>>มหากาพย์การแชร์ประสบการณ์ในประเทศ Germany สุด swag แบบพลีกายถวายชีพ>>

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่านี้คือกระทู้แบบ grand opening ของเราเลยค่ะ ถ้าทำมีอะไรผิดพลาดไปบ้างก็ขออภัยมาณ จุดๆนี้ด้วยนะคะ แล้วก็ขอความเมตตาใน skill ภาษาไทยที่มีอยู่ต่ำต้อยนักของเรามาณ ที่นี้ด้วยค่ะ 555
Ps. กระทู้นี้มีความเวิ้นเว้อและความไร้สาระสอดแทรกอยู่ค่อนข้างมากเนื่องด้วยเป็น character ของเจ้าของกระทู้เอง ต้องกราบขอขมากลุ่มคนจริงจัง ที่ expect อะไรที่ high quality ด้วยค่ะ.. โอเค เข้าเรื่องเถอะ!

เราย้ายมาอยู่ที่เมืองCologne ณ ประเทศเยอรมันนีได้เกือบ 7 ปี แล้ว โดยย้ายมาตอนอายุ 12 ปี (จบระดับมัธยมศึกษาปีที่1 มาจากประเทศไทย) แล้วเผอิญวันนี้ว่างๆ แถมนอนก็ไม่หลับเลยว่าจะมาแชร์ประสบการณ์cool cool ที่เรา experience มาจากความผลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตครั้งนั้น....

ก้าวแรกที่เราเหยียบที่ประเทศเยอรมันนี ตอนนั้นเป็นประมาณเกือบปลาย April เราจำได้ว่าตอนที่ออกมาจาก airport สิ่งที่คิดคือแบบ "เฮ้ย คือมันดีวววววว์อ่ะ" 5555 คืออากาศดีมว๊าาาก ตอนนั้นจำได้คืออากาศที่เยอรมนีต่างจากที่เมืองไทยโดยสิ้นเชิง คือเราเองก็เพิ่งมา notice จากการที่อยู่ที่เยอรมันนีไปนานๆ แล้วกลับไปเที่ยวเมืองไทยอีกที เวลาออกจาก airport ที่ไทยจะรู้สึกหายใจลำบากนิดนึงในตอนแรก เนื่องด้วยความชื้นในอากาศที่ค่อนข้างสูง แต่ไปเรื่อยๆก็จะชินไปเอง

โอเค กลับมาที่เยอรมันของเรา.... ตอนนั้นคือรู้สึกว่าหายใจเต็มปอดสุดๆ แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งอากาศในปีนั้นเลิศมากถึงมากที่สุด แดดอ่อนๆ ลมเย็นๆ สบายๆ กำลังพอดี (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นความโชคดีอย่างมหาศาล เนื่องจากพออยู่ไปนานๆ ก็จะได้เจอกับความจริงอันแสนสะพรึงว่า บางปีใน April หิมะยังตกอยู่ก็มี... คือไร! ร้องไห้แพร้บบบ)
แล้วอีกสิ่งที่ impress เรามากๆ ตอนออกมาจาก airport ก็คือ landscape ของประเทศเขา คือแบบทุกอย่างมันแตกต่างไปหมดจากโลกทัศน์ของเด็กอายุ 12 ขวบในวันนั้น คำถามมากมายผุดขึ้นในสมองด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ
"ทำไมมันเขียวไปหมด?"
"ทำไมบ้านมันน่ารัก?"
"ทำไมถนนมันเรี๊ยบ เรียบ?"
"ไอกังหันยักษ์อันนั้นคืออะไร?" (ถ้าขับรถบนทางมอเตอร์เวย์หรือ Autobahn ที่เยอรมันบางทีจะเห็นกังหันลม wind turbines หรือ ภาษาเยอรมัน Windkraftanlagen ตั้งอยู่บนพื้นหญ้ากว้างๆ)
แบบทุกอย่างมันใหม่สำหรับเรามากๆในตอนนั้น รวมถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดในการที่จะอาศัยอยู่ในประเทศนี้ นั่นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ "ภาษา"

