ขอ tag แต่งเรื่องสั้นที่ถนนนักเขียนเพราะหลักๆ ตั้งใจจะเขียนลงใน tag บทประพันธ์อื่นๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เลยต้องไปลงที่ tag แต่งเรื่องสั้นแทน ถ้าผิดกติกาก็ขอโทษด้วยนะคะ
ออกตัวก่อนว่านี่เป็นกึ่งบันทึกกึ่งรีวิว (แต่บันทึกมากกว่า เพราะงั้นอย่าคาดหวังว่าจะรูปเยอะ ตัวหนังสือเยอะกว่าชัวร์ค่ะ) ของการไปเซี่ยงไฮ้เมื่ออาทิตย์ก่อนค่ะ หากใครต้องการทราบ How to ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อหรือจองตั๋วเครื่องบิน เรื่องการเตรียมตัวในการไปเที่ยว ขอวีซ่า นู่นนั่นนี่ ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปค่ะ เราถือว่าข้อมูลพวกนี้หาได้อยู่แล้ว (เพราะเราก็หาได้ในนี้เหมือนกัน ^^”)
เราไม่ใช่นักเที่ยวสายช้อป แต่เป็นนักเที่ยวสายวิถีชีวิต หนังสือ พิพิธภัณฑ์กับสวนสาธารณะค่ะ ดังนั้นเราจะชอบมากในการกระโดดกลืนไปกับผู้คนในท้องถิ่น สถานที่ที่เราชอบไปจึงไม่ใช่แหล่งของนักท่องเที่ยวเลย แต่เป็นสถานที่ที่คนจีนเขาเที่ยวกัน ทริปนี้นอกจากคนที่ไปสัมมนาด้วย และคนที่ขึ้นเครื่องบินตอนขาไปและกลับ เราไม่ได้พบคนไทยเลยค่ะ ถ้าใครอยากหาแหล่งช้อปปิ้ง ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปเช่นกัน
แต่หากคุณอยากรู้ว่าคนจีนเขาเที่ยวอะไร กินอะไร (อ้อ พื้นที่ที่คนจีนเที่ยว แทบไม่เจอมิจฉาชีพเลยค่ะ เรารู้สึกตัวเองอยู่ในถิ่นปลอดภัย แตกต่างจากตอนไปที่ Bund ที่ต้องระวังระแวงตลอดเวลา) หรือสนใจอยากลองหารีวิวโรงแรม ลองอ่านดูก็ได้ค่ะ เผื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล หรือหากอยากลองอ่านอะไรเพลินๆ ฆ่าเวลา กระทู้นี้ก็น่าจะตอบโจทย์เช่นกัน
เกริ่นพอแล้ว เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ เราไปเซี่ยงไฮ้เป็นเวลา 5 วัน 4 คืน แต่เอาจริงๆ คือไปทำงาน 2 วันค่ะ ที่เหลืออีก 3 วันเที่ยวซึ่งหลังทำงาน เราไม่ได้คิดจะไปไกลอย่างซูโจวหรือหัวโจวแต่อย่างใด ป้วนเปี้ยนอยู่ในเซี่ยงไฮ้นี่แหละค่ะ และส่วนมากใช้ชีวิตอยู่ในผู่ตง
การเดินทางครั้งนี้เราชอบมากนะคะ กินอิ่ม นอนหลับ อาหารอร่อย ซึ่งฟังแบบนี้หลายคนอาจจะงงว่าเที่ยวเมืองจีนหาสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยเหรอ (โดยเฉพาะอาหารซึ่งแต่ละคนทำหน้าเบ้กันเพราะมองว่าหาอร่อยยาก) ส่วนหนึ่งคือ พอรู้ภาษาจีนบ้าง ส่วนหนึ่งคือ ใช้วิธีการสังเกตเอา สองอย่างนี้เลยทำให้ลอยตัวได้ในระดับหนึ่งเลยค่ะ
