ชีวิตติดโค้ช : เรื่องเล่า 4 ล่ามลูกหนังไทยเคียงข้างกุนซือสมองเพชร

ผมว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจดี ได้เห็นอีกมุมนึงของฟุตบอลบ้านเรา
................................................................................................................
หนึ่งในนี้เคยนั่งดื่มกับยอดกุนซือระดับโลก และขอขอวิชาศาสตร์ลูกหนังด้วยความมุ่งมั่นอยากจะเป็นแบบโค้ชสมองเพชรบ้างในอนาคต, หนึ่งในนี้เคยถูกยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับ โชเซ่ มูรินโญ่, หนึ่งในนี้ได้ใกล้เป็นโค้ชตามความฝัน…

หนึ่งในนี้เคยนั่งดื่มกับยอดกุนซือระดับโลก และขอขอวิชาศาสตร์ลูกหนังด้วยความมุ่งมั่นอยากจะเป็นแบบโค้ชสมองเพชรบ้างในอนาคต, หนึ่งในนี้เคยถูกยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับ โชเซ่ มูรินโญ่, หนึ่งในนี้ได้ใกล้เป็นโค้ชตามความฝัน…

วสพล แก้วผลึก
ฟุตบอลและความผูกพัน
ผมเติบโตมากับฟุตบอลแหละ แต่ไปเติบโตที่อังกฤษ ผมเรียนจบ ป.6 ที่กรุงเทพฯ แล้วไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ 11 ขวบ อยู่ที่อังกฤษ 14 ปี .. ผมไปเรียนโรงเรียนประจำที่เน้นกีฬารักบี้ แต่ผมก็เล่นฟุตบอลเป็นหลัก และติดทีมโรงเรียนที่นู่น เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ไปแข่งกับทีมโรงเรียนอื่น ผมภูมิใจนะ เป็นเด็กไทย ผอมๆ ตัวเล็กๆ ได้เล่นให้ทีมโรงเรียนที่อังกฤษ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพอะไรหรอกนะ เพราะยังไงก็เลือกเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ผมชอบแมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยุคเอริค คันโตน่า และได้มีโอกาสเข้าไปชมเกมแมนฯ ยูไนเต็ด บ่อยๆ เคยไปดูคันโตน่ายิงลิเวอร์พูลในบอลถ้วยด้วยนะ ฮ่าๆ

ก่อนจะมาเป็นล่าม

ผมกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 25 ปี จริงๆ ผมจบกราฟฟิคดีไซน์นะ ผมเริ่มต้นฝึกงาน และทำงานเป็นฟรีแลนซ์ในงานที่ตัวเองเรียนจบมา แต่ก็ติดตามฟุตบอลตลอด ทั้งไทยและต่างประเทศ จนกระทั่ง ช่วงปี 2009 ที่ไบรอัน ร็อบสัน มาคุมทีมชาติไทย ก็มีทางผู้ใหญ่ในสมาคมฟุตบอลฯ ที่รู้จักกัน เค้ามาถามว่า ตอนนี้สมาคมฯ อยากได้ล่ามมาช่วยไบรอัน ร็อบสัน สนใจไหม ผมแทบไม่ต้องคิดเลย .. มันเหมือนเป็นโชคชะตานะ อย่างแรกเลย คือได้มีส่วนร่วมกับทีมชาติไทย มันเป็นความใฝ่ฝันของทุกคนอยู่แล้ว ที่อยากทำงานให้ทีมชาติ อย่างต่อมาคือไบรอัน ร็อบสัน นี่คือตำนานของสโมสรที่เราชอบเลยนะ ผมเลยเต็มใจมากๆ ที่ได้โอกาสที่ดีนี้ ที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
จุดเริ่มต้น

กับไบรอัน ร็อบสัน ไม่ต้องพูดถึงเลยเรื่องความเป็นผู้นำ เขาสุดยอดอยู่แล้ว เขาคือกัปตันทีมที่ยาวนานที่สุดของสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด เขาเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ เขาเป็นนักฟุตบอลระดับต้นๆ ของโลกในยุคของเขา เขาน่าเคารพ และติดดิน ไบรอันไม่มีอีโก้เลยในการทำงาน ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์ และเป็นกันเองมาก ผมเชื่อว่า นักเตะไทยทุกคนในยุคนั้น รักและเคารพไบรอันทุกคน เพราะเวลาซ้อมเขาก็ลงมาซ้อมกับนักเตะ ผมสัมผัสได้ถึงความเต็มที่ และมีความเป็นมืออาชีพของเขา แต่น่าเสียดายที่หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ในสมาคมฟุตบอลฯ ยุคนั้น มันไม่พร้อม และไม่ได้ช่วยเราขนาดนั้น มันคือสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลย ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องซูซูกิ คัพ 2010 เรามีเวลาเก็บตัวแค่วันเดียว แล้วเราก็ตกรอบแรก แบบมีแค่ 2 แต้มเท่านั้น

