สวัสดีครับ เนื่องจากทริปนี้เกิดขึ้นจากรายวิชาวิชาหนึ่งที่ได้มอบหมายงานให้เราไป ”เที่ยว” ??? ใช่แล้วครับ ให้เราไปเที่ยวและนำความรู้กลับมาด้วย เราจึงได้เลือกสถานที่และวันเวลาออกมา หลังจากที่ได้ชวนเพื่อนๆ พวกเรารวมกลุ่มกันมาได้ 7 คน และสรุปได้ว่าเราจะไปเที่ยวกันที่จังหวัดจันทบุรีและจะเดินทางกันด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันน่ะครับ ตอนแรกคิดไว้ว่าจะเดินทางด้วยรถตู้โดยสารนี่แหละครับ แต่กลัวกันว่าจะมีปัญหาในการเดินทางในตัวเมือง จึงเลือกใช้เป็นรถยนต์ส่วนตัวแทน โดยพวกเราได้เดินทางกันในวันที่ 8-10 เมษายน 2560 เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนครับ ซึ่งเป็นช่วงที่ใกล้กับวันหยุดยาวด้วยพอดี เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย!
วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2560
พวกเราได้ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะไปยังจังหวัดจันทบุรี โดยพวกเราได้ไปถึง รีสอร์ท ขลุง รีเวอร์วิว โฮมสเตย์ ในเวลา 13.00 น. ไปถึงก็เก็บข้าวของสัมภาระเข้าที่พัก หลังจากนั้นก็ได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ โดยอาหารของที่นี่จะเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์กันเลยทีเดียว สั่งได้ไม่อั้น (แต่เป็นเมนูที่เค้ากำหนดไว้แล้วนะ)
มาดูในส่วนของที่พักกันบ้างครับ ที่พักที่เราจองบังเอิญเหลือเป็นบ้านหลังสุดท้าย ความจุราวๆ 25 คน แต่พวกเรามากันแค่ 7 คนเอง จึงได้เป็นบ้านหลังใหญ่มาเลยครับ แถมยังมีคาราโอเกะให้ร้องเพลงกันอีกด้วย
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. พวกเราได้ไปขอให้คุณลุงที่ดูแลเรื่องกิจกรรมต่างๆของทางรีสอร์ท หรือว่า "ลุงตู้" พาไปขึ้นเรือจับปูกันครับ ซึ่งที่นี่จะใช้วิธี "ลอบดักปู" ลอบดักปู เกิดจากการดัดลวดเส้นเล็กๆมาเป็นโครงกรงสี่เหลี่ยมที่สามารถเปิดและปิดได้ ติดด้วยตาขายทุกด้าน แล้วติดเหยื่อล่อไว้ตรงกลาง เพื่อล่อปูให้เข้ามา จากนั้นปูจะไม่สามารถเดินออกไปได้ เสร็จเรา ส่วนเหยื่อที่ใช้ก็จะใช้เป็นปลาตัวเล็กๆที่มีราคาถูกครับ
หลังจากได้ศึกษาวิธีการจับปูกันเสร็จแล้ว ในช่วงเวลาประมาณ 16.30 น. ทางรีสอร์ทได้มีกิจกรรมให้พวกเราขึ้นแพเปียกล่องตามแม่น้ำไปดูเหยี่ยวแดงครับ โดยบนแพเปียกที่เรานั่งไปกันนั้นจะมีร่มคันใหญ่ๆตั้งอยู่ ลุงตู้บอกว่า ร่มนี้ไม่ได้มีไว้บังแดดให้คนนะ ร่มนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้เหยี่ยวคุ้นเคยน่ะครับ จากนั้นก็จะเป่านกหวีดเบาๆเอื่อยๆ คล้ายกับคนจะเป็นลมเพื่อเรียกเหยี่ยวมา แล้วจึงโยนมันไก่ลงไปเพื่อให้เหยี่ยวโฉบลงมากินครับ (หนังไก่ ไขมันหมู ลุงตู่บอกนกไม่ค่อยชอบมากินครับ)
จากนั้นก็ได้ล่องแพต่อและพาไปดูหมู่บ้านไร้แผ่นดิน ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ป่าโกงกางหนาแน่น สมัยก่อนเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เป็นชุมชนอายุกว่า 135 ปีมาแล้ว ที่เรียกว่าโรงไม้ก็เพราะว่า รัฐเปิดสัมปทานให้ตัดไม้โกงกางไปขายเพื่อทำถ่าน ต่อมาเมื่อหมดระยะสัมปทานป่าเผาถ่าน ผู้คนที่เคยทำกินอยู่บริเวณนี้จึงได้จับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกราก และประกอบอาชีพประมง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" เพื่อเป็นการเรียกให้สอดคล้องกับการอยู่อาศัยของชุมชน ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตลุ่มน้ำ ที่มีน้ำล้อมรอบและไม่ได้อยู่บนแผ่นดิน โดยคนในหมู่บ้านจะทำอาชีพประมงกันแทบทั้งหมด