เริ่มกันที่โรงแรมก่อน เราได้งบจากบริษัทให้หาที่พักราคาไม่เกิน $200 ต่อคืน หรือเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท เงินจำนวนนี้หากพักในเมืองไทย ก็น่าจะได้ประมาณแชงฯ ที่กรุงเทพ แต่พอไปที่เซี่ยงไฮ้แล้ว ได้ในระดับ Courtyard Marriott เท่านั้นเองค่ะ (จริงๆ มีหลายโรงแรมค่ะ แต่เราค่อยเล่าทีหลังว่าทำไมเราเลือกที่นี่) ทีนี้ 2 คืนแรกบริษัทยังออกตังค์ไง แต่เจ้า 3 คืนหลังต้องออกเองแล้ว คิดว่าจะย้ายโรงแรมอยู่เหมือนกัน แต่พบว่าโรงแรมมีโปรโมชั่นลดราคาที่พักในวันเสาร์อาทิตย์ ลดไปคืนหนึ่งก็เกือบ 2,000 บาทได้ เลยตกลงใจว่าอยู่ที่นี่มันทั้ง 5 วันเลยแล้วกัน
ราคาโรงแรมก็บอกแล้วว่าที่นี่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง และเป็นเมืองธุรกิจจริงๆ เพราะวันธรรมดากลับมีค่าห้องที่แพงกว่าตอนสุดสัปดาห์เสียอีก ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ
cr:
http://ostrovok.ru/rooms/courtyard_by_marriott_shanghai_pudong/?guests=2&sid=3cde0712-35cf-43c4-b864-2eaa1f0ed2cd
หากใครพอไหวที่งบประมาณนี้ เราค่อนข้างแนะนำที่ Courtyard Marriott Pudong ด้วยเหตุผลคือ
1. ทำเล – จุดใหญ่เลยที่เราเลือกที่นี่เพราะเหตุนี้แหละ (ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้มาเจอของดีที่มากกว่าทำเล) ที่นี่นับว่าใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน MRT ที่เป็น Interchange Station ของสายหลักๆ ร่วม 4 สายค่ะ สะดวกมาก สะดวกค่อดๆ ค่ะ มันช่วยให้เราวางแผนการเดินทางง่ายมาก เสี่ยงหลงทางเวลาเปลี่ยนขบวนน้อย เพราะสายหลักๆ ที่คนต่างชาติมักไปรวมอยู่ที่สถานีนี้แล้ว
แต่ข้อเสียของสถานีนี้คือ คนเป็นล้าน และวุ่นวายมากกกกกกก (ก็ 4 สายนิ เวลาเปลี่ยนขบวนสนุกพิลึก) เราจะต้องตั้งสติให้ดีแล้วมองหาสายที่เราตั้งใจจะไปหน่อยนะคะ
ลูกศรสีแดงคือ MRT ป้าย Century Avenue นะคะ
นอกจากอยู่ใกล้ MRT แล้ว ยังอยู่ใกล้แหล่งที่น่าสนใจด้วยค่ะ ห่างออกไปสัก 1 กิโลจะเป็นแหล่งศูนย์การค้า เท่าที่เราลองเดินสำรวจดู มีร้านอาหารน่าจะเหยียบ 100 ร้านได้ค่ะ จิ้มเอาสักร้านได้สบายๆ ให้อารมณ์เหมือนไปเดินสยาม หรือพารากอนสำหรับคนจีนซึ่งส่วนมากเป็นคนทำงาน (ไม่ค่อยเจอคนต่างชาติมาเที่ยวในย่านนี้หรอกค่ะ) อาหารแถวนี้เลยโอเคมากๆ
แต่สิ่งที่เราชอบมากกว่าคือ ถ้าเราเลี้ยวขวา เราได้พบกันแหล่งอาหารไฮโซ แต่เมื่อเราเลี้ยวซ้าย เราจะได้พบกับแหล่งอาหารรสชาติท้องถิ่นที่ระดับล่างลงมา เป็นร้านแบบท้องถิ่นจริงจัง เป็นแหล่งที่ไม่ใช่คนทำงานแต่เป็นชุมชนซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียน ผู้เฒ่าผู้แก่