ระบบการจัดการในสมัยนั้น มันไม่ดีจริงๆ ใครจะไปเชื่อว่า ทีมชาติจะมีเวลาเก็บตัววันเดียวในการแข่งขันระดับภูมิภาค นักเตะหลายคนก็เจ็บจากบอลภายในประเทศ .. โค้ชอย่างไบรอัน เค้าผ่านระบบแบบมืออาชีพมาแล้ว เค้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องใช้เวลาขนาดไหนในการทำงาน ต้องวางแผนอย่างไร ไม่ใช่ว่าเค้าจะโอเคหรอกนะ เค้าก็พยายามจะเปลี่ยนแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก ระบบมันไม่พร้อมจริงๆ ผมว่ามันพัฒนาขึ้นเยอะนะ ในสมัยนี้ แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยเวลาแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ตอนนี้มันกำลังเดินหน้าขึ้น ไม่ได้ถอยหลังกลับ รากฐานมันกำลังดีขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น

เฮดโค้ชผู้ผ่านฟุตบอลโลก

ต่อมาก็คือยุคของ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ (อดีตเฮ้ดโค้ชผู้พาแคเมอรูน ลุยศึกฟุตบอลโลก 2002) ที่มาคุมทีมชาติไทย จริงๆ ช่วงแรก ผมก็ไม่ได้เข้ามาทำงานนะ เพราะมี พี่นิกร (พลอากาศโท รศ.ดร.นิกร ชำนาญกุล) ที่ทำหน้าที่ล่ามภาษาเยอรมัน แต่ตอนหลังผมก็ได้โอกาสเข้ามาทำงานอีกครั้ง เพราะรู้จักกับทางมาโน่ โพลกิ้ง ผู้ช่วยของวินนี่ ในวันหนึ่งที่ได้คุยกัน เค้าเลยชวนผมเข้ามาทำ  

จริงๆ การสื่อสารหลักจากวินนี่ก็จะเป็นพี่นิกร แต่ผมก็จะช่วยในเรื่องการกระตุ้น ช่วยเติม ช่วยเสริม ช่วยคุยกับนักฟุตบอลที่เป็นวัยรุ่นเหมือนผม พี่นิกรจะเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจฟุตบอล ก็จะทำหน้าที่สื่อสารภาษาออกมา แต่ในเรื่องความบ้าคลั่ง การเข้าถึงอารมณ์เกม การกระตุ้น ก็จะเป็นหน้าที่ผม

อดีตนักเตะระดับโลก และกุนซือระดับโลก

ข้อแตกต่างระหว่างสองคนนี้ ก็คือ ไบรอัน ร็อบสัน จะเป็นกุนซือที่เคยเป็นอดีตนักเตะระดับโลก ก็ทำให้นักเตะไทย พยายามเรียนรู้ที่จะทำตามนักเตะระดับตำนาน เป็นตัวอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เวลาที่เค้าสอนใจสนามซ้อม นักเตะไทยก็จะคิดตาม เพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น

ส่วน วินนี่ จะเป็นกุนซือจอมแทคติก เขาเป็นฟุตบอลแมน ที่บ้าบอล บ้าแทคติกมาก เขาเป็นคนเยอรมัน เรื่องระเบียบวินัย เรื่องการทำงานหนัก และความตรงไปตรงมามาอันดับหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เขามี วินนี่ทำงานหนักมากเลยนะ เค้าไปดูนักเตะทุกสนามด้วยตัวเอง เค้าจะเลือกนักเตะที่เขาต้องเห็นฟอร์ม เห็นความสามารถกับตาตัวเอง...แน่นอนว่า วัฒนธรรมในเมืองไทย มันไม่ง่ายที่จะตรงไปตรงมาขนาดนั้น แต่เขาก็ได้ มาโน่ ช่วยไว้เยอะ เพราะมาโน่ยังมีวัยที่ไม่มากนัก และเข้าใจนิสัย เข้าใจวัฒนธรรมของนักเตะไทย