พอกลับมาถึงรีสอร์ท พวกเราก็ได้เล่นน้ำกันตามอัธยาศัย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของอาหารทะเลบุฟเฟ่ต์จ้า
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
หลังจากตื่นนอนกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้ไปขอให้ลุงตู้พาไปปลูกป่าชายเลน น่าตื่นเต้นมากๆเลยครับ เราปลูกป่าชายเลนกันบนเรือ โดยลุงตู้ได้เตรียมต้นกล้าของต้นโกงกางไว้ให้ ซึ่งเราก็จะนำต้นกล้าของต้นโกงกางไปปักที่บริเวณน้ำตื้น เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่างๆ ลุงตู้บอกปลูกเป็นร้อยต้นจะมีต้นที่ขึ้นได้เเค่4-5ต้นถ้าโชคดี หลังจากนั้นพวกเราก็ได้กลับไปรับประทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ มีผัดหมี่เส้นจันท์ที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย
พอสายๆก็ได้เช็คเอาท์ออกจากรีสอร์ท และเดินทางไปยังวัดเทพขาหยั่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับรีสอร์ทที่เราพักกันโดยที่นี่จะมีหลวงพ่อลอย ที่ลอยตามน้ำมาและติดกอไผ่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีคนเจอและเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อย จนปัจจุบันก็ได้มาตั้งอยู่ที่วัดเทพขาหยั่งนี้
จากนั้นพวกเราได้เดินทางไปที่น้ำตกพลิ้ว ซึ่งต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท แต่พวกเรามีบัตรนักศึกษากันจึงเสียคนละ 20 บาทแทน น้ำตกพลิ้วเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรี มีน้ำตกไหลตลอดทั้งปีและอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับมากับครอบครัว ลักษณะของน้ำตกจะเป็นน้ำตกที่มีเพียงชั้นเดียวน้ำตกมีความลึกไม่มากเด็กๆสามารถลงไปเล่นน้ำได้ และจุดเด่นเลยก็คือเป็นน้ำตกที่มีฝูงปลาพลวงเยอะมาก ผมเห็นแล้วตื่นเต้นเลย แค่นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำก็สามารถสัมผัสปลาพลวงได้รอบๆตัวเลยทีเดียว
ที่น้ำตกพลิ้วได้มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร โดยใช้ระยะเวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นทางเดินสำหรับเดินชมธรรมชาติ ต้นไม้ แมลง นก และสัตว์ป่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เส้นทางเดินเป็นเส้นทางตามธรรมชาติ ลัดเลาะคดเคี้ยว ผ่านต้นไม้นานาพรรณ เช่นต้นไผ่ ต้นหญ้ายักษ์ พืชสมุนไพร ต้นกระบาก ต้นไพร พูพอนรากไม้ โดยจุดเริ่มต้นของเส้นทางจะอยู่ตรงข้ามกับที่ทำการอุทยานแห่งชาติ แล้ววนไปสิ้นสุดบริเวณด้านหน้าของอลงกรณ์เจดีย์ นอกเหนือจากน้ำตกและเส้นทางศึกษาธรรมชาติแล้ว บริเวณน้ำตกพลิ้วก็จะมี สถูปพระนางเรือล่มลักษณะรูปทรงจะเป็นพีระมิด และยังมีพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ตั้งอยู่ระหว่างอลงกรณ์เจดีย์ กับสถูปพระนางเรือล่ม อีกด้วย
เสร็จแล้วพวกเราก็ได้ออกเดินทางไปยังที่พักในตัวเมืองจันทบุรี เพื่อเข้าพักที่โรงแรมจันท์ธานี