ดังนั้นในละแวกนี้ ถือว่ามีสิ่งที่เราเลือกได้ตั้งแต่ระดับล่าง (ไม่ได้ล่างขนาดรับไม่ได้หรอก ยังไงก็เซี่ยงไฮ้นะ) ไปจนถึงระดับสูง (ก็ไม่ได้สูงขนาดอาหารเหลาเป็นหมื่น เป็น Affordable Luxury น่ะค่ะ) เราชอบท้องถิ่นแต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากกินของอร่อย ที่ตั้งโรงแรมนี้จึงเป็นของดีสำหรับเรามากๆ ค่ะ
2. พนักงานที่นี่ภาษาอังกฤษดีค่ะ – หากพูดภาษาจีนไม่ได้เลย อย่างน้อยที่สุด คุณสามารถสื่อสารกับพนักงานต้อนรับได้สบายๆ ค่ะ ภาษาพวกเขาดีพอที่จะช่วยเหลือคุณได้
3. อาหารเช้าใช้ได้ – อาหารเช้าของโรงแรมรสชาติค่อนข้างกระเดียดไปทางตะวันตกนะคะ ไม่ได้จีนจ๋าขนาดที่กินไม่ได้ เหมือนเวลาที่เรากินข้าวในโรงแรมในไทยน่ะค่ะ รสกลางๆ ไม่อร่อยเริ่ด แต่ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ เท่าที่ลองถามจากคนที่ได้พบในงานสัมมนาและรีวิวโรงแรมระดับเดียวกัน อาหารเช้าน่าจะไม่ค่อยโอเคนะคะ เราเดาเอาแบบโลกสวยหน่อยนั่นคือ รสชาติที่เขาทำอาจจะจีนๆ สักนิด มีผัดหมี่มันย่องตั้งแต่เช้าซึ่งไม่ใช่ปกติที่เราคุ้นเคยน่ะค่ะ
4. สิ่งที่จำเป็นในการมาทำงาน หรือในการใช้ชีวิตชั่วคราวในเมืองนี้ค่อนข้างครบค่ะ มีตู้เสื้อผ้าที่ไม้แขวนเสื้อพร้อมพรั่ง มีเตารีดไอน้ำและที่รองรีดให้ ปลั๊กที่ใช้ก็คล้ายเมืองไทยโดยที่เราไม่ต้องใช้ตัวแปลง (มีบางอันที่เป็นแบบ Original ของเขา แต่โดยรวมก็ถือว่าเยอะพอค่ะ) Wifi ค่อนข้างเร็ว และไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งาน ไดร์เป่าผม ของใช้ในห้องน้ำมีโอเคค่ะ
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เรานึกออก และเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือ ค่อนข้างเก่าค่ะ เห็นแวบแรกแล้วนึกถึงโรงแรมหรูเมื่อสัก 30 ปีก่อนอะไรประมาณนั้น ใครที่กลัวโรงแรมเก่า ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ที่คุณชอบ ขนาดเราที่ไม่ได้คาดหวังอะไร เห็นแวบแรกยังชะงักไปเล็กน้อย แต่พอเราเห็นอุปกรณ์ที่เขาให้ที่เราบอกว่ามันครบ มันพร้อม ข้อเสียเรื่องนี้เราโยนมันทิ้งไปเลยค่ะ ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วกันนะคะ
สองวันแรกขอไม่พูดถึง ก็ทำงานกันไปค่ะ ทีนี้มาพูดถึงเรื่อง 3 วันหลังที่เรามีไปเที่ยวบ้างนะคะ
อ้อ แต่ในคืนที่สอง เล่าก่อนว่าหลังจากกลับมาจากสัมมนาก็ไปหาข้าวเย็นกิน เราไปในย่านของกินไฮโซค่ะ (ที่เราบอกว่ามีของกินเป็นร้อยน่ะ) ที่จริงถ้าติดใจย่านนี้ สามารถพัก Intercontinental Pudong ได้นะคะ (ลองขึ้นไปดูตรงภาพแผนที่ข้างบนนะคะ ในนั้นมีที่ตั้งด้วยค่ะ) ถ้าพักที่นั่น นอกจากใกล้ MRT แล้ว ของกินยังสารพัดสิ่งเลยค่ะ (แต่เราไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยของโรงแรมนี้นะคะว่าเป็นยังไง แต่ถ้าที่ตั้ง เราว่าไม่เลวเลยค่ะ)
