก่งกว่านี้ได้   เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ซึ่งเด็กในนั้นมี 2 คนที่พูดออกมาจริงๆ และคนที่เหลือได้แต่ พรึบพร่ำๆ
เพราะอะไรครับ เพราะไม่เคยมีใครมาบอกเค้าครับว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนเก่ง  เราทำได้นะ ไม่เคยมีใครมาพูดกับเค้าแบบนี้
และตั้งแต่วันนั้นครับทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ห้องเรียนของเรามันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นความศัทธาครับ เราพยามด้วยกันมากขึ้นเด็กมาเรียนด้วยความว่าครูฟังเค้าจริงๆ
ครูไม่ได้มาเพื่อแค่สอนๆอย่างเดียว และก็สนุกทำให้ห้องนี้มันมีความสุขไปกับเค้า และโตไปด้วยกัน
=-===
ตัดมาครู sky เปิดวีดีโอให้ดูและก่อนเปิดบอกว่า ก่อนหน้านี้เด็กๆจะนั่งเรียนแบบเงียบๆ นั่งฟั่งอย่างเดียวแล้วก็จดๆ  
ในวีดีโอนี้ เด็กมีการทำงานกลุ่มอยู่ที่เป้นการเล่นเกมทำโจรทย์คณิตและตะโกนเรียกครูๆๆ กลุ่มหนูทำเสร็จแล้ว และแต่ละกลุ่มก็ตะโกนเรียกครูแข่งกันให้ครูมาดูผลงานของกลุ่มตัวเอง
****ตรงนี้ผมขอใส่รายละเอียดของผู้ฟังการบรรยายอยู่ ต้องบอกว่าผมนี่น้ำตาแทบไหลก็ตรงนี้เลย ผมเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ผมเห็นความสนุก ความสุข ความเบิกบาน
ซึ่งสภาพใจแบบนี้แหละที่เป็นสภาพใจแห่งการเรียนรู้หรือพร้อมที่จะเรียนรู้แท้จริง มันกินใจผมมากทั้งภาพและเสียงในวีดีโอ****
และนั้นก็หมายถึงว่าเค้าเริ่มเชื่อว่าเค้าทำได้  เค้ามั่นใจว่าเค้าทำอะไรได้บางสิ่ง เด็กๆตะโกนว่าครูดูๆๆๆ  แต่เด็กหลายคนก็ยังทำโจรทย์ผิดอยู่(ในห้องประชุมหัวเราะ) แต่เค้าก็พยามแล้ว
และเค้าก็เชื่อว่าเค้าทำได้ เด็กไม่ได้มาเรียนแบบนั่งจ๋อยๆแล้ว หลังจากนั้นครับช่วงใกล้สอบผมก็บอกเค้า นร. ว่า ทุกคนฟังครับ ข้อสอบเนี่ยมันไม่ได้ยาก
ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ของให้มั่นใจให้ทุกคนทำเต็มที่ ฝึกฝนพยามครับ และพอเข้าไปทำเต็มที่และให้ออกมาจากห้องสอบด้วยความภาคภูมิใจว่าเราทำได้
มีเด็กคนหนึ่งครับที่ออกมาจากห้องสอบด้วยท่าทางมั่นใจมากและบอกกับครูว่า ครูข้อสอบนี้มันขี้ๆ ง่ายมาก(เสียงหัวเราะในห้องประชุม)  ผลปรากฏว่าไอ้คนนั้นตกนะอ่ะ (เสียงหัวเราะในห้องประชุม)
ซึ่งแต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมดีใจว่า ก็อย่างน้อยเค้าเชื่อว่าเค้าทำได้ ถึงแม้เค้าจะยังทำไม่ได้จริงๆ  แต่เค้าเชื่อแล้ว และต่อจาากนั้นค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน แต่วันนี้เค้าเชื่อแล้วว่าเค้าทำได้
ความสามารถเด๋วค่อยมาซ่อม หลังจากนั้นก็มีเด็กหลายคนก็มาซ่อมกับผมและก็พัฒนาตนเองขึ้นมาได้  สิ่งหนึ่งที่หลายคนลืมคิดไปเกี่ยวกับห้องเรียนนะครับคือความศัทธาซึ่งกันและกัน
ครูต้องศัทธาในตัวเด็กว่าเค้าทำได้ เค้าพัฒนาได้ ต้องเป็นคนเก่งกว่านี้ได้  และเด็กก็จะต้องเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน และเด็กต้องรู้สึก ครูแค่พูดก็ไม่ได้ ครูต้องทำด้วย
นี่เป็นสิ่งที่นโยบายไม่ได้เขียนไว้ในบทเรียน หลายคนอาจจะลืมไปว่าไอ้สิ่งง่ายๆแค่นี้มันจะแก้ปัญหาได้ มีครูท่านหนึ่งครับชื่อว่า Rita Pierson พูดว่า Every kid needs a champion.
นั้นหมายความเด็กเค้าต้องการผู้ใหญ่ซักคนหนึ่งที่จะไม่ยอมแพ้ในตัวเค้า เชื่อในพลังของconnections  และเชื่อว่าเค้าสามารถโตเป็นคนที่เก่งและดีที่สุดในแบบที่เค้าเป็นได้
สิ่งนี้ครับเป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะลืมนึกไป และการที่เราเชื่อแบบนี้ มันให้อะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเยอะมาก มีเด็กหลายคนผมเชื่อว่ามีหลายคนที่มีครูในดวงใจถูกมะ ผมว่าน่าจะมีอย่างน้อยซักหนึ่งคน มีผู้ใหญ่ในดวงใจที่ศัทธาในตัวเรา
ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็สนับสนุนเรา ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น แต่สำหรับเด็กใน รร. ขยายโอกาสนี้ที่ผมสอนและอีกมากมายใน กทม. เด็กบางคนต้นทุนชีวิตต่ำบ้างก็จน พ่อแม่ก็เลิกกันและด่าเด็กอีก ครูก็ด่า
ดังนั้นการที่เค้ามีใครซักคนแค่คนเดียวเนี่ยแหละครับที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเค้าจริงๆ ศัทธาในตัวเด็กจริงๆ แค่นี้มันก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของเค้าได้แล้ว เปลี่ยนชีวิตคนรอบข้างเปลี่ยนชีวิตครอบครัวเค้า ให้เค้าโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
โตเป็นคนที่มีชีวิตดีกว่าเดิมได้ และสุดท้ายตอนนี้ยังมีเด็กแบบนี้อยู่อีกเยอะเด็กที่ขาดคนที่จะเชื่อในตัวเค้าอยู่  ตอนนี้ผมเองเป็นครูได้ปีครึ่งเจอเด็กได้ประมาณ 2 - 3 ร้อยคน ผมก็เชื่อทุกคนแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้นได้
แต่สิ่งที่ผมพบก็คือความสุขของการที่มาเป็นครูของผมเนี่ยคือ คือการได้ให้ ได้ให้ความเชื่อ ให้ความศัทธากับเด็กทำให้เค้ามีโอกาส โตขึ้นมาเป็นเด็กทีดีกว่านี้ได้
เป็นครูเหนื่อยมาก เป็นชีวิตที่เหนือ่ยมาก แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่เป็นครูที่ให้โอกาส ให้ความศัทธากับเด็ก เท่าที่คนคนหนึ่งจะให้ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่