ส่วนดาบมังกรหยกฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษสั้นกว่าฉบับแปลไทย และตัดออกไปหลายส่วน
อันนี้ผมแปลเท่าที่เขาเขียนไว้ไม่ตัดไม่เพิ่มใดๆ มันสั้นกว่าฉบับแปลไทยจริงๆครับ
อย่าไปสนสำนวนนะครับผมไม่ใช่นักแปลนิยาย แค่แปลมาให้เทียบดูเฉยๆว่ามันสั้นกว่าของไทย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บันทึกกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร. แปลจาก The Heaven Sword and the Dragon Sabre นิยายเรื่องดาบมังกรหยกเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
บทที่หนึ่ง
ถวิลหาสุดขอบฟ้ามิอาจลืม.
หญิงสาวผู้นั้นเคยได้ยินว่าดนตรีเกิดขึ้นจากการผสานเสียงของเหล่าสกุณา และดูเหมือนว่าเสียงนี้จะเป็นเสียงของบรรดานกที่กำลังขับขาน
ก๊วยเซียงพลันนึกได้ มารดาเคยบอกแก่นาง เพลงนี้มีชื่อว่า "ขุนเขาร้างสกุณาขานรับ" แต่เพลงนี้สูญหายไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ เป็นไปได้ไหมว่าเสียงนี้จะเป็นเพลงเดียวกัน?
ท่องไปทั่วหล้าในฤดูใบไม้ผลิ ทุกฤดูหนาวยังคงถวิลหา
ยามสาลี่ออกผลกำลังใกล้เข้ามา
แพรหยกสีขาวไร้ซึ่งริ้วรอย กลิ่นกรุ่นชวนให้หลงไหลไฝ่หา
หิมะคลี่คลุมต้นไม้หยกและกลีบใบ
คืนสงัดอันยาวนาน เมฆกระจ่างบนนภา
ความเหน็บหนาวคืบคลานสู่จันทร์ทรา
หมอกสีเงินขับแผ่นดินแผ่นฟ้าให้กระจ่าง
เธอบริสุทธิ์ดุจธรรมชาติเสกสรร ดึงดูดใจให้หลงไหล
เธอคือเจตจำนงค์และจิตวิญญาณ สูงสุดไร้มลทิน
บุปผชาติกลิ่นหอมใดไหนเลยจะเทียบเท่านาง
จิตวิญญาณของนางกระจ่าง สุดสูงเป็นนิรันดร์
เธอหวนคืนวิมานหยก เพียงได้ชมในที่ไกล
ผู้ลำนำบทกวีนี้คือ "ผู้หลุดพ้นปุถุชน" และเป็นยอดฝีมืออันโด่งดังจากสมัยราชวงค์ซ้องใต้ นามของท่านคือ คูชู่กี ฉายา ผู้เป็นนิรันดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดปรมาจารย์นิกายช้วนจิน
และเป็นผู้มีวิทยายุทธโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ของนิกายช้วนจิน คูชู่กีเขียนบทกวีนี้ขึ้นหลังจากที่ได้พบกับเซียวเหล่งนึ่งเป็นครั้งแรก เซียวเหล่งนึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับนักพรตคูเป็นเวลาหลายปี
ในยามนี้ คูชู่กี ได้จากโลกนี้ไปแล้ว และเซียวเหล่งนึ่งก็ได้แต่งงานเป็นภรรยาของเอี้ยก้วยจอมยุทธ์อินทรีผู้โด่งดัง ในขณะเดียวกันที่มณฑลเหอหนานภูเขาเสียวซิก มีหญิงสาวอีกคนกำลังท่องบทกวีอย่างแผ่วเบา
สาวน้อยนางนี้สวมเสื้อสีเหลืองจางมีวัยสิบแปดปีสิบเก้าปี นางนั่งอยู่บนลาที่กำลังยํ่าอย่างช้าๆเคลื่อนผ่านทางบนภูเขา นางกำลังครุ่นคิด คงมีเพียงพี่เล้งจึงคู่ควรกับเขา แน่นอนว่าเขาคนนั้นคือ เอี้ยก้วย นั่นเอง
จากนั้นนางจึงเอื้อนเอ่ยอีกว่า
พบกันสุขสันต์ จำพรากขมขื่น
อกหักรักสลาย ทุกข์ใจไร้ฝั่ง
หัวใจแสนหวาน โปรดฟังฉันกล่าว ....