ต้องขอบอกว่าเราไปแบบค่อนข้างกะทันหัน ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้ามากมายนัก จึงทำให้ไปถึงที่นู่นโดยที่ความรู้ภาษาเยอรมันนั้นเป็น 0 จ้าาาา แต่ยังโชคดีที่ภาษาอังกฤษ ของเราค่อนข้างดีด้วยความที่คุณพ่อเราเป็นลูกครึ่ง African American-Thai ที่ไปเติบโตที่ประเทศอเมริกาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ และถึงแม้คุณพ่อจะพูดภาษาไทยได้ดีและภาษาไทยเองก็เป็นภาษาหลักในครอบครัวเราแต่ก็มักจะมีภาษาอังกฤษปะปนสอดแทรกในการสนทนาอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราไม่ได้รู้สึกกลัวมากนัก ด้วยคิดว่ายังไงๆคนเยอรมันก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้บ้างล่ะวะ!

และเป็นความโชคดีอีก1ชั้นของเราที่ตอนนั้นทาง Schulamt ของทางประเทศเยอรมันนี
(ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไรแต่ภาษาอังกฤษคือ Education authority) ได้จัดการส่งเราไปที่  IFK หรือเต็มๆคือ internationale Förderklasse ของ Gymnasium(โรงเรียนมัธยม)แห่งหนึ่ง ซึ่ง IFK จะเป็น class ที่จะช่วย prepare เราด้านภาษาก่อนที่เราจะถูกส่งไปเรียนรวมกับเด็กเยอรมันจริงๆ ใน regular class ต่อไป ซึ่งใน IFK จะมีแต่ foreign kids ที่ย้ายมาจากประเทศต่างๆ แล้วทุกคนก็จะได้มาเรียนภาษาเยอรมันด้วยกันณ ที่แห่งนี้เป็นเวลา 1 ปี(หรืออาจจะถูกส่งไป regular class เร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคุณครู)

ซึ่งการได้อยู่ที่ IFK ทำให้เรารู้สึกไม่ "แปลกแยก" มากนักเพราะมีเด็กมาจากทุกมุมโลก แม้จะต่างอายุ(class รับเด็กตั้งแต่10-18ปี) ต่างสถานการณ์ ต่างเหตุผล แต่ทุกๆคนก็ย้ายมาเริ่มต้นที่นี่เหมือนๆกับเรา มันทำให้เรารู้สึก happy มากๆ ในการไปโรงเรียน ซึ่งตอนนี้เราหวนกลับมาคิดว่าถ้าเกิดเราถูกส่งไปเรียนรวมกับเด็กเยอรมันในทันทีณ ตอนนั้น เราอาจจะได้ feeling ของ "การปรับตัว" มากกว่านี้ แต่ด้วยความที่ทุกๆอย่างมันค่อนข้างจะค่อยเป็นค่อยไป จนเราแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเราต้องปรับตัวมากขนาดนั้น และคงจะด้วยความที่เราเป็นคนที่ flexible บวกกับความ friendly ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้แทบจะไม่เจอปัญหากับการปรับตัวเลย...

IFK รุ่นของเราต้องนั้นมีเด็กประมาณ 20 คน ซึ่งค่อนข้างจะเยอะถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ แต่ at the end ก็เหลือแค่สิบคนนิดๆนะ เพราะบางคนก็ย้ายไปประเทศอื่นอีก หรือกลับประเทศตัวเอง หรือ บางคนก็ถูกย้ายออกไปเนื่องจากตามดุลพินิจของครู ซึ่งหมายความว่าเด็กคนนั้นอาจจะมีศักยภาพไม่มากพอที่จะอยู่ Gymnasium ต่อไป (โรงเรียนมัธยมของประเทศเยอรมันนีมี4ระดับ: Hauptschule, Realschule, Gesamtschule และ Gymnasium โดยที่ Gymnasium เป็นระดับสูงที่สุดวัดตามผลการเรียน แต่เดี๋ยวนี้ Gesamtschule ก็ค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับพอๆกับ Gymnasium เช่นกัน)

