[CR] ยุโรปตะวันออก บนเส้นทางแห่งฝัน ออสเตรีย + เยอรมัน


เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวหลายแห่ง คือวิถีชีวิตผู้คนที่กำลังเร่งฝีเท้าก้าวตามความเปลี่ยนแปลง




ยุโรปมีอะไร? ทำไมต้องไปยุโรป? ไม่กลัวเหรอ?

    ฉันได้ยินคำถามนี้อยู่บ่อยก่อนกำหนดวันเดินทางจริง อาจเป็นเพราะมีเหตุจราจลเกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุโรป โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสกับเยอรมัน การจะให้เหตุผลกับใครว่า “ทำไม” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสำหรับฉันในช่วงเวลานี้...ยุโรปมีความพิเศษที่ยั่วยวนใจอยู่หลายอย่าง แม้ความยั่วยวนใจที่ว่าจะไม่ใช่เรื่องน่าศิวิไลซ์ไปเสียทั้งหมด


นอกจากประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านสถาปัตยกรรมเก่าแก่และร่วมสมัย อีกทั้งวิวทิวทัศน์สุดโรแมนติกและความสวยงามจากการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไว้อย่างดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในเวลานี้ คือ ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของยุโรป หลังผลโหวต Brexit เมื่อสหราชอาณาจักรผลักตัวเองออกจากการรวมกลุ่มเป็นสหภาพ รวมถึงสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อเรื่องผู้อพยพจากภัยสงครามและเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ฉันอยากไปให้เห็นกับตาว่าบรรยากาศโดยรอบและการใช้ชีวิตของผู้คนที่นั่นแตกต่างไปจากยุโรปที่เคยไปเยือนเมื่อ 5 ปีก่อนอย่างไร


การเดินทางในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การออกไปแยบยลชมความมั่งคั่งของประเทศพัฒนาแล้วหรือการชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่กลับเป็นการมองดูวิถีชีวิตของผู้คนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในยุคที่หลายคนมองว่าความก้าวหน้านั้นกำลังเปลี่ยนสภาพ...เส้นทางนี้จึงเป็นจุดรอยต่อระหว่างภาพในจินตนาการความฝันที่สวยงามของนักเดินทางอย่างฉัน ภาพเสมือนจริงที่ถูกสร้างให้เป็น และความเป็นจริงที่อาจถูกมองข้ามไป

ในที่สุด...เยอรมันและออสเตรียจึงเป็นประเทศที่ถูกเลือก!!


ซาลส์บวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย

เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น “มนต์เสน่ห์แห่งแอลป์” เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา อีกทั้งยังมีแนวเทือกเขาแอลป์ตั้งเด่นเป็นฉากหลังให้ได้สัมผัสถึงความอลังการสมกับเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรีย อิตาลี สโลวาเนีย ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตล์ เยอรมัน และฝั่งตะวันตกของฝรั่งเศส


    คำว่า “ซาลส์” (Salz)  เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า “เกลือ” คล้ายกับ “ซอลท์” (Salt) ในภาษาอังกฤษ ที่มาของชื่อเมืองมาจากสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งค้าเกลือเก่าแก่ มีแม่น้ำซาลส์ซัค (Salzach) สีเขียวมรกตไหลผ่านตัวเมือง คั่นระหว่างเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ในปัจจุบัน ว่ากันว่าสมัยก่อนนั้นเกลือเป็นวัตถุดิบที่มีค่ามากเปรียบเสมือนทองคำ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นทำให้ผู้คนแถบนี้ต้องใช้เกลือในการถนอมอาหาร เมื่อเป็นดินแดนแห่งการค้าซาลส์บวร์กจึงเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งมาตั้งแต่อดีต


ในยุโรปผู้คนอยู่อาศัยท่ามกลางอารยธรรมสมัยเก่าที่ทิ้งร่องรอยไว้แทบทุกตารางนิ้วของพื้นที่ วิหาร ปราสาท ตึกรามบ้านช่องชวนให้ย้อนคิดถึงความรุ่งเรืองและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัย กระทั่งหลายประเทศออกกฎหมายไม่ให้มีการดัดแปลงอาคารดั้งเดิมภายนอก หรือไม่ก็กำหนดเขตโซนเมืองเก่าและเมืองใหม่ไว้อย่างชัดเจน เพื่อรักษาเอกลักษณ์ความเป็นเมืองไว้อย่างนั้นซึ่งสามารถดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้