เมฆยังคงลอยล่องไปข้างหน้า ผ่านหิมะภูเขากั้นสูงเสียดฟ้า
ส่วนเงาเดียวดายของฉันนั้นจะล่องลอยไปยังที่ใดเล่า?
นางเพียงพกพากระบี่สั้นท่องไปทั่วหล้า นางเป็นหญิงสาวสะคราญที่ควรจะมีความสุขสมหวังในทุกสิ่ง แต่กลับดูเหมือนว่านางจะพกพาความเศร้าสร้อยไปด้วยทุกแห่งหน
ชื่อของเธอคือก๊วยเซียง บุตรีคนที่สองของก๊วยเจ๋งยอดวีรบุรุษและอึ้งย้งผู้โด่งดัง ฉายาของนางคือ มารน้อยบูรพา มีเพียงกระบี่สั้นและลาของนางท่องยํ่าไปทุกที่
เพียงหวังว่าจะช่วยให้ลืมความกลัดกลุ้มใจ แต่การเดินทางของนางนั้น กลับทำให้เพิ่มความทุกข์ใจมากกว่าเดิม
ทางบนภูเขาเสียวซิกในมณฑลเหอหนานมีบันไดหินกว้างใหญ่ ขั้นบันไดหินเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของฮ่องเต้เกาจงราชวงค์ถัง นางขึ้นบันไดพลางทอดสายตาชมทิวทัศน์ด้วยความอภิรมย์
ไม่นานนักก็มองเห็นอารามเรียงรายตามหุบเขาสูงใหญ่ นางจ้องมองหลังคาอารามได้สักพักก็ครุ่นคิดว่า วัดเส้าหลินถูกขนานนามว่าเป็นต้นกำเนิดของวิทยายุทธในใต้หล้า
แต่เพราะเหตุใดจึงไม่มีผู้เยี่ยมยุทธของวัดเส้าหลินมีชื่อติดอยู่ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธทั้งห้าทิศ? หรือผู้เยี่ยมยุทธของเส้าหลินรู้ว่าไม่อาจเทียบได้กับผู้อื่น และเกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหากไปร่วมชิงชัย?
หรือว่าเพราะบรรพชิตก้าวข้ามและปล่อยวางเรื่องทางโลกไม่ต้องการแย่งชิงชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่.
เดินทางขึ้นเขาอีกไม่นานนางก็ได้เห็นแผ่นหินขนาดใหญ่ชำรุดไปครึ่งซีก อักษรบนแผ่นหินนั้นเลือนหายไม่ชัดเจน ก๊วยเซียงรำพึงในใจว่า อักษรบนศิลายังมีวันเลือน แต่ความรู้สึกที่ฝังตรึงภายในใจของฉันนั้นกลับไม่อาจเลือนหาย
และยิ่งนานวันมันกลับฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
จารึกบนแผ่นหินนี้เป็นถังไท้จงฮ่องเต้รจนาไว้ พระองค์จารึกคำสรรเสริญบรรดาหลวงจีนวัดเส้าหลินที่ได้ช่วยปราบกบฏ คำสลักบนแผ่นหินกล่าวถึงคุณงามความดีของหลวงจีนวัดเส้าหลิน
ที่ช่วยถังไท้จงฮ่องเต้ปราบกบฏเฮ้งสี่ชง หลวงจีนสิบสามรูปที่ได้รับการยกย่อง มีเพียงรูปเดียวที่ลาสิกขาออกมารับราชการได้รับการอวยยศเป็นแม่ทัพ อีกสิบสองรูปไม่ปรารถนายศฐาบรรดาศักดิ์
ฮ่องเต้ถังไท้จงจึงได้ประทานผ้ากาสาวพัสตร์สีม่วงให้ ก๊วยเซียงกำลังคิดว่าในสมัยราชวงค์สุยและราชวงค์ถังวัดเส้าหลินมีชื่อเสียงด้านวรยุทธ์เลื่องลืออยู่แล้ว หลังจากนั้นอีกหลายร้อยปีคงมีผู้เยี่ยมยุทธที่น่าเกรงขามคับคั่ง
สามปีที่แล้วในตอนที่ก๊วยเซียงได้ลาจากกับเอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ่งที่ภูเขาฮั้วซัว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยได้ข่าวคราวใดๆของพวกเขา จึงทำให้นางคิดถึงพวกเขายิ่งนัก ก๊วยเซียงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า