มาโน่ โพลกิ้ง เคยบอกผมว่า วินนี่ไปถึงระดับโลกได้ เพราะเค้ามีเซนส์ฟุตบอลที่โค้ชควรมี มันอธิบายไม่ได้ว่า เซนส์นี้จะเกิดขึ้นตอนไหน จะต้องเปลี่ยนตัวตอนไหน ซึ่งวินนี่มีความพิเศษนี้อยู่กับตัว

แต่ด้วยความตรงไปตรงมาของวินนี่ ก็ทำให้ตัวเขาเริ่มมีปัญหากับสมาคมฟุตบอลฯ ยุคนั้น ในเรื่องการจัดการ เพราะเค้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาเหมือนกัน บางทีเจอปัญหาแบบพาสปอร์ตไม่พร้อม นักเตะต้องเดินทางตามหลังมา บางทีเจอปัญหาเวลาเก็บตัวน้อย วินนี่ก็จะพูดแบบตรงไปตรงมา...เราต้องยอมรับในความเป็นจริง ว่าเราไม่พร้อมในหลายๆ ด้านตอนนั้น จริงๆ ที่วินนี่ต้องการเปลี่ยนให้เกิดอะไรที่พร้อมมากขึ้น มันไม่ใช่เพื่อตัวเค้าอย่างเดียวนะ เพราะความสำเร็จมันไม่ได้เกิดกับแค่ตัววินนี่คนเดียว ทีมชาติไทยก็จะประสบความสำเร็จไปด้วย

จากล่ามสู่ผู้ช่วยโค้ช

ปี 2013 หลังจากที่วินนี่ลาออก ตอนนั้น มาโน่ ได้เข้ามาทำ อาร์มี่ ยูไนเต็ด เค้าก็มาชวนผม เชื่อไหมว่า ตอนนั้นมาโน่คัดนักเตะด้วยตัวเอง นักเตะอย่าง มงคล ทศไกร และ ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร ยังเป็นนักเตะที่ต้องมาคัดตัว แล้วมาโน่ก็ชอบ เล็งเห็นความสามารถในตัว เห็นในสิ่งที่หลายคนยังไม่เห็น เค้าปั้นจนมาได้ไกลในปัจจุบัน

ตอนแรกผมเข้ามาเป็นล่ามให้มาโน่ ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องฟุตบอลมากขึ้น ได้รู้แทคติกมากขึ้น จากตอนแรกกับไบรอัน ต่อมากับวินนี่ แล้วมาถึงยุคทำงานกับมาโน่... ผมไม่เคยคิดจะต้องการเป็นโค้ชเลยนะ แต่การได้ซึมซับทุกวันๆ มันก็กลายเป็นเหมือนผู้ช่วยโค้ชไปโดยธรรมชาติ หน้าที่ของผมในการทำงานค่อยๆ เปลี่ยน เราไม่ใช่แค่ล่ามแล้วนะ บางทีก็ช่วยจัดการซ้อม มันเกินไปมากกว่าการแปลแล้ว จากนั้น พอผมย้ายไปอยู่กับมาโน่ ที่สุพรรณบุรี เอฟซี ผมก็เปลี่ยนตำแหน่งจากล่ามของโค้ช มาเป็น ล่ามบวกผู้ช่วยโค้ช  

จุดเริ่มต้นของทีมงานพวกผมตอนนี้ จริงๆ มันเริ่มจาก มาโน่ โพลกิ้ง มาอยู่กับอาร์มี่คนเดียว แล้วมาเจอ บาร์ดี้ (โค้ชผู้รักษาประตู) และ เปาโล (โค้ชฟิตเนส) สองโค้ชชาวบราซิลเหมือนมาโน่ที่สโมสรอาร์มี่ แล้วเค้าก็ชวนผมเข้ามาทำงานด้วย มันเหมือนเป็นจุดรวมตัวของชุดสต๊าฟฟ์โค้ชชุดนี้ แล้วก็ย้ายไปสุพรรณบุรี เอฟซี จนมาอยู่กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วยกันในปัจจุบัน

