ฤดูแห่งสีสัน ดินแดนในฝันของฉันที่นิวซีแลนด์-My autumn in New Zealand


ประเทศนิวซีแลนด์ ดินแดนในฝันของหลายๆคน เช่นเดียวกับเราที่อยากจะไปเห็นประเทศนี้ด้วยตาตัวเองซักครั้ง ว่าแล้วก็จัดการหาตั๋วโลด
สายการบินจากกรุงเทพไปนิวซีแลนด์มีไม่มากเหมือนทางฝั่งยุโรป หลักๆที่หลายๆคนเลือกใช้บริการคือการบินไทย บินตรงไปลง Auckland (ซึ่งก็แพงมากเช่นกัน ตอนเราจองราคา 27000 บาท เกิดมาไม่เคยจองตั๋วไปไหนแพงขนาดนี้มาก่อน 555)
นอกจากการบินไทยแล้วก็ยังมี Singapore airline, Malaysia airline, Qantas, Emirates, etc.

ช่วงที่เราไป 6-17 เมษายน เป็นช่วงเริ่มฤดูใบไม้ร่วงของนิวซีแลนด์ เนื่องจากประเทศนิวซีแลนด์ตั้งอยู่ทางซีกโลกใต้ ฤดูกาลจะตรงข้ามกับทางฝั่งยุโรปค่ะ
อากาศที่เราไปช่วงนี้กำลังสบาย และโชคดีที่เจอฝนปลายๆทริป เพราะช่วงนั้นมีไซโคลนเข้าทางเกาะเหนือพอดี อุณหภูมิช่วงกลางวันอยู่ที่ประมาณ 10-19 องศา ยิ่งวันไหนมีแดดใส่แขนสั้นได้เลยค่ะ

หลังจากได้ตั๋วเป็นที่เรียบร้อย ก่อนวันเดินทาง 3 เดือนเราก็จัดการเรื่องวีซ่าโดยทริปนี้เรามีสมาชิกไปด้วยกันทั้งหมด 4 คนดังนั้นเราจึงขอวีซ่ากรุ๊ปไปเพื่อความประหยัดค่ะ แบบฟอร์มเรากรอกตัวเต็มไปคือ INZ1017 หรือจะกรอกแบบย่อก็ได้ค่ะ (INZ1189) และสำหรับคนที่ยื่นแบบ group จะต้องกรอกใบ cover form INZ1021 ไปด้วยนะคะ กรอกรายชื่อทุกคนใน group เรียงตามลำดับใบยื่นวีซ่าค่ะ  และในใบสมัครเราจะต้องกรอกรายละเอียดบัตรเครดิตของคนที่เป็นตัวแทน group คนเดียวเพื่อตัดบัตรค่ายื่นวีซ่า รวมค่าวีซ่า ค่าบริการของ TTS และค่าส่งไปรษณีย์กลับคนละ 3,400 บาทถ้วนค่ะ
เมื่อรวบรวมเอกสารของทุกคนเรียบร้อยแล้วเราก็ยัดทุกอย่างลงซองจดหมายส่งไปที่ TT Service ซึ่งเป็นศูนย์รับยื่นวีซ่าของประเทศนิวซีแลนด์ค่ะ
New Zealand Visa Application Centre
140/41 (19D) ITF Tower
19th Floor
Silom Road, Bangrak
Bangkok 10500
THAILAND

ตอนส่งเราเลือกส่งแบบ EMS ไปจะได้ตามได้ว่าเอกสารเราไปถึงที่ TTS หรือยัง เราเช็ค EMS ถึงตอนเช้าตอนบ่ายก็มี email ใบเสร็จค่าสมัครวีซ่ามาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้เมลคอนเฟิร์มมาจากสถานทูตอีกทีว่าได้รับ application แล้ว เรายื่นวันที่ 8 กุมภา และได้รับเล่มพาสปอร์ตคืนวันที่ 16 กุมภาค่ะ ระหว่างยื่นวีซ่าเราสามารถเข้าไปเช็ค status ได้ที่ https://www.ttsnzvisa.com