ด้วยสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยศิลปะแบบบาโรค ซาลส์บวร์กจึงได้ชื่อว่าเป็นนครหลวงแห่งศิลปะบาโรค ทั้งป้อมโฮเฮนซาลส์บวร์ก (Hohensalzburg) ป้อมปราการที่ได้รับการยกย่องว่าหลงเหลือความสมบูรณ์ไว้มากที่สุดในโลก, มหาวิหารประจำเมือง (Salzburg Cathedral) ที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่หลังถูกถล่มเสียหายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และสถาปัตยกรรมย่านเมืองเก่าอื่นๆ ก็ยังคงตั้งอยู่ให้เห็นทั่วไป ทำให้ซาลส์บวร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997



นอกจากความงามของทัศนียภาพและบรรยากาศของเมืองเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติแล้ว ซาลส์บวร์กยังเป็นบ้านเกิดของคีตกวีระดับโลกอย่าง “โมสาร์ท” (Mozart) และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ The Sound of Music ที่โด่งดัง จนทำให้สวนมิราเบล (Mirabell Garden) สวนบาโรคที่ออกแบบในลักษณะเรขาคณิตซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ กลายเป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งของนักเดินทาง แม้กระทั่งที่พักของฉันยังเปิดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ชมตอนเวลา 2 ทุ่มของทุกวัน


    แม้เมืองซาลส์บวร์กตั้งอยู่ในประเทศออสเตรียก็จริง แต่เป็นเมืองติดพรมแดนฝั่งเยอรมันมากกว่า ห่างจากมิวนิคประมาณ 150 กิโลเมตรแต่ห่างจากกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรียราว 300 กิโลเมตร ซาลส์บวร์กจึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาผู้อพยพ สถานีรถไฟประจำเมืองสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เป็นอย่างดี หน้าสถานีรถไฟเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่คล้ายว่ากำลังใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่พักพึงชั่วคราว ตำรวจเดินตรวจตราไปมา บ้างกำลังยืนสอบสวนหรือไม่ก็พูดคุยกับคนเหล่านั้น เวลานั้นเองที่ทำให้ฉันคิดว่า Salzburg ในสายตาของนักเดินทางอย่างฉัน ช่างแตกต่างจากความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งที่ผู้คนกลุ่มนี้กำลังเผชิญอยู่


จากซาลส์บวร์กเขยิบไปทางทิศตะวันออกเข้าใกล้เวียนนาอีกหน่อย “ฮัลล์สตัทท์” (Hallstatt)


ออสเตรียเป็นเมืองปลีกวิเวกและเป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งซึ่งพลาดไม่ได้ ฮัลล์สตัทท์เป็นเมืองชนบทเก่าแก่เล็กๆ อายุราว 600-700 ปีที่มีฉากหน้าอยู่ติดริมทะเลสาบและมีฉากหลังเป็นภูเขา ด้วยภูมิประเทศที่โอบล้อมด้วยหุบเขาและใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างมากทำให้ฮัลล์สตัทท์ในแต่ละฤดูกาลมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ทั้งหิมะสีขาวโพลนในหน้าหนาว สีส้มเหลืองบาดตาในฤดูใบไม้ร่วงและสีเขียวชอุ่มในฤดูใบไม้ผลิและหน้าร้อน แถมอาจจะเจอฝนตกให้ชุ่มฉ่ำได้ตลอดเวลา ขนาดตัวฉันเองยังได้เจอทั้งแดด ลม ฝนและความหนาวเย็นเฉียบในวันเดียว จนหาที่หลบแทบไม่ทัน



เนื่องจากอยู่ใกล้แนวเขา การจัดวางบ้านเรือนของที่นี่จึงไล่ระดับลดหลั่นตามระดับความสูงชัน และกลมกลืนกับธรรมชาติสังเกตเห็นได้จากพืชพันธุ์ไม้ที่เกาะเกี่ยวอยู่ตามผนังบ้านด้านนอกจนทำให้บ้านเรือนเหล่านั้นดูคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขา แม้ไม่ได้ซอกแซกเยี่ยมชมเมืองได้อย่างละเอียดลออด้วยเวลาและสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจเท่าใดนัก แต่ฮัลล์สตัทท์ก็คงความสง่างามและโรแมนติกไว้สมคำร่ำลือ เป็นเมืองที่ต้องตั้งใจมาแต่มาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน


**หมายเหตุ ช่วงเวลาการเดินทางของพวกเรา อยู่ช่วงเดินตุลาคมปี 2016 นะคะ
ชื่อสินค้า:   เยอรมันนี ออสเตรีย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่