นางต้องการท่องเที่ยว แต่จริงๆแล้วนางอยากทราบข่าวของเอี้ยก้วยเท่านั้น ไม่ได้ต้องการพบพวกเขาแต่อย่างใด นางคงจะมีความสุขถ้าได้ทราบข่าววีรกรรมของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆอย่างสิ้นเชิง
ก๊วยเซียงเดินทางจากเหนือจรดใต้ และจากตะวันออกไปตะวันตก นางเดินทางไปทั่วแผ่นดินตงง้วน แต่ยังคงไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆของเอี้ยก้วย
ก๊วยเซียงยังจำได้ว่าเอี้ยก้วยได้ขอให้หลวงจีนบ้อเส็กส่งของขวัญให้แก่นางในวันเกิดอายุสิบหกปี หลวงจีนบ้อเส็กผู้เป็นสหายของเอี้ยก้วยได้สั่งให้ผู้อื่นนำของขวัญไปมอบให้แก่ก๊วยเซียง
แม้ว่านางจะไม่เคยพบหลวงจีนบ้อเส็กมาก่อน แต่นางก็อยากจะพบกับหลวงจีนบ้อเส็ก เพื่อสอบถามท่านว่าได้ทราบข่าวคราวของเอี้ยก้วยหรือไม่
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดใจ พลันได้ยินเสียงโลหะกระทบกันพร้อมทั้งเสียงสาธยายพระไตรปิฏก
เพราะรักจึงมีความกังวล เพราะกลัวจึงเกิดมีรัก หากปลดปล่อยตัวเองจากความรักได้แล้ว ความกังวลและความกลัวทั้งมวลจักพลันมลาย
เมื่อก๊วยเซียงได้ยินเช่นนั้นแล้ว นางพลันตื่นจากภวังค์พร้อมกับคำนึงถึงบทสาธยายนั้นเบาๆ และเสียงโลหะกับเสียงสาธยายพระไตรปิฏกก็ค่อยๆห่างไกลออกไป
ก๊วยเซียงกล่าวว่า เราต้องถามท่านผู้นี้ ทำเช่นไรจึงจะหลุดพ้นจากบ่วงรัก และเช่นไรจึงจะปลดความกลัวและความกังวลทั้งมวลของเรา นางได้ผูกลาไว้กับต้นไม้และไล่ตามเสียงนั้นไป
ก๊วยเซียงวิ่งไล่ตามหลวงจีนรูปนั้นไป และนางก็ตกใจเมื่อได้เห็นหลวงจีนรูปนั้นหาบถังเหล็กใบใหญ่ ข้อมือข้อเท้าและคอยังถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ด้วย และด้วยเหตุนี้เองเวลาท่านย่างก้าวจึงบังเกิดเสียงโลหะกระทบกัน
ในถังเหล็กใบใหญ่ยังบรรจุนํ้าไว้เต็ม นั่นแสดงให้เห็นว่าหลวงจีนรูปนี้ต้องมีกำลังภายในลึกลํ้าที่สุดถึงสามารถหาบสิ่งของเช่นนี้ได้
ก๊วยเซียงกล่าวกับหลวงจีนรูปนั้นว่า ข้าพเจ้ามีคำถามสักเล็กน้อย โปรดหยุดก่อนสักพักหนึ่ง
หลวงจีนรูปนั้นพลันหันไปรอบๆ ทั้งก๊วยเซียงและหลวงจีนนั้นก็ตะลึงเมื่อหันมาเจอกัน หลวงจีนรูปนั้นคือ หลวงจีนกั๊กเอี้ยง เมื่อสามปีที่แล้วก๊วยเซียงได้พบกับท่านมาแล้วครั้งหนึ่งที่เขาฮั้วซัว
ก๊วยเซียงรู้ว่าหลวงจีนรูปนี้ความจริงแล้วมีกำลังภายในที่แกร่งกล้ามาก ไม่ด้อยกว่ายอดยุทธในยุคนี้เลยแม้แต่น้อย นางได้กล่าวกับท่านต่อว่า โอ้ ที่แท้ก็คือท่านหลวงจีนกั๊กเอี้ยงนี่เอง เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันเหตุไฉนจึงมีสภาพเช่นนี้
