[CR] Tasmania in the city | EP.1 Hobart โฮบาร์ต เมืองเล็กๆสไตล์อังกฤษ |

สวัสดีค่ะ ทริปแรกที่เรามารีวืวคือ เกาะทาสเมเนีย เกาะเล็กๆทางใต้ของออสเตรเลียค่ะ
เราจะแบ่งเป็น ตอนๆแล้วกันเนอะเพื่อให้ไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไปนะคะ
ขออภัยถ้ารูปมันเบลอและไม่สวยนะคะ มือใหม่หัดถ่ายหัดรีวิวคะ
เมืองแรกที่เรามาลงกัน ก็คือ Hobart (โฮบาร์ต) เป็นเมืองแบบไหน มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง แล้วมีร้านอาหารอร่อยๆที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

งั้นก่อนอื่นเลย ขอพูดถึงเมืองโฮบาร์ตคร่าวๆก่อนนะคะ
เมืองโฮบาร์ต เป็นเมืองหลวงของทาสเมเนีย ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา เวลลิงตัน กับ ทะเลค่ะ เรียกได้ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่วิวสวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ
แต่ที่เราว่าเจ๋งนะ คือเมืองโฮบาร์ต เป็นเมืองที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลียเลยนะ
ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย แต่บอกเลยว่าที่เที่ยวและของกินเยอะมาก
อยากจะชมวิว ล่องเรือ ดูงานศิลปะ กินของอร่อย ชมประวัติศาสตร์ ครบเครื่องมากจริงๆ

การเดินทางไปครั้งนี้ของเราจะบินไปลงที่สนามบิน Hobart International Airport (โฮบาร์ต อินเตอร์เนชั้นแนล แอร์พอร์ท) และเช่ารถขับเที่ยวในเกาะนะคะ
โอเคมาเริ่มกันจริงๆเลยดีกว่า เราก็ทำการจองตั๋วเครื่องบินจากเมืองไทย โดยเลือกใช้บริการของ Jetstar เพราะถือว่าเป็น low cost ของที่นั้น

เช้าวันแรก
เครื่องของเราออก 6 โมงเช้าเลย (เพราะมันเช้ามาก ราคาเลยถูก ตกแล้วประมาณ 7,000 ต่อคนค่ะ)
[ ถ้าเราจะบินภายในประเทศ เราสามารถนั่งรถไฟมาลงสถานี Domestic ได้ เพราะมันจะเปิดตั้งแต่ตี 4 เลย
พอเรามาถึงเราก็เดินไป counter สายการบิน Jetstar
เค้าจะมีเครื่อง kiosk ให้เรากดปริ้นตั๋วกับตั๋วติดกระเป๋าเดินทางของเรา
ถ้าเรายังไม่ได้เช็คอินมาจากบ้าน เราก็สามารถเช็คอินบนเจ้าเครื่องนี้ได้เหมือนกัน แล้วเราก็ไปทำการส่งกระเป๋า (bag drop) กับเจ้าหน้าที่ต่อเลย
หน้าตาก็ของตั๋ว ก็มินิมอล ไปตามราคานะคะ ส่วนเรื่องที่นั้นก็ไม่ได้แคบจนเข่าชนเบาะหน้านะคะ

พอเครื่องขึ้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นพร้อมกันเลย แถมเห็นเมือง จากด้านบน สวยไปอีกแบบดีค่ะ


พอเรามาลงที่สนามบินโฮบาร์ต เราแอบตกใจมากนะ เพราะสนามบินที่นี่เล็กกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
เราก็ยืนรอรับกระเป๋าของพี่ชาย เสร็จแล้วก็ต้องเดินไปอีกฝั่งนึงของสนามบินเพื่อไป counter บริษัทรถเช่าที่เราทำการจองรถไว้ตั้งแต่อยู่ที่ไทย

จริงๆมันมีรถหลายรุ่นให้เลือกนะคะ มีตั้งแต่รถ คอมแพค แวน รถบ้าน ซุปเปอร์คาร์ รถ กระบะ