ที่เลือกมาได้ มันคืออะไรก็ไม่รู้ แต่เมียงมองแล้วเป็นร้านที่มีการ turnover ของโต๊ะสูงมากค่ะ ชะเง้อเข้าไปก็คนเต็ม ยืนรีรอแป๊บหนึ่งก็มีคนออกมาแล้วก็มีคนเข้าไปทันที ไม่ได้ขนาดต่อแถว แต่มีคนเข้าคนออกตลอดแถมเป็นคนท้องถิ่นอีกต่างหาก ลังเลสักพักพอมีโต๊ะว่างก็พุ่งเข้าไปค่ะ
อ้อ เกร็ดเล็กน้อยในการใช้ชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ที่ตัวเองใช้ในฐานะคนต่างชาติคนหนึ่งนะคะ คือ การถามนู่นนั่นนี่กับคนจีนโดยใช้ภาษาจีนแบบเด็กอนุบาลค่ะ พูดเป็นคำๆ ทำท่าเหมือนนึกแล้วทำมือประกอบไปด้วย ไม่ควรพูดคล่องพูดเร็ว (ที่จริงเราก็ไม่ได้พูดเก่งหรอกค่ะ แค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่เราหมายถึงระดับที่เหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ น่ะค่ะ) ลักษณะนี้ทำให้ได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ดีจากคนเซี่ยงไฮ้มากๆ เลยค่ะ
ที่ทำแบบนี้ จะทำให้คนจีนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ค่อยวางใจว่าเขาพอจะช่วยเราได้เพราะเราดูพอจะเข้าใจภาษาจีนอยู่บ้าง แต่เราเป็นคนต่างชาติ เพราะงั้นต้องให้รายละเอียด พยายามช่วยให้เราเข้าใจ ถามกี่ครั้งเขาก็ไม่รำคาญ เต็มใจจะช่วยมากๆ แต่ที่ไม่พูดเร็วเกินไป เขาจะรู้สึกว่าเราช่วยตัวเองได้ เวลาบอกทางก็จะชี้ๆ บอกให้เดินตรงไป แล้วก็จบ ให้เราไปตายดาบหน้าเอาเอง
ด้วยเหตุฉะนี้จึงใช้วิธีการนี้กับร้านอาหารโลดค่ะ มองก่อนว่าไม่มีใครเข้าคิวนะ จากนั้นค่อยมองดูรูปในเมนูแล้วถามคำแนะนำจากเขาค่ะ ผลที่ได้คือ มันเป็นข้าวในหม้อหินระอุ และมีกับข้าว จานหนึ่งเป็นหมูอบหรือตุ๋นไม่รู้จนนิ่ม กับอีกจานเป็นผัดถั่วกับหมูสับ (โปรดอย่าถามว่าร้านชื่ออะไร ไม่ได้ถ่ายรูปไว้อีกต่างหาก)
อร่อยสุดๆ ค่ะ มิน่าคนเต็มร้าน กรี๊ด! >w<
พอฟาดเสร็จ เผอิญเงยหน้าเห็นป้ายโฆษณาของเขาบอกว่า เขาใช้ข้าวอย่างดี เห็นแล้วก็พยักหน้าค่ะว่าจริง เป็นข้าวดีที่อร่อยมาก สนนราคาก็ถูกนะคะ จานหนึ่งไม่ถึง 20 หยวนน่ะ
ขากลับเดินผ่านแม็คฯ เราเคยใช้ชีวิตที่ปักกิ่งประมาณสองเดือน ตอนนั้นเราชอบซันเดสตรอเบอรี่ของที่แม็คฯ มาก งวดนี้เลยอยากกินอีกก็ไปเข้าแถวค่ะ คนข้างหน้าเราสั่งเรียบร้อย พอถึงคิวเราเขาก็เอาป้าย Closed ที่บอกเวลาว่าเปิดทำการถึงแค่สองทุ่มมาวางใส่หน้าเราแล้วก็ยิ้ม เสียใจด้วย ปิดแล้วจ้ะ
แม่เจ้า! ถ้ามีคิวต่อจากเราจะไม่ว่าเลย นี่ไม่มี มีแค่เราเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเมืองไทยก็จะยอมขายให้แต่พอเมืองจีนเจอแบบนี้เข้าก็เซ็งนิดหนึ่ง (แม้มโนธรรมจะบอกว่า บางทีถ้าบิลที่เปิดหลังสองทุ่มอาจทำให้พนักงานมีปัญหาก็ตาม -“-)