ช่วงแรกๆ ที่เราอยู่ IFK คือเราชิลมาก 555 คุยกับเพื่อนทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าครูอยู่จะมีปัญหาเพราะครูจะไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษด้วยเลย และจะตอบและทำทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมันเท่านั้น ซึ่งเราเจอแจ็คพอตตั้งแต่วันแรก คุณครูเขียนบางอย่างบนกระดานที่เราไม่เข้าใจ ซึ่งคำๆนั้นคือ "Hausaufgabe" หรือแปลคือ homework นั่นเอง ส่งผลให้เราไม่มีอะไรมาส่งครูในวันต่อมา
แต่ไม่สะทกสะท้านนะ เพราะไม่เข้าใจ 555 เพิ่งมารู้ทีหลังว่าไอคำที่ครูจดบนกระดานบ่อยๆ มันแปลว่าอย่างนี้นี่เอง ซึ่งตอนนี้พอรู้ความหมายแล้ว ก็อยากจะแกล้งไม่เข้าใจเหมือนกันนะ แต่คงจะโดนครูตบกระโหลก 555

และใน IFK ช่วงที่พีคที่สุดคือช่วงพัก เพราะทันทีที่พักเรียน มันจะมี corner หลากหลาย corner ด้วยกัน โดยจะมีทั้ง English corner, Chinese corner, Russian corner, Arabic corner etc. เสียงตีกันไปตีกันมาอยู่ใน class ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นอะไรที่โคตร swag แบบ เฮ้ย คือห้องเรียนเล็กๆห้องเดียวแต่โคตรจะ global อ่ะ ไอเรานั้นไซร้ belong to the English corner ซึ่งในนั้นก็จะมี เรา,Stefan,Nils ที่เป็นแบบ main หลัก #มีความอยู่ท่ามกลางผู้ค่าาา 555
ที่เรา3คนเป็น main ของ English corner ก็เพราะ Stefan เป็นหนุ่มน้อยชาวออสซี่ ส่วน Nils นั้นคือหนุ่มอเมริกันนั่นเอง แต่เราเองก็สนิทกับ Xin Xin และ Tian จากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ Yung Yu ซึ่งเป็นคนไต้หวัน Yealim ออนนี่จากเกาหลี และ weronika สาวน้อยเด็กสุดในกลุ่มจากโปร์แลนด์อีกด้วย
ซึ่งแก๊งค์เราแก๊งค์นี้จะเป็นแก๊งค์ที่ใหญ่ที่สุดในห้อง เป็นแก๊งค์รวมพลคนหน้าตาดีนั่นเอง 555 ณ จุดๆนี้หลายๆคนอาจจะมองบนแต่ความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตายค่ะ 555 เราค่อนข้างจะเป็นออกแนวหัวหน้าแก๊งค์เพราะเราสนิทกับทุกๆคนจริงๆและเป็นคนนำพาทุกๆคนมาอยู่ด้วยกัน ความจริงแล้วเราจะสนิทกับคนทั้งห้องด้วยซ้ำด้วยความเป็นคนไทย ยิ้มง่าย ยิ้มทั้งวัน จนเพื่อนถามไม่เมื่อยปากบ้างหรอ? 555 และกล้า มั่นหน้าที่จะพูดกับทุกคนเนื่องจาก ถือว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ทุกคนในห้อง เนื่องด้วยเราถูกส่งเข้า IFK ตอนเดือน June เพราะย้ายมาเดือน April ซึ่งโรงเรียนที่เยอรมันจะปิดเทอมใหญ่พร้อมกันเดือน July ซึ่งทำให้เราเข้ามาโผล่เป็นเด็กใหม่อยู่ในบรรดาเด็ก IFK รุ่นก่อนหน้าเราประมาณเดือนกว่าและพอเปิดเทอมใหม่ในเดือน September เด็ก IFK รุ่นก่อนก็ถูกส่งต่อไปยัง regular classes ทำให้เรากลายเป็นเด็กเก่าและเก๋าที่สุดในห้องไปโดยปริยาย...

คือ IFK ให้อะไรกับเราเยอะมากๆ มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทั้งให้ข้อคิดและขัดเกลาจนเราเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ เป็นสถานที่ๆแรกที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักกับภาษาเยอรมัน หนึ่งในภาษาที่แม้กระทั่งตอนนี้เราก็ยังยืนยันว่าเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ยากที่สุดในโลก ได้มิตรภาพดีๆที่ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ และให้บทเรียนชีวิตให้เราได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองใหม่ๆของตนเอง จนทำให้เราอยากที่จะแชร์ประสบการณ์เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในระยะเวลา1ปีนั้นให้ได้ฟังกัน...

(เดี๋ยวมีต่ออีกๆ...)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่