ก่อนอื่นเลยต้องฝากเพจผมก่อนนะครับ เป็นเพจท่องเที่ยวไสตล์ back packing เน้นการท่องเที่ยวตามแบบคนในพื้นที่ครับ
https://www.facebook.com/7387MilesFromHome/
วันนี้เราจะมาเที่ยวกันที่ Banff นะครับซึ่งคนส่วนใหญ่จะมากันในช่วงหน้าร้อนทำให้มีรีวิวกันมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นผมจะขอมารีวิวเจ้า Banff นี้ในฤดูใบไม้ผลิที่คนน้อยกว่า เงียบกว่า สัมผัสธรรมชาติได้มากว่าและที่สำคัญคือถูกกว่าพอสมควรเลยครับ
Banff อ่านว่า แบ๊มฟ์ เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในเขตอุทยาทแห่งชาติ Banff National Park ตั้งอยู่ในรัฐ Alberta ประเทศแคนาดาครับ ซึ่ง Banff เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของแคนาดาและอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 1300 กว่าเมตรและอยู่ในเทีอกเขา Canadian Rockies ครับ
เวลาที่ควรมาเที่ยวคือช่วงหน้าร้อนได้แก่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเพราะทะเลสาบจละลายและทางเดินป่าจะมีสัตว์ออกมามาก แต่เรามาช่วงใบไม้ผลิซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ครับเพราะมันถูกกว่ามากและคนน้อยกว่ามากทำให้ได้บรรยากาศความสงบและไม่ต้องแย่งกันเที่ยว
เราใช้เวลาที่เมืองนี้ห้าวันสี่คืนโดยใช้เวลาหนึ่งวันที่ Lake Louis ใช้เวลาในแต่ละสถานที่นานมากเพราะว่ามันสวยมากจริงๆโดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดตกประมาณ 10,000 บาทครับรวมค่าที่พัก ค่ารถบัสจากมืองเอดมันตันมายัง Banff ต่าอาหารการกินและค่าเข้าเที่ยวสองสถานที่ครับ
ราคานี้ไม่รวมตั๋วเครื่องบินนะครับ
Banff เป็นเมืองที่มีเสน่ห์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินเขาอย่างมากเพราะว่ามีวิวที่สวยงามและมีทะเลสาบ
สีสันแปลกตาเยอะมาก ทำให้มีที่พักแบบ bed and breakfast เยอะมากภายในเมือง
ครั้งนี้เราเลือกที่จะพักที่ Samesun hostel Banff เพราะราคาถูกและมีชื่อสียงดีแถมยังมีการพาไปทัวร์ที่ทะเลสาบและทางเดินรอบๆเมืองฟรีๆด้วยเกือบทุกวัน
"Where about are you from?" ประโยคที่ทุกคนคนใช้ทักทายกันภายใน hostel เพราะทุกคนนอนรวมกันห้อง
ละ 8 คนไม่แยกเพศชายหญิงทำให้การคุยกันทั้งสนุกและมึนๆด้วย ถ้าหากเราเอาของมีค่าไปภายในห้องจะมีล้อกเก้อให้อย่างดีแต่ต้องเอาแม่กุญแจกันไปเองนะ การที่เรามีเพื่อนร่วมห้องแบบนี้ทำให้เราได้ฝึกภาษากันเยอะมากเลยทีเดียว แถมยังสามารถถามข้อมมูลได้ด้วยว่าควรไปที่ไหนและเตรียมตัวยังไงเพราะบางคนเคยไปบางทีมาแล้วทำให้สะดวกต่อการเดินทางมาก
ภายในเมืองจะมีถนนหลักเส้นเดียวคือ Banff Avenue และที่พักส่วนใหญ่จะอยู่บนถนนเส้นนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีภูเขามาให้เห็นเสมอ ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาเมื่อเราเดินออกมาจากที่พักก็จะเจอวิวแบบนี้เสมอ
นอกจากนั้น Banff ยังเป็นเหมือนจุดพักของนักสกีมากมายเพราะใกล้กับลานสกี ภายในเมืองจะมีรถจาก ski resort มารับนักสกีไปที่ลานสกีตลอดวันทำให้เราสามารถเห็นนักสกีเดินอยู่ภายในเมืองได้มากมาย
Maple Syrup Candy ที่ทำมาจาก Maple Syrup ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือมันหวานมาก
ช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ช่วง Peak Season คนจึงมาน้อย แต่เพราะแบบนี้ทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศจริงๆของเมืองธรรมชาติ ที่สำคัญคือค่าที่พักและการเดินทางถูกกว่าช่วงหน้าร้อนมาก
Bow River แม่น้ำที่ใหญ่ผ่านเมือง Banff สีเขียวงดงามมากและทางเดินเลียบแม่น้ำจะเรียกว่า Bow River Trial ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ในเมืองไปจนถึงในป่า
เพราะบางช่วงยังมีหิมะเกาะอยู่เลยยังไม่ใช้ Peak Season แต่เราว่ามันก้สวยดีนะ
น้ำใสไหลเย็น
เข้ามาถึงช่วงที่เป็นทางเดินในป่า
ตลอดทางเดินจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักชมวิวเป็นระยะๆ
ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีสัตว์ป่าออกมาเดินมากมายทั้งควายไบซัน, กวาง elk, หรือแม้กระทั่งหมีต่างๆทำให้ไดอารมณ์เหมือนการมาเดิน open safari เลยทีเดียว (ตัวนี้คือคาริบูครับ)
***สำคัญ - ถ้าหากใครเดินป่าในช่วงนี้หรือช่วงที่ไม่มีคนเดินเยอะต้องพก Bear Spray ไปด้วยเพราะเป็นช่วงที่หมีออกมาเดินแล้วซึ่งมันตรายมาก Bear Spray คือสเปรย์ไล่หมี ขายกันขวกละ CAD40 ซื้อได้ภายในเมือง***
เพราะมาคนเดียวจริงๆเลยต้องวางกล้องไว้และถ่ายรูปตัวเอง
มาต่อกันที่ Fenland Trial ครับ
Fenland trial เป็นทางเดินป่าใกล้ๆตัวเมือง เป็นทางเดินแบบ loop คือเดินเป็นวงกลมนอกจากนั้นยังเป็นทางผ่านไปยัง Vermilion Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้ๆตัวเมืองอีกด้วย
ภายในจะมีสัตว์ป่าออกมาหากินมากมายเช่นตัวนี้คือกวาง elk
**เหมือนเดิมนะครับถ้ามาช่วงคนน้อยหรือมากันคนเดียวหรือมากันกลุ่มเล็กต้องพก Bear Spray นะครับ**
บรรยากาศภายใน Fenland Trial
เมื่อเดินมากได้ครึ่งทางจะมีทางออกไปยัง Vermilion Lake ซึ่งมีป้ายบอกอยู่
Vermillion Lake เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย 3 ทะเลสาบย่อย มีแหล่งกำเนิดมาจาก Bow river การเดินทางสามารถขับรถมาจากตัวเมืองก็ได้หรือจะเดินมาจากตัวเมืองก็ได้
จบไปกับ Vermilion Lake กับ Fenland Trial ครับ
วันรุ่งขึ้นเราไปต่อกันที่ Banff Gondola
Banff Gondola คือกระเช้าที่จะพาเราขึ้นไปที่ยอดเขา Sulfur Mountain ซึ่งภูเขานี้คือจุดเริ่มต้นของ Banff
เมื่อประมาณปี 1800 ปลายๆได้มีการสร้างทางรถไฟผ่านมาที่ภูเขาแห่งนี้ ณ ตอนนั้นคนงานจำนวนหนึ่งได้เห็นควันพุ่งออกมาจากภูเขาจึงเกิดสงสัยเลยเดินไปดู พวกเขาพบบ่อน้ำพุร้อนจึงได้ทำการสร้างรั้วกั้นไว้และเริ่มทำธุรกิจนับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเวลาผ่านไปทางรัฐบาลจึงเข้ามาช่วยเหลือและซื้อธุรกิจไปและผลักดันให้ Banff เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของแคนาดา
วิวที่ได้จากด้านบนจะเห็นตัวเมือง Banff ทั้งหมด (มุมซ้ายล่าง) และเห็นแม่น้ำ Bow River ด้วย
ราคาค่าตั๋วนั้นจะอยู่ที่ประมาณ CAD 50 แต่หากเรามาช่วงหน้าหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างช่วงนี้เราจะได้ส่วนลด CAD10 หากขึ้นกระเช้าหลัง 16.30 แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะมืดนะเพราะกว่าแสงจะหมดก้ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว
รูปภาพตอนขึ้นกระเช้าครับ
นอกจากนั้นทางด้านบนจะมีทางเดินเพิ่มเตินไปที่ Sanson's Peak ซึ่งสูงถึง 2,250 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว
อันนี้คือรูปก่อนถึงยอดเขาไม่กี่ก้าว
เอาจริงคือเราเป็นคนกลัวความสูงมากถึงมากที่สุด ถ้าอยู่ตรงหน้าผาขาเราจะแข็งจนเดินไม่ได้เลย ก่อนหน้าที่เราจะปีนขึ้นมาบนยอดนี้เรานึกถึงคำพูดของฝรั่งว่า the best thing on the adventure is to get out of your comfort zone แปละได้ว่าถ้าเราท้าทายตัวเองนั่นแหละคือการเดินทางที่สนุกที่สุดเลยตัดสินใจเดินขึ้นมา มันสวยมาก มากจริงๆแต่สำหรับเรามันก้น่ากลัวมากด้วยเพราะพื้นเป็นน้ำแข็งทำมห้ลื่นมากและถ้าเดินพลาดหล่นลงไปคือไม่รอดแน่นอนเพราะมันชันและสูงมาก
ก่อนกลับเราโชคดีได้เห็นขบวนรถไฟ The Rocky Mountaineers ซึ่งเป็นขบวนรถไฟท่องเที่ยวในฝัยชองใครหลายๆคนเลย The Rocky Mountaineers เป็นรถไฟที่วิ่งผ่าน The Canadian Rockies ที่ขึ้นชื่อด้านวิวที่สวยงามและการบริการเหมือนอยู่ในโรงแรมห้าดาวและแน่นอนครับ ราคาต่อเที่ยวนั้นมีตั้งแต่เก้าหมื่นปลายๆไปจนหลักแสนเลยทีเดียว
เป็นอันจบทริป Banff ห้าวันสี่คืนครับเป็นทริปแรกที่เดินทางคนเดียวและเป็นหนึ่งในทริปที่สนุกและครบรสที่สุดครับ เจอเพื่อนใหม่จากโฮสเทลเยอะมากกก คุยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเยอะมาก สนุกมากๆจริงๆครับ สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวที่ Banff นี้และไม่อยากเบียดกับคนเยอะแย่งกันเที่ยวแย่งกันกินแนะนำให้มาช่วงสงกรานต์ได้ครับเพราะช่วง Peak Season จริงๆคนเยอะและทัวร์เยอะมากอันนี้ถามมาจากคนท้องที่เลยครับ
ถ้าหากชอบก็ฝากกดไลค์เพจกันด้วยนะครับจะได้เป็นกำลังใจในการเขียนต่อๆไปครับ
https://www.facebook.com/7387MilesFromHome/
จริงๆคือมีอีกหลายที่มากที่อยากจะเขียน ขอบคุณครับ
Banff - Canadian Rockies ในฤดูใบไม้ผลิความสวยที่คนมองข้าม
https://www.facebook.com/7387MilesFromHome/
วันนี้เราจะมาเที่ยวกันที่ Banff นะครับซึ่งคนส่วนใหญ่จะมากันในช่วงหน้าร้อนทำให้มีรีวิวกันมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นผมจะขอมารีวิวเจ้า Banff นี้ในฤดูใบไม้ผลิที่คนน้อยกว่า เงียบกว่า สัมผัสธรรมชาติได้มากว่าและที่สำคัญคือถูกกว่าพอสมควรเลยครับ
Banff อ่านว่า แบ๊มฟ์ เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในเขตอุทยาทแห่งชาติ Banff National Park ตั้งอยู่ในรัฐ Alberta ประเทศแคนาดาครับ ซึ่ง Banff เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของแคนาดาและอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 1300 กว่าเมตรและอยู่ในเทีอกเขา Canadian Rockies ครับ
เวลาที่ควรมาเที่ยวคือช่วงหน้าร้อนได้แก่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเพราะทะเลสาบจละลายและทางเดินป่าจะมีสัตว์ออกมามาก แต่เรามาช่วงใบไม้ผลิซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ครับเพราะมันถูกกว่ามากและคนน้อยกว่ามากทำให้ได้บรรยากาศความสงบและไม่ต้องแย่งกันเที่ยว
เราใช้เวลาที่เมืองนี้ห้าวันสี่คืนโดยใช้เวลาหนึ่งวันที่ Lake Louis ใช้เวลาในแต่ละสถานที่นานมากเพราะว่ามันสวยมากจริงๆโดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดตกประมาณ 10,000 บาทครับรวมค่าที่พัก ค่ารถบัสจากมืองเอดมันตันมายัง Banff ต่าอาหารการกินและค่าเข้าเที่ยวสองสถานที่ครับ ราคานี้ไม่รวมตั๋วเครื่องบินนะครับ