สรุปเดินคอตกกลับห้องไปตามระเบียบ
===============================
(มีต่อค่ะ)
บันทึกเดินทาง & รีวิวเที่ยวเซี่ยงไฮ้ 3 วันค่ะ (เน้นอยู่ผู่ตงนะคะ)
ออกตัวก่อนว่านี่เป็นกึ่งบันทึกกึ่งรีวิว (แต่บันทึกมากกว่า เพราะงั้นอย่าคาดหวังว่าจะรูปเยอะ ตัวหนังสือเยอะกว่าชัวร์ค่ะ) ของการไปเซี่ยงไฮ้เมื่ออาทิตย์ก่อนค่ะ หากใครต้องการทราบ How to ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อหรือจองตั๋วเครื่องบิน เรื่องการเตรียมตัวในการไปเที่ยว ขอวีซ่า นู่นนั่นนี่ ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปค่ะ เราถือว่าข้อมูลพวกนี้หาได้อยู่แล้ว (เพราะเราก็หาได้ในนี้เหมือนกัน ^^”)
เราไม่ใช่นักเที่ยวสายช้อป แต่เป็นนักเที่ยวสายวิถีชีวิต หนังสือ พิพิธภัณฑ์กับสวนสาธารณะค่ะ ดังนั้นเราจะชอบมากในการกระโดดกลืนไปกับผู้คนในท้องถิ่น สถานที่ที่เราชอบไปจึงไม่ใช่แหล่งของนักท่องเที่ยวเลย แต่เป็นสถานที่ที่คนจีนเขาเที่ยวกัน ทริปนี้นอกจากคนที่ไปสัมมนาด้วย และคนที่ขึ้นเครื่องบินตอนขาไปและกลับ เราไม่ได้พบคนไทยเลยค่ะ ถ้าใครอยากหาแหล่งช้อปปิ้ง ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปเช่นกัน
แต่หากคุณอยากรู้ว่าคนจีนเขาเที่ยวอะไร กินอะไร (อ้อ พื้นที่ที่คนจีนเที่ยว แทบไม่เจอมิจฉาชีพเลยค่ะ เรารู้สึกตัวเองอยู่ในถิ่นปลอดภัย แตกต่างจากตอนไปที่ Bund ที่ต้องระวังระแวงตลอดเวลา) หรือสนใจอยากลองหารีวิวโรงแรม ลองอ่านดูก็ได้ค่ะ เผื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล หรือหากอยากลองอ่านอะไรเพลินๆ ฆ่าเวลา กระทู้นี้ก็น่าจะตอบโจทย์เช่นกัน
เกริ่นพอแล้ว เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ เราไปเซี่ยงไฮ้เป็นเวลา 5 วัน 4 คืน แต่เอาจริงๆ คือไปทำงาน 2 วันค่ะ ที่เหลืออีก 3 วันเที่ยวซึ่งหลังทำงาน เราไม่ได้คิดจะไปไกลอย่างซูโจวหรือหัวโจวแต่อย่างใด ป้วนเปี้ยนอยู่ในเซี่ยงไฮ้นี่แหละค่ะ และส่วนมากใช้ชีวิตอยู่ในผู่ตง
การเดินทางครั้งนี้เราชอบมากนะคะ กินอิ่ม นอนหลับ อาหารอร่อย ซึ่งฟังแบบนี้หลายคนอาจจะงงว่าเที่ยวเมืองจีนหาสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยเหรอ (โดยเฉพาะอาหารซึ่งแต่ละคนทำหน้าเบ้กันเพราะมองว่าหาอร่อยยาก) ส่วนหนึ่งคือ พอรู้ภาษาจีนบ้าง ส่วนหนึ่งคือ ใช้วิธีการสังเกตเอา สองอย่างนี้เลยทำให้ลอยตัวได้ในระดับหนึ่งเลยค่ะ