แล้วก็ยังมีหลายเจ้าให้เลือกมาก แต่ราคาก็ใกล้เคียงกันอยู่ แต่เราแนะนำว่าเลือกเจ้าที่ประกันค่อนข้างคุ้มครองหลายๆอย่างก็ดีค่ะ
แต่เราก็เลือกรถที่ราคาถูกสุดในรถที่มันสามารถขับขึ้นเขาได้

พอเราจ่ายเงินที่เหลือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เค้าจะบอกทางเราไปที่จอดรถของเรานะคะ ก็ต้องเดินไปหารถกันเองอีกนะ

พอเราได้รถแล้ว ก็พร้อมออกเดินทางค่ะ จากสนามบินขับเข้าตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้นะคะ แต่เพราะเรายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า
ก็คิดว่าอยากแวะร้านชีสชื่อดังอย่าง The Wicked Cheese Company (เดอะ วิกเก็ตชีส คอมปานี) บริษัทผลิตชีสซึ่งตั้งอยู่ใน Richmond ริชมอนด์ ร้านนี้มีความพิเศษตรงที่เคยได้รับรางวัลมากมายติดกันหลายๆปี ทำให้ได้รับการยอมรับจากคนที่นี่ เพราะเค้าทำกันอย่างพิถีพิถัน นมที่ใช้ก็มีคุณภาพจริงๆ


พอเรียกน้ำย่อยบ้างไหมคะ หลังจากแวะชิมและสอยชีสมาหลายแบบกลับ เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองโฮบาร์ตกันเลยดีกว่า!
แต่ด้วยความที่เราขับมั่วๆเลย ขับผ่านร้านชื่อ Small-fry Café เห็นว่าน่ากินดี เราก็ทำการซื้อตั๋วที่จอดรถเถอะ
มาพูดถึงร้าน Small-fry Café กันดีกว่า คาเฟ่เพราะการตบแต่งสไตส์ Loft เบาๆ เสิร์ฟ brunch พร้อมกาแฟ ทำให้เค้ามีลูกค้ารอเข้าคิวเต็มร้านเลยนะ แต่เพราะเป็นอาหารฝรั่ง เราก็เลยไม่ถนัดก็เลย ส่วนมากจะมาเป็นขนมปังกับไข่ เราก็จัดกันไปพรางๆก่อนเนอะ


ต่อจากนั้น เราก็อยากไปเที่ยวจุดที่เรียกว่าจุดพีคที่สุดในโฮบาร์ตเลยก็ว่าได้ คือถ้าไม่ไปก็ถือว่าพลาดมากเลยทีเดียว
นั่นก็คือเขาเวลลิงตัน หรือ เมาท์เวลลิงตัน นั่นเอง ถ้าใครมาโฮบาร์ต แล้วไม่มาที่นี่ จะถูกเรียกว่ามาไม่ถึงเลยแหละ
ข้อมูลคร่าวๆของที่นี่นะคะ คือ ชาวอะบอริจินจะเรียกเขานี้ว่า "Kunanyi" เป็นเขาที่สูงที่สุดในโฮบาร์ต มีความสุงถึง 1,270 เมตร
สามารถขับรถขึ้นไปได้ หรือจะเดินเท้าขึ้นไปก็ได้ แต่ออกตัวก่อนเลยว่า หนาวววว หนาวมากจริงๆ
ซึ่งข้างบนยอดเขา จะมีหอวิวชม ให้เราไปหลบลมเย็น มีที่ให้หลบหนาวแล้ว เย้ๆ5555