Banff เป็นเมืองที่มีเสน่ห์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินเขาอย่างมากเพราะว่ามีวิวที่สวยงามและมีทะเลสาบ
สีสันแปลกตาเยอะมาก ทำให้มีที่พักแบบ bed and breakfast เยอะมากภายในเมือง
ครั้งนี้เราเลือกที่จะพักที่ Samesun hostel Banff เพราะราคาถูกและมีชื่อสียงดีแถมยังมีการพาไปทัวร์ที่ทะเลสาบและทางเดินรอบๆเมืองฟรีๆด้วยเกือบทุกวัน
"Where about are you from?" ประโยคที่ทุกคนคนใช้ทักทายกันภายใน hostel เพราะทุกคนนอนรวมกันห้อง
ละ 8 คนไม่แยกเพศชายหญิงทำให้การคุยกันทั้งสนุกและมึนๆด้วย ถ้าหากเราเอาของมีค่าไปภายในห้องจะมีล้อกเก้อให้อย่างดีแต่ต้องเอาแม่กุญแจกันไปเองนะ การที่เรามีเพื่อนร่วมห้องแบบนี้ทำให้เราได้ฝึกภาษากันเยอะมากเลยทีเดียว แถมยังสามารถถามข้อมมูลได้ด้วยว่าควรไปที่ไหนและเตรียมตัวยังไงเพราะบางคนเคยไปบางทีมาแล้วทำให้สะดวกต่อการเดินทางมาก
ภายในเมืองจะมีถนนหลักเส้นเดียวคือ Banff Avenue และที่พักส่วนใหญ่จะอยู่บนถนนเส้นนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีภูเขามาให้เห็นเสมอ ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาเมื่อเราเดินออกมาจากที่พักก็จะเจอวิวแบบนี้เสมอ
นอกจากนั้น Banff ยังเป็นเหมือนจุดพักของนักสกีมากมายเพราะใกล้กับลานสกี ภายในเมืองจะมีรถจาก ski resort มารับนักสกีไปที่ลานสกีตลอดวันทำให้เราสามารถเห็นนักสกีเดินอยู่ภายในเมืองได้มากมาย
Maple Syrup Candy ที่ทำมาจาก Maple Syrup ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือมันหวานมาก
ช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ช่วง Peak Season คนจึงมาน้อย แต่เพราะแบบนี้ทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศจริงๆของเมืองธรรมชาติ ที่สำคัญคือค่าที่พักและการเดินทางถูกกว่าช่วงหน้าร้อนมาก
Bow River แม่น้ำที่ใหญ่ผ่านเมือง Banff สีเขียวงดงามมากและทางเดินเลียบแม่น้ำจะเรียกว่า Bow River Trial ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ในเมืองไปจนถึงในป่า
เพราะบางช่วงยังมีหิมะเกาะอยู่เลยยังไม่ใช้ Peak Season แต่เราว่ามันก้สวยดีนะ
น้ำใสไหลเย็น
เข้ามาถึงช่วงที่เป็นทางเดินในป่า
ตลอดทางเดินจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักชมวิวเป็นระยะๆ
ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีสัตว์ป่าออกมาเดินมากมายทั้งควายไบซัน, กวาง elk, หรือแม้กระทั่งหมีต่างๆทำให้ไดอารมณ์เหมือนการมาเดิน open safari เลยทีเดียว (ตัวนี้คือคาริบูครับ)
***สำคัญ - ถ้าหากใครเดินป่าในช่วงนี้หรือช่วงที่ไม่มีคนเดินเยอะต้องพก Bear Spray ไปด้วยเพราะเป็นช่วงที่หมีออกมาเดินแล้วซึ่งมันตรายมาก Bear Spray คือสเปรย์ไล่หมี ขายกันขวกละ CAD40 ซื้อได้ภายในเมือง***
เพราะมาคนเดียวจริงๆเลยต้องวางกล้องไว้และถ่ายรูปตัวเอง
มาต่อกันที่ Fenland Trial ครับ
Fenland trial เป็นทางเดินป่าใกล้ๆตัวเมือง เป็นทางเดินแบบ loop คือเดินเป็นวงกลมนอกจากนั้นยังเป็นทางผ่านไปยัง Vermilion Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้ๆตัวเมืองอีกด้วย
ภายในจะมีสัตว์ป่าออกมาหากินมากมายเช่นตัวนี้คือกวาง elk
**เหมือนเดิมนะครับถ้ามาช่วงคนน้อยหรือมากันคนเดียวหรือมากันกลุ่มเล็กต้องพก Bear Spray นะครับ**
บรรยากาศภายใน Fenland Trial