เริ่มกันที่โรงแรมก่อน เราได้งบจากบริษัทให้หาที่พักราคาไม่เกิน $200 ต่อคืน หรือเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท เงินจำนวนนี้หากพักในเมืองไทย ก็น่าจะได้ประมาณแชงฯ ที่กรุงเทพ แต่พอไปที่เซี่ยงไฮ้แล้ว ได้ในระดับ Courtyard Marriott เท่านั้นเองค่ะ (จริงๆ มีหลายโรงแรมค่ะ แต่เราค่อยเล่าทีหลังว่าทำไมเราเลือกที่นี่) ทีนี้ 2 คืนแรกบริษัทยังออกตังค์ไง แต่เจ้า 3 คืนหลังต้องออกเองแล้ว คิดว่าจะย้ายโรงแรมอยู่เหมือนกัน แต่พบว่าโรงแรมมีโปรโมชั่นลดราคาที่พักในวันเสาร์อาทิตย์ ลดไปคืนหนึ่งก็เกือบ 2,000 บาทได้ เลยตกลงใจว่าอยู่ที่นี่มันทั้ง 5 วันเลยแล้วกัน
ราคาโรงแรมก็บอกแล้วว่าที่นี่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง และเป็นเมืองธุรกิจจริงๆ เพราะวันธรรมดากลับมีค่าห้องที่แพงกว่าตอนสุดสัปดาห์เสียอีก ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ
cr: http://ostrovok.ru/rooms/courtyard_by_marriott_shanghai_pudong/?guests=2&sid=3cde0712-35cf-43c4-b864-2eaa1f0ed2cd
หากใครพอไหวที่งบประมาณนี้ เราค่อนข้างแนะนำที่ Courtyard Marriott Pudong ด้วยเหตุผลคือ
1. ทำเล – จุดใหญ่เลยที่เราเลือกที่นี่เพราะเหตุนี้แหละ (ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองได้มาเจอของดีที่มากกว่าทำเล) ที่นี่นับว่าใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน MRT ที่เป็น Interchange Station ของสายหลักๆ ร่วม 4 สายค่ะ สะดวกมาก สะดวกค่อดๆ ค่ะ มันช่วยให้เราวางแผนการเดินทางง่ายมาก เสี่ยงหลงทางเวลาเปลี่ยนขบวนน้อย เพราะสายหลักๆ ที่คนต่างชาติมักไปรวมอยู่ที่สถานีนี้แล้ว
แต่ข้อเสียของสถานีนี้คือ คนเป็นล้าน และวุ่นวายมากกกกกกก (ก็ 4 สายนิ เวลาเปลี่ยนขบวนสนุกพิลึก) เราจะต้องตั้งสติให้ดีแล้วมองหาสายที่เราตั้งใจจะไปหน่อยนะคะ
ลูกศรสีแดงคือ MRT ป้าย Century Avenue นะคะ
นอกจากอยู่ใกล้ MRT แล้ว ยังอยู่ใกล้แหล่งที่น่าสนใจด้วยค่ะ ห่างออกไปสัก 1 กิโลจะเป็นแหล่งศูนย์การค้า เท่าที่เราลองเดินสำรวจดู มีร้านอาหารน่าจะเหยียบ 100 ร้านได้ค่ะ จิ้มเอาสักร้านได้สบายๆ ให้อารมณ์เหมือนไปเดินสยาม หรือพารากอนสำหรับคนจีนซึ่งส่วนมากเป็นคนทำงาน (ไม่ค่อยเจอคนต่างชาติมาเที่ยวในย่านนี้หรอกค่ะ) อาหารแถวนี้เลยโอเคมากๆ
แต่สิ่งที่เราชอบมากกว่าคือ ถ้าเราเลี้ยวขวา เราได้พบกันแหล่งอาหารไฮโซ แต่เมื่อเราเลี้ยวซ้าย เราจะได้พบกับแหล่งอาหารรสชาติท้องถิ่นที่ระดับล่างลงมา เป็นร้านแบบท้องถิ่นจริงจัง เป็นแหล่งที่ไม่ใช่คนทำงานแต่เป็นชุมชนซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียน ผู้เฒ่าผู้แก่
ดังนั้นในละแวกนี้ ถือว่ามีสิ่งที่เราเลือกได้ตั้งแต่ระดับล่าง (ไม่ได้ล่างขนาดรับไม่ได้หรอก ยังไงก็เซี่ยงไฮ้นะ) ไปจนถึงระดับสูง (ก็ไม่ได้สูงขนาดอาหารเหลาเป็นหมื่น เป็น Affordable Luxury น่ะค่ะ) เราชอบท้องถิ่นแต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากกินของอร่อย ที่ตั้งโรงแรมนี้จึงเป็นของดีสำหรับเรามากๆ ค่ะ
