นับว่าเป็นเรื่องที่พิศวงงงงวยที่นักเรียนชายชั้นมัธยมปลายคนหนึ่ง เมินเฉยต่อเกียรติประวัติอันสำคัญจาก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เสนอ "รางวัลสิทธิมนุษยชน" ประเภทเด็กและเยาวชนให้
ด้วยบทบาทการรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน ถือว่าเป็นเกียรติภูมิที่ กมส.มองเห็น
ในนามของผู้ได้รับการเสนอชื่อ "เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล" หรือ "แฟงค์" นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
แห่งโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย
กลับตอบ "ปฏิเสธ" ด้วยเหตุผลที่แสบสะเทือนไปทั้งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของสยามประเทศ
เด็กหนุ่มบอกว่า "เป็นเพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของ กสม. ดูเหมือนไม่มีความจริงใจหรือสนใจประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิฯ
ทั้งกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 รวมถึงก็ไม่เคยแสดงท่าทีสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนแต่อย่างใด"
พร้อมกันนี้ยังเสนอชื่อบุคคลอื่นที่เขาคิดว่ามีความเหมาะสมกว่า
เนติวิทย์ นับเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่เป็นฟันเฟืองและกลไกขับเคลื่อนในแวดวงการศึกษาของไทย จนสร้างความฮือฮา
และเป็นที่โจษขานอย่างมากต่อสังคม ด้วยการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องสิทธิบนเรือนในร่างกาย ทั้งเรื่องทรงผม
ทั้งเรื่องเครื่องแบบนักเรียน ที่พวกเขาพึงมี มากกว่าเป็นการถูกบังคับ
"และที่กว้างไกลไปกว่านั้น คือ "การปฏิรูปการศึกษาไทย"
เนติวิทย์ บอกว่า การถูกกดทับมานาน โดยเฉพาะเรื่องทรงผมที่บังคับให้นักเรียนต้องตัดให้สั้น ให้เกรียน นั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องมาบังคับ
แล้วต่อมาเมื่อทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีกฎระเบียบให้นักเรียนผ่อนผันไว้ผมทรงรองทรงได้ แต่ทว่า โรงเรียนต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามเท่าใด
นักเรียนยังถูกบังคับให้ตัดสั้นเกรียนอยู่ดี
"จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักเรียน เพื่อก่อให้เกิดสิทธิและเสรีภาพบนเรือนร่างมนุษย์"
ย้อนกลับไปดูที่ไปที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้
เกิดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2539 แต่ภูมิลำเนาเป็นชาว ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สุมทรปราการ
ชีวิตในวัยเด็กเติบโตอยู่ในย่านนี้ โดยพื้นฐานครอบครัวทั้งบิดา และมารดาต่างประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ด้วยการเปิดร้านขายของชำ
หรือร้านโชห่วยทั่วไปแถวๆ บ้าน
"ตอนเด็กๆ ผมก็ใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเด็กทั่วๆ ไป ไม่ใช่หัวรุนแรงอย่างที่คนอื่นเขาคิด"
เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนจีนชื่อว่าป้วยฮั้ว จนสำเร็จการศึกษาถึงประถมศึกษาปีที่ 6
ต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กระทั่งปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ถามเรื่องการเรียน และผลการเรียน?
"เกรียน"แห่งยุคสมัย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ผู้ปฏิเสธรางวัลจาก"กรรมการสิทธิฯ"
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เสนอ "รางวัลสิทธิมนุษยชน" ประเภทเด็กและเยาวชนให้
ด้วยบทบาทการรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน ถือว่าเป็นเกียรติภูมิที่ กมส.มองเห็น
ในนามของผู้ได้รับการเสนอชื่อ "เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล" หรือ "แฟงค์" นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
แห่งโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย
กลับตอบ "ปฏิเสธ" ด้วยเหตุผลที่แสบสะเทือนไปทั้งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของสยามประเทศ
เด็กหนุ่มบอกว่า "เป็นเพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของ กสม. ดูเหมือนไม่มีความจริงใจหรือสนใจประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิฯ
ทั้งกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 รวมถึงก็ไม่เคยแสดงท่าทีสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนแต่อย่างใด"
พร้อมกันนี้ยังเสนอชื่อบุคคลอื่นที่เขาคิดว่ามีความเหมาะสมกว่า
เนติวิทย์ นับเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่เป็นฟันเฟืองและกลไกขับเคลื่อนในแวดวงการศึกษาของไทย จนสร้างความฮือฮา
และเป็นที่โจษขานอย่างมากต่อสังคม ด้วยการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องสิทธิบนเรือนในร่างกาย ทั้งเรื่องทรงผม
ทั้งเรื่องเครื่องแบบนักเรียน ที่พวกเขาพึงมี มากกว่าเป็นการถูกบังคับ
"และที่กว้างไกลไปกว่านั้น คือ "การปฏิรูปการศึกษาไทย"
เนติวิทย์ บอกว่า การถูกกดทับมานาน โดยเฉพาะเรื่องทรงผมที่บังคับให้นักเรียนต้องตัดให้สั้น ให้เกรียน นั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องมาบังคับ
แล้วต่อมาเมื่อทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีกฎระเบียบให้นักเรียนผ่อนผันไว้ผมทรงรองทรงได้ แต่ทว่า โรงเรียนต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามเท่าใด
นักเรียนยังถูกบังคับให้ตัดสั้นเกรียนอยู่ดี
"จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักเรียน เพื่อก่อให้เกิดสิทธิและเสรีภาพบนเรือนร่างมนุษย์"
ย้อนกลับไปดูที่ไปที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้
เกิดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2539 แต่ภูมิลำเนาเป็นชาว ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สุมทรปราการ
ชีวิตในวัยเด็กเติบโตอยู่ในย่านนี้ โดยพื้นฐานครอบครัวทั้งบิดา และมารดาต่างประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ด้วยการเปิดร้านขายของชำ
หรือร้านโชห่วยทั่วไปแถวๆ บ้าน
"ตอนเด็กๆ ผมก็ใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเด็กทั่วๆ ไป ไม่ใช่หัวรุนแรงอย่างที่คนอื่นเขาคิด"
เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนจีนชื่อว่าป้วยฮั้ว จนสำเร็จการศึกษาถึงประถมศึกษาปีที่ 6
ต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กระทั่งปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ถามเรื่องการเรียน และผลการเรียน?