แผนการเดินทางที่เรายื่นวีซ่าไป เปนแผนแบบง่ายๆค่ะ ค่าใช้จ่ายเราอัพเดทหลังกลับจากทริปมาแล้ว

สำหรับวีซ่ากรุ๊ปจะได้วีซ่าแปะมาในกระดาษ A4 นะคะ ต้องดูแลให้ดีอย่าให้หายนะคะ หลังจากนั้นก็มาจองรถ ทริปนี้เราจองเป็นรถ Nissan Wingroad จาก APEX ค่ะ เพราะราคาถูกและคืนรถต่างสถานที่ฟรี www.apexrentals.co.nz
เพราะแผนการเดินทางของเราจาก Bangkok - Auckland จากนั้นขึ้นเครื่องไป Christchurch และนั่งเครื่องกลับ Auckland จาก Queenstown
ค่าเช่ารถรวมประกันและบริการช่วยเหลือระหว่างทางอยู่ที่ 1800 บาทค่ะ เราซื้อประกันแบบจัดเต็มเพื่อความสบายใจของทุกๆคนในทริป5555

พอวันเดินทางมาถึงก็ไปเช็คอินพร้อมๆกันทุกคนที่อยู่ในลิสท์วีซ่านะคะ เจ้าหน้าที่จะเช็คเรียงลำดับตามนั้นเลยค่ะ ต้องไปกลับพร้อมกันเท่านั้นนะคะ
ระหว่างรอที่สนามบินสุวรรณภูมิเราก็ใช้สิทธิ์บัตรเครดิตเข้าไปนั่งใน Royal silk lounge หาอะไรรองท้องก่อนขึ้นเครื่องซักหน่อยค่ะ
เมื่อเครื่อง landing ที่ Auckland แล้วเราก็ไปต่อคิว immigration แล้วเข้าไปพร้อมกันทั้ง group ได้เลยค่ะ ถัดมาก็ไป Declare อาหารที่เรานำเข้ามา ช่วงเวลาตรงนี้รอนานมากกกกก เจ้าหน้าที่ตรวจละเอียดยิบเลยค่ะ แนะนำให้แยกกระเป๋า 1 ใบที่ใส่อาหารเลยนะคะ จะได้เปิดแค่ใบเดียว ส่วนกระเป๋าใบอื่นๆก็เอาผ่านเครื่อง Scan ไปค่ะ

ออกมาได้ก็ตรงดิ่งไปซื้อซิมกันเลยค่ะ เราใช้ Vodafone นะคะ package 99NZD เน็ต 8GB โทรได้ 200 นาที (รวมถึงโทรกลับไทยด้วย) เอามาเปิด hotspot แชร์กันค่ะ สำหรับคนที่จะต่อเครื่องไปเกาะใต้เลยแบบเราแนะนำให้เผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงนะคะ เราจอง Air new zealand flight 14.00 พอดีเลยค่ะ ไม่ต้องลุ้นมาก เพราะบางทีการบินไทยก็ดีเลย์บ้างเหมือนกัน

เมื่อมาถึงสนามบิน Christchurch แล้วเราก็โทรหา Apex ให้เค้ามารับเพื่อไปรับรถที่ออฟฟิศค่ะ รับรถกันเสร็จเราก็ขับไปยังที่พักคืนนี้เลย คืนแรกเราพักกันที่ Staveley Heights Bed & Breakfast ที่เลือกที่นี่เพราะอยู่ระหว่างทางระหว่าง Christchurch และ Lake Tekapo พอดี ที่พักจะออกแนว Homestay นะคะ Host ก็จะอยู่ในบ้านกับเราด้วย แต่มีห้องส่วนตัวและห้องน้ำสำหรับเราให้ต่างหากค่ะ

Host เลี้ยงน้องแกะด้วย 8 ตัวค่ะ
จาก Staveley เราขับรถมุ่งตรงไป Aoraki/Mount Cook กันก่อนค่ะ เป้าหมายคือจะไป Hooker Valley Track แต่เราเดินแค่ไปถึงสะพานแรกแล้วก็กลับ