2. พนักงานที่นี่ภาษาอังกฤษดีค่ะ – หากพูดภาษาจีนไม่ได้เลย อย่างน้อยที่สุด คุณสามารถสื่อสารกับพนักงานต้อนรับได้สบายๆ ค่ะ ภาษาพวกเขาดีพอที่จะช่วยเหลือคุณได้
3. อาหารเช้าใช้ได้ – อาหารเช้าของโรงแรมรสชาติค่อนข้างกระเดียดไปทางตะวันตกนะคะ ไม่ได้จีนจ๋าขนาดที่กินไม่ได้ เหมือนเวลาที่เรากินข้าวในโรงแรมในไทยน่ะค่ะ รสกลางๆ ไม่อร่อยเริ่ด แต่ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ เท่าที่ลองถามจากคนที่ได้พบในงานสัมมนาและรีวิวโรงแรมระดับเดียวกัน อาหารเช้าน่าจะไม่ค่อยโอเคนะคะ เราเดาเอาแบบโลกสวยหน่อยนั่นคือ รสชาติที่เขาทำอาจจะจีนๆ สักนิด มีผัดหมี่มันย่องตั้งแต่เช้าซึ่งไม่ใช่ปกติที่เราคุ้นเคยน่ะค่ะ
4. สิ่งที่จำเป็นในการมาทำงาน หรือในการใช้ชีวิตชั่วคราวในเมืองนี้ค่อนข้างครบค่ะ มีตู้เสื้อผ้าที่ไม้แขวนเสื้อพร้อมพรั่ง มีเตารีดไอน้ำและที่รองรีดให้ ปลั๊กที่ใช้ก็คล้ายเมืองไทยโดยที่เราไม่ต้องใช้ตัวแปลง (มีบางอันที่เป็นแบบ Original ของเขา แต่โดยรวมก็ถือว่าเยอะพอค่ะ) Wifi ค่อนข้างเร็ว และไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งาน ไดร์เป่าผม ของใช้ในห้องน้ำมีโอเคค่ะ
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เรานึกออก และเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือ ค่อนข้างเก่าค่ะ เห็นแวบแรกแล้วนึกถึงโรงแรมหรูเมื่อสัก 30 ปีก่อนอะไรประมาณนั้น ใครที่กลัวโรงแรมเก่า ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ที่คุณชอบ ขนาดเราที่ไม่ได้คาดหวังอะไร เห็นแวบแรกยังชะงักไปเล็กน้อย แต่พอเราเห็นอุปกรณ์ที่เขาให้ที่เราบอกว่ามันครบ มันพร้อม ข้อเสียเรื่องนี้เราโยนมันทิ้งไปเลยค่ะ ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วกันนะคะ
สองวันแรกขอไม่พูดถึง ก็ทำงานกันไปค่ะ ทีนี้มาพูดถึงเรื่อง 3 วันหลังที่เรามีไปเที่ยวบ้างนะคะ
อ้อ แต่ในคืนที่สอง เล่าก่อนว่าหลังจากกลับมาจากสัมมนาก็ไปหาข้าวเย็นกิน เราไปในย่านของกินไฮโซค่ะ (ที่เราบอกว่ามีของกินเป็นร้อยน่ะ) ที่จริงถ้าติดใจย่านนี้ สามารถพัก Intercontinental Pudong ได้นะคะ (ลองขึ้นไปดูตรงภาพแผนที่ข้างบนนะคะ ในนั้นมีที่ตั้งด้วยค่ะ) ถ้าพักที่นั่น นอกจากใกล้ MRT แล้ว ของกินยังสารพัดสิ่งเลยค่ะ (แต่เราไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยของโรงแรมนี้นะคะว่าเป็นยังไง แต่ถ้าที่ตั้ง เราว่าไม่เลวเลยค่ะ)