ประทับลึกลงหัวใจ

กับไบรอัน ร็อบสัน ปัจจุบันผมก็ยังคุยกับเค้า ผมก็สนิทกับเค้าในระดับหนึ่ง เวลาผมไปอังกฤษ ผมก็มักจะไปหาเค้าที่บ้าน และนั่งดื่มกินกัน นั่งชมเกมแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยกัน เค้าเคยพาผมไปหาเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันด้วยนะ และเคยพาผมไปสนามซ้อมของแมนฯ ยูไนเต็ด .. ใครจะไปเชื่อว่า ตำนานทีมที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่เด็ก และเป็นตำนานทีมชาติอังกฤษ จะมารู้จักกับเราเป็นการส่วนตัว จะพาเราไปดูบอลในสนามที่อังกฤษ จะพาเราไปรู้จักกับนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด แบบเป็นการส่วนตัว ใครจะไปเชื่อ มันคือความฝันชัดๆ!!! หลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้น ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝัน ผมคิดว่ามันคือโชคชะตาของผมที่ฟุตบอลได้นำพามา

ลืมไม่ลง
ผมกับมาโน่ ทำผลงานได้ดีที่อาร์มี่ จึงได้ไปต่อกับทีมที่ใหญ่กว่าอย่างสุพรรณบุรี แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง บางทีฟุตบอลก็เป็นแบบนี้แหล่ะ มีปีที่ดี และไม่ดี เราทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ผู้ใหญ่ต้องการ ตรงนี้ผมก็ยอมรับ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เราก็เคารพการตัดสินใจของผู้ใหญ่นะ การเปลี่ยนแปลงคือเรื่องปกติของฟุตบอลอยู่แล้ว

แต่มาโน่เค้าก็แสดงออกให้เห็นว่า เค้าคือโค้ชที่ดี เป็นโค้ชที่นักเตะรัก ถ้าคุณจำได้ หลังจากที่มีการปลดมาโน่จากตำแหน่งเฮ้ดโค้ช นักเตะสุพรรณบุรี ไม่มีใครดีใจในเกมต่อมา ที่ชนะศรีสะเกษ 5-1 นั่นมันแสดงออกว่า ผมได้ทำงานกับโค้ชที่ดีนะ ซึ่งทุกคนก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ นักเตะก็ต้องเล่นให้เต็มที่ต่อไป แม้จะไม่เห็นด้วย และผิดหวังก็ตาม

ฝันให้ไกลไปให้ถึง

ผมอยู่กับแบงค็อกตอนนี้ และได้รับการสนับสนุนที่ดี ให้อิสระอย่างเต็มที่จากคุณขจร เจียรวนนท์ (ประธานสโมสร) ผมก็อยากจะประสบความสำเร็จกับสโมสรแห่งนี้ ตอนแรกที่พวกผมเข้ามาเมื่อสองปีกว่าที่แล้ว ทีมกำลังหนีตกชั้น แต่สุดท้ายชนะติดกันเป็นสิบเกม จนจบอันดับ 8 พอปีต่อมา (2015) ก็จบอันดับ 5 และได้รองแชมป์เมื่อปีที่แล้ว ผมว่ามันยากมากนะ ที่ทำทีมบอลกราฟขึ้นอย่างเดียว จนมาปีนี้ที่เกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้น โดยเฉพาะการตกรอบเพลย์ออฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ทีมเราที่เตรียมทีมมาเดือนกว่า เกิดช็อตกันดื้อๆ มันยากนะ ที่จะลืมเรื่องพวกนี้ได้ในวันรุ่งขึ้น นักเตะหลายคนฟอร์มดร็อปลงอย่างชัดเจนหลังจากผิดหวัง แต่ตอนนี้ ผมว่ามันกำลังจะดีขึ้น และผมหวังว่าจะคว้าแชมป์ให้ได้กับบียู

ในส่วนของการเป็นโค้ช ผมเองก็กำลังจะเรียนในระดับ บี ไลเซนส์ อยู่ ซึ่งผมอยากจะเรียนไปเรื่อยๆ ให้จบในระดับสูงที่สุดเท่าที่เป็นได้ก่อน อาจจะระดับเอ ไลเซนส์ หรือโปร ไลเซนส์ เพราะตอนนี้ผมมองว่า ผมยังไม่สามารถเป็นโค้ชใหญ่ได้ ผมยังไม่พร้อมขนาดนั้น ผมยังไม่เคยคิดที่จะเป็นเฮดโค้ช และยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกเยอะ ผมยังอยากเป็นผู้ช่วยของมาโน่ให้เต็มที่เท่าที่จะช่วยได้ เพราะอยู่ด้วยกันมา 4 ปี แล้วจนกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว…..

มีอ่านต่อตามเครดิตครับ
credit : https://www.fourfourtwo.com/th/features/chiiwittidokhch-eruuengelaa-4-laamluukhnangaithyekhiiyngkhaangkunchuuesmngephchr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่