หลวงจีนกั๊กเอี้ยงยิ้มและพยักหน้าให้แต่ไม่กล่าวอันใด และท่านก็ได้หันกลับพร้อมกับเดินต่อไป ก๊วยเซียงรีบกล่าว นี่ข้าพเจ้าเองก๊วยเซียงไง ท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ
หลวงจีนกั๊กเอี้ยงหันมาพยักหน้ายิ้มให้แล้วยังคงเดินต่อไปไม่หยุด ก๊วยเซียงถามอีกครั้ง ใครกันพันธนาการท่าน เหตุใดพวกเขาจึงทรมานท่าน หลวงจีนกั๊กเอี้ยงยกมือซ้ายขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงเตือนว่าไม่ให้ถาม
ก๊วยเซียงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปจนกว่าจะรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ และพยายามวิ่งไปข้างหน้าหลวงจีนกั๊กเอี้ยงแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้ว่าหลวงจีนกั๊กเอี้ยงจะหาบถังนํ้าขนาดใหญ่สองถังแต่ยังคงมีฝีเท้าที่รวดเร็วจนยากจะตามทัน
ก๊วยเซียงรู้สึกขบขัน แต่ยังคงวิ่งไล่พยายามคว้าถังนํ้าแต่ยังคงช้าไปเพียงนิ้วเดียว ก๊วยเซียงพูดว่า ท่านมีความสามารถน่าตระหนกถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าจะต้องจับตัวท่านให้ได้
หลวงจีนกั๊กเอี้ยงยังคงเดินต่อไป พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันเป็นจังหว่ะ ก๊วยเซียงรู้สึกว่ายากที่จะตามทัน และนางก็ทึ่งในความสามารถของหลวงจีนรูปนี้เป็นที่สุด
บิดาและมารดาของเราให้การยกย่องหลวงจีนรูปนี้ว่ามีกำลังภายในลึกลํ้า ในตอนนั้นเรายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เราคงต้องเชื่อบ้างแล้ว
จากนั้นไม่นาน หลวงจีนกั๊กเอี้ยงเดินไปยังบ้านหลังเล็ก แล้วเทนํ้าจากถังเหล็กลงไปในบ่อนํ้าเก่า ก๊วยเซียงจึงถาม ท่านกำลังทำอะไร ทำไมจึงเอานํ้ามาเทใส่บ่อนี้
หลวงจีนกั๊กเอี้ยงยังคงไม่ตอบพร้อมกับส่ายศรีษะ ก๊วยเซียงครุ่นคิด นางเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรและยิ้มให้พลางกล่าว ท่านกำลังฝึกยอดวิชาบางอย่างอยู่ใช่ไหม หลวงจีนกั๊กเอี้ยงยังคงส่ายศรีษะเช่นเดิม
ก๊วยเซียงเริ่มรู้สึกมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้างแล้วและกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านสาธยายบทสวด ท่านคงไม่ได้เป็นใบ้ ไฉนท่านจึงไม่ตอบคำถามข้าพเจ้า หลวงจีนกั๊กเอี้ยงพนมมือพร้อมด้วยสายตาวิงวอน
และเดินจากไปอีกครั้ง
ก๊วยเซียงมองลงไปในบ่อนํ้าแต่ไม่พบสิ่งแปลกประหลาดอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมองตามไปยังหลวงจีนกั๊กเอี้ยงด้วยความรู้สึกงงงวย
คนไทยโชคดีได้อ่านดาบมังกรหยกฉบับแปลไทยที่มีคุณภาพ
อันนี้ผมแปลเท่าที่เขาเขียนไว้ไม่ตัดไม่เพิ่มใดๆ มันสั้นกว่าฉบับแปลไทยจริงๆครับ
อย่าไปสนสำนวนนะครับผมไม่ใช่นักแปลนิยาย แค่แปลมาให้เทียบดูเฉยๆว่ามันสั้นกว่าของไทย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้