ต่อมา ย่านที่เรากำลังจะไปมีชื่อเรียกว่า Salamanca Square หรือ ซาลาแมนก้า สแควร์ นะคะ
ซาลาแมนกาเป็นชุมชนเล็กๆที่มีตึกโบราณๆ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงยุคอาณานิคมของประเทศอังกฤษ
ทุกๆวันเสาร์จะมีตลาดนัด แม่ค้าพ่อค้ามาขายของทุกอย่างที่สามารถขายได้เลยนะคะ
ใครที่มาก็ลองมาเดินเล่นดูนะคะ แต่ที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ อดไปตามระเบียบค่ะ T T
ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่รวมร้านอาหารหลายๆร้านไว้ด้วยกัน แถมยังติดท่าเรืออีกด้วย
เรียกได้ว่าเป็นอีกนึง Hotspot ที่รวมความดีงามไว้ในชุมชนเล็กๆกันเลยทีเดียว


พอเรามาถึง Salamanca ได้ไม่นาน ที่สะดุดตาก็เป็นร้านขนมหวานร้านนึงคะ
ร้านนี้ชื่อว่า Honey Badger Dessert Café
เป็นร้านขนมหวานชื่อดังของชุมชนนี้เลย ซึ่งตกแต่งร้านสไตล์มินิมอลและยังมีเมนูอร่อยๆมากมาย เช่น โรตีกล้วยทอปด้วยไอศครีม


หมดแล้ววันแรกของเรา ชิวๆ ไม่เหนื่อยมากเนอะ ทริปนี้เน้นเดินชิว กินจุ นอนเต็มอิ่ม มีธรรมชาติเสริมมาตลอดเรื่อยๆเลยก็ว่าได้
ในเมื่อเราพาตัวเองมาปล่อยเข้าป่าแล้วก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติของมันค่ะ

วันที่ 2
เช้านี้ขอเริ่มวันแบบชิวๆด้วยอาหารเช้าที่เป็นไข่กับขนมปังกรอบโคตรๆกันที่ Pigeon Hole Cafe นะคะ
ร้านเปิดสักที วันของเราต้องมาถึงคะ ซึ่งร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านดังที่ tripadvisor แนะนำให้ลองไปทาน

พอกินเสร็จเราก็ขอไปเบิร์นกันต่อ ด้วยการไปเดินเล่นที่ สวนพฤกษศาสตร์หลวงแทสเมเนีย Royal Tasmania Botanical Garden เป็นสวนที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่างๆและไม้หายาก และยังเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในแทสเมเนีย ทำให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัย
พันธุ์ไม้ต่าง เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกถึงความเงียบสงบ สบายของที่นี่ก็รู้เลยว่าเป็นอย่างไร
เราว่าที่นี่ดีงามมาก นอกจากอากาศจะเย็นสบายแล้ว วิวก็สวย


พอเรามาสูดอากาศที่สวนกันแล้ว ก็อยากมีโมเม้นติสต์ๆบ้าง ทำให้เราตัดสินใจไป โมนาต่อ
MONA หรือ Museum of Old and New Art
เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียเลยก็ว่าได้
ภายในจะจัดแสดงงานศิลปะมากมาย ทั้งงานร่วมสมัย ทั้ง digital art ทั้งงานภาพวาด
นอกจากนี้ก็ยังมีจัดแสดงโบราณวัตถุมากมายอีกเช่นกัน
เราสามารถขับรถ ขึ้นบัส หรือ นั่งเรือไปได้นะคะ


สุดท้ายนี้ขอจบบล็อกนี้ด้วยของกินอีกครั้งนะคะ5555
หลังจากไปชมโมนาแล้ว เราก็คงไปต่อที่ของกินสิค่ะ เดินทางไปซาลาแมนกาอีกครั้ง
กลับมาที่จุดศุนย์รวมความอร่อยนั่นเอง ซึ่งมื้อนี้ก็เป็นมื้อสุดท้ายในโฮบาร์ต
เราก็เลยจัดอาหารอีตาลี่กันสิค่ะ รออะไร
ร้านนี้ชื่อ Maldini ค่ะ


ขอบคุณนะคะที่อ่านจนจบ
ชื่อสินค้า:   Hobart
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่