......เมื่อผมเกือบติดนักฟุตบอลทีมโรงเรียน.....

กระทู้สนทนา
เคยบ้าบอลเหมือนกัน   แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว..... วันนี้ต้องจำใจนั่งดูบอลกับเพื่อนบ้าน(เขาทะเลาะกับแฟน  เลยนั่งเชียร์บอลเป็นเพื่อนไปและปลอบใจเพื่อนไปด้วย) ระหว่างดูบอล...บางช่วงก็อดไม่ได้ที่จะระลึกถึงวัยเด็กที่เคยบ้าบอลของตัวเอง......แต่ก่อนเคยวิ่งไล่ลูกบอลแทบทุกวัน  เห็นอะไรที่มันรูปทรงกลมๆ ขวางหน้าเป็นไม่ได้...วิ่งเข้าชาร์ตทันที   เคยลงทุนเก็บหอมรอมริบเป็นเดือนกว่าจะซื้อลูกบอลพลาสติกเล็กๆ ตามกำลังทรัพย์ได้(ลูกละ 2.50 บาท)มาฝึกชู๊ตโกลโดยใช้กะลังเล็กๆ เป็นเป้า    เห็นรูปเควิน คีแกน, ซิโก้, เปเล่ ที่ไหนก็แทบจะคุกเข่าลงกราบราวกับว่าสาวกกราบศาสดาก็ไม่ปาน   ยิ่งเวลามีการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติทีไร  ต้องลงทุนเดินจากหมู่บ้านเข้าไปในในเมืองเพื่อไปนั่งอ้าปากหว๋อกับเพื่อนๆ ที่ริมฟุตบาทชมการแข่งขันผ่านประตูกระจกหน้าร้านขายเครื่องทีวี    ดารานักเตะรุ่นก่อนๆ (ก่อนปิยะพงษ์) ก็จะจดจำและเลียนแบบชื่อมาอ้างเป็นตัวเองเวลาลงสนามตามประสาเด็ก  และผมตั้งสมญานามตัวเองตามฮีโร่ในใจคือ "เจษฏาภรณ์  ณ พัทลุง"  เพื่อนบางคนก็ติ๊งต่างตัวเองเป็น "มนัส  รัตนติสร้อย"  ส่วนคนที่เป็นโกลก็เป็นใครไม่ได้นอกจา "นาวี  สุขยิ่ง"....ใช่! รุ่นเก่าขนาดนั้นเลยล่ะ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ขนาดไปเลี้ยงควายกลางทุ่งนา   ก็ใช้ทุ่งนานั่นแหละเป็นสนาม   ไล่เตะบอลกับเพื่อนกันฝุ่นคลุ้งแทบทั้งวัน    ลูกฟุตบอลก็มาจากการสละเสื้อเชิ้ตหรือไม่ก้อใช้ถุงพลาสติกห่อยัดฟางทำเป็นรูปทรงกลมที่สุดเท่าที่จะทำได้แทน   เมื่อก่อนเคยยืมลูกฟุตบอลที่โรงเรียนมาเล่นแล้วเตะไปชนลวดหนามรั่ว   ครูเลยไม่ให้ยืมอีก   อีกอย่าง...ทั้งโรงเรียนมีลูกฟุตบอลอยู่ลูกเดียว  มันโดนเตะบ่อยชนิดกลายเป็น “ลูกฟุตบอลหนังกลับ” ไปเลย  สีดั้งเดิมและยี่ห้อโดนเตะจนถลอกหลุดลุ่ย   อ้อ...ลืมบอกไป   ที่เตะๆ กันนี่   ใช้ “เท้าเปล่า” หรือภาษาอีสานเรียกว่า “ตีนเปิ่ม” ลงเตะกันทุกคน  หากโชคร้ายเตะทิ่มตอทิ่มเสี้ยนทีไร  เป็นต้องเลือดไหลเขย่งเท้าเดินออกสนามทันที    แพทย์สนามมีซะทีไหน   ส่วนใหญ่ก็จะหาชาย “ผ้าซิ่น” เก่าๆ ที่ถูกทิ้งแล้วมาฉีกเป็นเส้นยาว(คล้ายผ้าก๊อต)พันบาดแผล   แล้ววิ่งลงสนามลุยต่อ   เพื่อนนักเตะประเภทนี้เราเรียกว่า “รถถัง"   


ทุกๆ ปีจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างโรงเรียนต่างๆ ของหมู่บ้านในตำบล   ความฝันอันสูงสุดของเด็กชายที่บ้าบอลก็คือได้ติดทีมโรงเรียนประจำหมู่บ้านนี่แหละครับ   ส่วนใหญ่ครูจะคัดเอาเฉพาะนักเรียนชั้นประถมหก   เว้นเสียแต่ว่าบางคนฉายแววตั้งอยู่ป.๕    สำหรับตัวผมเอง...ฝีมือก็พอใช้ได้ทีเดียว   สังเกตุเวลาเตะบอลกันทีไร  เพื่อนๆ ก็อยากจะให้ไปอยู่ฝ่ายเขา   กระนั้น  ผมก็ต้องสะสมประสบการณ์จนได้ขึ้นชั้นประถมหก    การคัดเลือกนักฟุตบอลประจำโรงเรียนนั้นไม่ยากสำหรับผมเลย คือ:-