ที่เลือกมาได้ มันคืออะไรก็ไม่รู้ แต่เมียงมองแล้วเป็นร้านที่มีการ turnover ของโต๊ะสูงมากค่ะ ชะเง้อเข้าไปก็คนเต็ม ยืนรีรอแป๊บหนึ่งก็มีคนออกมาแล้วก็มีคนเข้าไปทันที ไม่ได้ขนาดต่อแถว แต่มีคนเข้าคนออกตลอดแถมเป็นคนท้องถิ่นอีกต่างหาก ลังเลสักพักพอมีโต๊ะว่างก็พุ่งเข้าไปค่ะ
อ้อ เกร็ดเล็กน้อยในการใช้ชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ที่ตัวเองใช้ในฐานะคนต่างชาติคนหนึ่งนะคะ คือ การถามนู่นนั่นนี่กับคนจีนโดยใช้ภาษาจีนแบบเด็กอนุบาลค่ะ พูดเป็นคำๆ ทำท่าเหมือนนึกแล้วทำมือประกอบไปด้วย ไม่ควรพูดคล่องพูดเร็ว (ที่จริงเราก็ไม่ได้พูดเก่งหรอกค่ะ แค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่เราหมายถึงระดับที่เหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ น่ะค่ะ) ลักษณะนี้ทำให้ได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ดีจากคนเซี่ยงไฮ้มากๆ เลยค่ะ
ที่ทำแบบนี้ จะทำให้คนจีนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ค่อยวางใจว่าเขาพอจะช่วยเราได้เพราะเราดูพอจะเข้าใจภาษาจีนอยู่บ้าง แต่เราเป็นคนต่างชาติ เพราะงั้นต้องให้รายละเอียด พยายามช่วยให้เราเข้าใจ ถามกี่ครั้งเขาก็ไม่รำคาญ เต็มใจจะช่วยมากๆ แต่ที่ไม่พูดเร็วเกินไป เขาจะรู้สึกว่าเราช่วยตัวเองได้ เวลาบอกทางก็จะชี้ๆ บอกให้เดินตรงไป แล้วก็จบ ให้เราไปตายดาบหน้าเอาเอง
ด้วยเหตุฉะนี้จึงใช้วิธีการนี้กับร้านอาหารโลดค่ะ มองก่อนว่าไม่มีใครเข้าคิวนะ จากนั้นค่อยมองดูรูปในเมนูแล้วถามคำแนะนำจากเขาค่ะ ผลที่ได้คือ มันเป็นข้าวในหม้อหินระอุ และมีกับข้าว จานหนึ่งเป็นหมูอบหรือตุ๋นไม่รู้จนนิ่ม กับอีกจานเป็นผัดถั่วกับหมูสับ (โปรดอย่าถามว่าร้านชื่ออะไร ไม่ได้ถ่ายรูปไว้อีกต่างหาก)
อร่อยสุดๆ ค่ะ มิน่าคนเต็มร้าน กรี๊ด! >w<
พอฟาดเสร็จ เผอิญเงยหน้าเห็นป้ายโฆษณาของเขาบอกว่า เขาใช้ข้าวอย่างดี เห็นแล้วก็พยักหน้าค่ะว่าจริง เป็นข้าวดีที่อร่อยมาก สนนราคาก็ถูกนะคะ จานหนึ่งไม่ถึง 20 หยวนน่ะ
ขากลับเดินผ่านแม็คฯ เราเคยใช้ชีวิตที่ปักกิ่งประมาณสองเดือน ตอนนั้นเราชอบซันเดสตรอเบอรี่ของที่แม็คฯ มาก งวดนี้เลยอยากกินอีกก็ไปเข้าแถวค่ะ คนข้างหน้าเราสั่งเรียบร้อย พอถึงคิวเราเขาก็เอาป้าย Closed ที่บอกเวลาว่าเปิดทำการถึงแค่สองทุ่มมาวางใส่หน้าเราแล้วก็ยิ้ม เสียใจด้วย ปิดแล้วจ้ะ
แม่เจ้า! ถ้ามีคิวต่อจากเราจะไม่ว่าเลย นี่ไม่มี มีแค่เราเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเมืองไทยก็จะยอมขายให้แต่พอเมืองจีนเจอแบบนี้เข้าก็เซ็งนิดหนึ่ง (แม้มโนธรรมจะบอกว่า บางทีถ้าบิลที่เปิดหลังสองทุ่มอาจทำให้พนักงานมีปัญหาก็ตาม -“-)
สรุปเดินคอตกกลับห้องไปตามระเบียบ
===============================
(มีต่อค่ะ)