เมื่อเดินมากได้ครึ่งทางจะมีทางออกไปยัง Vermilion Lake ซึ่งมีป้ายบอกอยู่
Vermillion Lake เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย 3 ทะเลสาบย่อย มีแหล่งกำเนิดมาจาก Bow river การเดินทางสามารถขับรถมาจากตัวเมืองก็ได้หรือจะเดินมาจากตัวเมืองก็ได้
จบไปกับ Vermilion Lake กับ Fenland Trial ครับ
วันรุ่งขึ้นเราไปต่อกันที่ Banff Gondola
Banff Gondola คือกระเช้าที่จะพาเราขึ้นไปที่ยอดเขา Sulfur Mountain ซึ่งภูเขานี้คือจุดเริ่มต้นของ Banff
เมื่อประมาณปี 1800 ปลายๆได้มีการสร้างทางรถไฟผ่านมาที่ภูเขาแห่งนี้ ณ ตอนนั้นคนงานจำนวนหนึ่งได้เห็นควันพุ่งออกมาจากภูเขาจึงเกิดสงสัยเลยเดินไปดู พวกเขาพบบ่อน้ำพุร้อนจึงได้ทำการสร้างรั้วกั้นไว้และเริ่มทำธุรกิจนับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเวลาผ่านไปทางรัฐบาลจึงเข้ามาช่วยเหลือและซื้อธุรกิจไปและผลักดันให้ Banff เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของแคนาดา
วิวที่ได้จากด้านบนจะเห็นตัวเมือง Banff ทั้งหมด (มุมซ้ายล่าง) และเห็นแม่น้ำ Bow River ด้วย
ราคาค่าตั๋วนั้นจะอยู่ที่ประมาณ CAD 50 แต่หากเรามาช่วงหน้าหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างช่วงนี้เราจะได้ส่วนลด CAD10 หากขึ้นกระเช้าหลัง 16.30 แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะมืดนะเพราะกว่าแสงจะหมดก้ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว
รูปภาพตอนขึ้นกระเช้าครับ
นอกจากนั้นทางด้านบนจะมีทางเดินเพิ่มเตินไปที่ Sanson's Peak ซึ่งสูงถึง 2,250 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว
อันนี้คือรูปก่อนถึงยอดเขาไม่กี่ก้าว
เอาจริงคือเราเป็นคนกลัวความสูงมากถึงมากที่สุด ถ้าอยู่ตรงหน้าผาขาเราจะแข็งจนเดินไม่ได้เลย ก่อนหน้าที่เราจะปีนขึ้นมาบนยอดนี้เรานึกถึงคำพูดของฝรั่งว่า the best thing on the adventure is to get out of your comfort zone แปละได้ว่าถ้าเราท้าทายตัวเองนั่นแหละคือการเดินทางที่สนุกที่สุดเลยตัดสินใจเดินขึ้นมา มันสวยมาก มากจริงๆแต่สำหรับเรามันก้น่ากลัวมากด้วยเพราะพื้นเป็นน้ำแข็งทำมห้ลื่นมากและถ้าเดินพลาดหล่นลงไปคือไม่รอดแน่นอนเพราะมันชันและสูงมาก
ก่อนกลับเราโชคดีได้เห็นขบวนรถไฟ The Rocky Mountaineers ซึ่งเป็นขบวนรถไฟท่องเที่ยวในฝัยชองใครหลายๆคนเลย The Rocky Mountaineers เป็นรถไฟที่วิ่งผ่าน The Canadian Rockies ที่ขึ้นชื่อด้านวิวที่สวยงามและการบริการเหมือนอยู่ในโรงแรมห้าดาวและแน่นอนครับ ราคาต่อเที่ยวนั้นมีตั้งแต่เก้าหมื่นปลายๆไปจนหลักแสนเลยทีเดียว
เป็นอันจบทริป Banff ห้าวันสี่คืนครับเป็นทริปแรกที่เดินทางคนเดียวและเป็นหนึ่งในทริปที่สนุกและครบรสที่สุดครับ เจอเพื่อนใหม่จากโฮสเทลเยอะมากกก คุยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเยอะมาก สนุกมากๆจริงๆครับ สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวที่ Banff นี้และไม่อยากเบียดกับคนเยอะแย่งกันเที่ยวแย่งกันกินแนะนำให้มาช่วงสงกรานต์ได้ครับเพราะช่วง Peak Season จริงๆคนเยอะและทัวร์เยอะมากอันนี้ถามมาจากคนท้องที่เลยครับ
ถ้าหากชอบก็ฝากกดไลค์เพจกันด้วยนะครับจะได้เป็นกำลังใจในการเขียนต่อๆไปครับ
https://www.facebook.com/7387MilesFromHome/
จริงๆคือมีอีกหลายที่มากที่อยากจะเขียน ขอบคุณครับ