บางอย่างที่เราไม่ได้เห็นใน #น้ำเซาะทราย...(แต่กลับทำให้ดีต่อใจ)

หลังจากที่ได้เฝ้าติดตามละคร #น้ำเซาะทราย ดูมา 4 ตอนแล้วสำหรับละครแนวสะท้อนปัญหาครอบครัว ต้องขอบอกเลยว่ามันไม่อยู่ในอารมณ์ของคนดูละครทีวีเลย หากแต่มันเป็นอารมณ์ของคนที่กำลังเฝ้าติดตามพฤติการณ์และพฤติกรรมต่างๆของทุกๆตัวละครของเรื่อง ที่ทำหน้าที่ออกมาได้เป็นธรรมชาติ มันเลยทำให้เรารู้สึกเป็นเสมือนคนสังเกตการณ์แบบใกล้ชิด หรือที่เรียกว่า อินในอิน ก็คงจะใช่...

ป้าบุญรอดยังไม่เห็นมีบทร้ายๆแรงๆที่เอะอะๆจิกหัวตบตีๆกันแบบไม่ยั้ง ไม่มีเลยแม้สักฉาก เหนือความคาดหมาย ผิดแผกไปจากละครแนวชิงรักหักสวาทแย่งชิงผัวๆเมียๆหลวงๆน้อยๆตามแบบฉบับของละครไทย...มีแต่สงครามดราม่า สงครามฝีปาก  สงครามแอคติ้งที่สาดอินเนอร์ใส่กันแบบไม่ยั้งทุกตัวละคร (โดยเฉพาะแม่กบ สุวนันท์ vs เจี๊ยบ โสภิตนภา , ศรราม vs เจจินตรัย) แถมบทก็เฉือดเชือนด้วยถ้อยภาษาวาจาแบบดูแพง ดูดีมีชั้นเชิง สมกับตัวละครเป็นผู้มีการศึกษาและฐานะในสังคมที่สูง ที่มีภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ที่รู้จักควบคุมสติสัมปชัญญะได้ดีในสถานการณ์ที่บีบคั้นจิตใจสุดๆเหลือเกิน ไม่มีภาษาด่าทอด้วยคำหยาบคาย แถมมีถ้อยคำที่ให้ข้อคิดให้คนที่เฝ้าสังเกตการณ์เอาใจช่วยตัวละครไปด้วยได้ขบคิดตาม (เช่น คำพูดที่ทิวเตือนสติอ.วรรณนรี ว่า หากเราไม่สามารถพยุงตัวเองได้แล้ว เราจะยังไปพยุงใครได้อีกเหรอ) แต่ตรงนี้นี่แหละที่ทำเอาคนดูติดกันงอมแงมทั้งคุ้มเรือนยันหมู่บ้าน และได้กระแสความนิยมแบบประทับหมัดตรึงใจคนดูแถวๆบ้านนอกตาสีตาสาละแวกบ้านป้าได้ดีนักแล (หรือว่าคนดูไทบ้าน จะมีความเข้าใจในการเสพงานศิลปะการแสดงในเชิงลึกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน) งานนี้ต้องชื่นชมทั้งเรื่องบท โปรดักชั่น การตีความ การคุมโทนเรื่องให้อยู่ในกรอบอันดีงามของบทประพันธ์เดิมและปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป การกำกับ และการแสดงทีมนักแสดงทุกคนที่เอาอยู่จริงๆ...

มีคนเคยบอกว่า "นักแสดงช่อง7ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกระแส หรือพยายามสร้างกระแสให้ตนเอง หรือให้ต้นสังกัดสร้างกระแสให้แต่อย่างใด แต่พวกเขาก็ทำผลงานจนประจักษ์แจ้งออกมาให้เหนือกระแสและทำให้คนดูอินได้"....เออ! มันเป็นเช่นนั้นจริงๆนะเนี่ย 👏👏👏👏
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่