๑. วิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบโดยไม่หยุด
๒. วิดพื้นสิบครั้ง
๓. เตะบอลให้ไกลเลยสิบเมตรเป็นอย่างต่ำ  และเตะสูงกว่าหลังคาอาคารเรียนชั้นเดียว
๔. เดาะบอลให้ได้ถึงสิบครั้งหรือมากกว่านั้น (มีโอกาสสามครั้ง)


ผมสอบผ่านหมดรวมทั้งเพื่อนๆ อีกหลายคน....แนวโน้มที่จะติดทีมโรงเรียนเริ่มฉายแวว   ต่อมา...ครูจัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว   ครูคนนี้พึ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่นยังไม่ถึงปี  ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลทีม   วันนั้นผมรับตำแหน่งแบ๊คหลัง    เราเป็นรองรุ่นพี่อยู่พอสมควร  อาจจะด้วยเกรงศักดิ์ศรีและด้อยประสบการณ์   หนึ่งในรุ่นพี่นั้นก็มีพี่ชายผมคนหนึ่งที่เขาเป็นกองหน้า(Striker)   ผมรับหน้าที่ให้ประกบพี่ชาย    พี่ชายผมเก่งทั้งฟุตบอลทั้งตะกร้อซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่บ้าน   แต่ผมไม่กลัว...เวลาแกจับบอลได้ทีไรผมวิ่งสวนโครมๆ     มีอยู่คราวหนึ่ง....บอลหลุดโด่งมาเกือบจรดเส้นหลังเร็วมาก   เพื่อนๆ ที่รุกหน้าไปแล้ววิ่งกลับตามแทบไม่ทัน  ตอนนั้นมีผมกับโกลแค่สองคน   ส่วนอีกฝ่ายมีพี่ชายผมและกองหน้าอีกสองคนวิ่งไล่บอลมา  ผมอยู่ใกล้ลูกบอลที่สุด    สถานการณ์ตอนนั้นคือ 3 ต่อ 1....ตอนนั้นผมตั้งสติดีมากเลย(ไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเองนะครับ)  มองหาและคาดหวังให้เพื่อนที่พยายามจะวิ่งลงมาช่วยให้ทัน  แต่ไม่ทันการณ์....ผมเลยตัดสินใจวินาทีนั้นเตะลูกออกข้างหลังเส้นไปเพื่อแก้สถานการณ์   คือยอมเสียลูกเตะคอร์นเนอร์ดีกว่าโดนรุมจากอีกฝ่ายตั้งสามคนที่ตอนนี้แค่ยกขาก็ถึงบอลที่ผมครองอยู่แล้ว  และคิดว่าคงจะได้รับคำชมจากครูตรงนี้.....ที่ไหนได้!!  ผมโดนครูตะโกนด่าย่อยยับเลย!!  และคำด่านั้นยังดังก้องหูผมอยู่ทุกวันนี้เลยแม้จะผ่านมาเป็นสิบๆๆ ปีแล้ว  “...เมริงหันหน้าไปทางไหนก็เตะไปทางนั้นเลยนะเมริง!”   ผมโดนครูด่าว่าเตะลูกสะเปะสะปะคือแทนที่จะเตะลูกบอลไปทิศทางตรงข้ามกลับหันหน้าเตะเข้าหาทิศทางของตัวเองอะไรประมาณนี้



นอกจากโดนด่าแล้ว   ผมโดน “เปลี่ยนตัว” ทันที.....รู้สึกเสียใจมาก....เสียใจจริงๆ  เพราะคิดว่าตัวเองคิดดีแล้วที่ยอมเสียลูกคอร์นเนอร์ดีกว่าเสี่ยงเสียประตู  อย่างน้อยๆ ก็ประวิงเวลาให้เพื่อนๆ มาช่วยได้อีกทาง   เดินออกสนามมา ครูไม่ถามสักคำว่าทำไมทำเช่นนั้น   และที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างสาหัสเมื่อครูบอกตะโกนบอกว่า  “เตะอย่างนี้...ตัวสำรองเมริงก็ไม่ได้เป็น”  ต้องแอบไปร้องไห้หลังโรงเรียนเลย    จากนั้นก็ค่อยๆ ทำตัวห่างเหินจากฟุตบอลทีละน้อยๆ   ทุกวันนี้  เวลาดูบอลแล้วเห็นกองหลังมืออาชีพเตะบอลออกเส้นหลังฝั่งตัวเองเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเหมือนที่ผมเคยทำสี่สิบกว่าที่แล้วทีไรมันตอกย้ำความรู้สึกเก่าๆ แทบทุกทีล่ะน่า??


      
ผมมีโอกาสได้ดูแลทีมฟุตบอลเด็กชาวเขาตอนไปเป็นครูดอยอาสา.........ผมเฝ้าเพียรบอกตัวเองว่าอย่างแรกเลยว่าจะไม่สร้างรอยแผลในใจให้เด็กๆ   ถ้าเขารักและสนุกกับการเตะบอล  นั่นแหละใช่เลย...  สำหรับผมเขาคือนักฟุตบอล   การมองเช่นนั้น  อาจจะทำให้ผมถูกมองว่าไม่ใช่ผู้ดูแลนักฟุตบอลที่ดีนัก....ก็สุดแล้วแต่ใครจะมองมุมไหน??   

   
   

เครดิตภาพ http://www.naewna.com/business/43968
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่