น้ำเป็นสีขาวเกิดจากการละลายของน้ำแข็งค่ะ ทำให้มีแร่ธาตุในน้ำด้วย

จุดชมวิวที่สะพานแรก

ฟาร์ม Salmon ที่ทะเลสาบ Pukaki

Mount Cook ภูเขาที่สูงที่สุดของนิวซีแลนด์

ทะเลสาบ Pukaki

จากนั้นเราขับรถกลับมาที่ Lake Tekapo เพื่อเข้าพักที่พักเราคืนนี้ที่ Lake Tekapo Village Motel ที่นี่ชุดครัวจัดเต็มมาก มีหม้อหุงข้าวด้วย สบายเราเลย

ชมวิวทะเลสาบ Tekapo ช่วงพระอาทิตย์ตก

กลางคืนต้องออกมาดูดาวด้วยนะคะ ที่นี่เป็นที่ดูดาวที่ดีมากอีกแห่งหนึ่งของโลกเลย เราถ่ายรูปดาวไม่เก่ง ขออภัยด้วยค่า

พระอาทิตย์ขึ้นที่ Church of good shepherd

เช้าวันนี้เราจะเดินทางต่อไปที่จุดหมายปลายทาง Dunedin ค่ะ เส้นทางที่เราเลือกไปคือ Lake Tekapo - Lake Pukaki - Omarama - Oamaru - Dunedin ค่ะ ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปเรื่อยๆ ผ่านทะเลสาบเยอะมากๆค่ะ

Pukaki Lake อีกครั้ง

Benmore Dam

แวะไปดูสิงโตทะเลที่ Buchy Beach เราสามารถไปดูเค้าใกล้ๆได้ แต่ห้ามจับนะคะ ที่นี่ถ้าอยู่จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกสามารถแอบดู Yellow Eye Penguin ได้ด้วย เสียดายเราต้องรีบขับรถไป Dunedin เลยไม่ได้อยู่รอดู

ขับรถกันไปต่อที่ Dunedin เราเลือกพักที่ The Victoria Hotel Dunedin ข้อดีคืออยู่ใจกลางเมืองเลย เราจอดรถไว้ที่โรงแรมสามารถเดินเที่ยวชมเมืองได้เลยค่ะ แต่เสียอย่างตรงที่ต้องเสียค่าที่จอดรถคืนละ 10 NZD ค่ะ


สถานีรถไฟ Dunedin

วันถัดมาเรายังคงอยู่ใน Dunedin แต่จะออกไปนอกเมืองนิดนึงค่ะที่ Tunnel Beach ขับรถจากในเมืองประมาณ 30 นาที
จากจุดจอดรถเดินลงไปหาดค่อนข้างไกลนะคะ ทางชันนิดนึง

ช่วงน้ำลงเราสามารถลงไปเดินชายหาดข้างล่างได้ค่ะ

หลังจากเดินกลับขึ้นมาเหนื่อยเราเลยกลับไปเที่ยวในเมืองกันค่ะ มีสวน Botanic Garden ให้ไปชมอยู่

จบการเดินทางในเมือง Dunedin แล้ว ถ้าหากใครมีวันเที่ยวมากกว่านี้สามารถขับรถในเส้นทาง Southern Scenic Route ได้นะคะ
อาจจะไปแวะนอนที่ Invercargill ซักคืนก่อนที่จะไป Te Anau แต่วันลาเรามีน้อยเลยต้องตัดเส้นทางนี้ไปแล้วตรงจากเมือง Dunedin ผ่าน Gore ไป Te Anau

น้องแกะระหว่างทางไป Te Anau ยังเห็นรอยแบตตาเลี่ยนอยู่เลย

เมือง Te Anau


ที่พักคืนนี้ เราจองมาเป็น Motel ค่ะ ที่นี่จะมีรถบ้านมาจอดตอนเย็นๆเยอะเลย

Milford Sound, Queenstown เดี๋ยวเราขอต่อใน comment นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่