เมื่อได้พักผ่อนกันเรียบร้อย ในช่วงเย็นพวกเราได้เดินทางไปยังตลาดน้ำพุ ชมวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่ และรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้านข้าวต้มสมบูรณ์ ซึ่งเป็นร้านที่คนท้องถิ่นนิยมมากินอาหารนอกบ้านกันที่นี่
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เวลาประมาณ 19.00 น. พวกเราได้เดินทางไปที่โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล เป็นโบสนิกายโรมันคาธอลิก มีลักษณะตามศิลปะแบบโกธิก เดิมมีหลังคาเป็นยอดแหลมแต่ได้มีการรื้อออกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาในการโจมตีทางอากาศ มีการตกแต่ง โบสถ์ไม้ฉลุลายประดับกระจกสี เป็นรูปนักบุญ ในศาสนาคริสต์รูปปั้นพระแม่มารีสีหน้าสงบ เปี่ยมประกายเมตตา ยืนอยู่หน้าวิหารทรงโกธิกซึ่งดูยิ่งใหญ่ หากภายในกลับมีแต่ ความสงบเย็น และงดงามด้วยศิลปะตกแต่งแบบยุโรป ดูจากรูปจะเห็นว่าสวยงามจริงๆครับ
เราได้มีโอกาสเยี่ยมชมบรรยากาศภายนอกและภายในโบสถ์ ในช่วงเวลากลางคืนของวันอาทิตย์ หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนาพวกเราได้ขอหลวงพ่อเข้าชม เพื่อเก็บรูปที่มีแสงไฟสวยงามระยิบระยับภายในโบสถ์
เสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ในความเป็นจริงเราตั้งใจกันว่าจะไปตลาดเช้าในตัวเมืองกัน แต่ว่าพวกเราตื่นสาย เนื่องจากเมื่อวานพวกเราได้เดินทางและเที่ยวกันทั้งวันจึงทำให้ค่อนข้างเพลีย นอนยาวกันไปนิดนึงครับ ฮ่าๆ หลังจากตื่นและเก็บของเสร็จก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักและได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงพระยาตรัง ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของจังหวัดจันทบุรีและสามารถพบได้ที่นี่เท่านั้น โดยน้ำซุปของที่นี่จะเป็นน้ำซุปสมุนไพรที่นำเอา "เร่ว" ที่เป็นสมุนไพรส่วนสำคัญนำมาโขลกปรุงลงในน้ำซุป ทำให้น้ำซุปที่นี่หอมอร่อยยิ่งขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางไปกันที่ แกรนแคนยอน จันทบุรี เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายรูปอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีความสวยงามที่ต่างจากที่อื่นออกไป เช่น แนวฮิปสเตอ
จากนั้นพวกเราได้กลับมาที่โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเก็บภาพบรรยากาศของโบสถ์ในตอนกลางวัน จากแสงแดดในตอนกลางวันทำให้เราเห็นรายละเอียดของโบสถ์ได้ชัดมากยิ่งขึ้น
และได้ข้ามสะพานนิรมลที่อยู่ด้านหลังโบสถ์เพื่อเยี่ยมชม ชุมชนเก่าริมแม่น้ำจันทบูรอีกด้วย ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และถึงแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรที่นี่ก็ยังคงสภาพคล้ายเดิมไว้เช่นนั้น
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ก็ได้สอนอะไรให้กับพวกเราหลายอย่าง ทั้งในด้านวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ในด้านความรู้ในการอาศัยอยู่กับธรรมชาติ และในเรื่องของการเดินทาง ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ ต้องออกเดินทางไปกับมันก่อนถึงจะได้มันกลับมา
กระทู้นี้หวังว่าจะกระตุ้นให้นักเดินทางหลายๆ คนอยากไปสัมผัสจันทบุรีมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเราหรือพวกคุณต้องการกันหรอกนะครับ เพราะว่าธรรมชาติต้องการต่างหาก ฮ่าๆ
ปล. ผิดพลาดประการใดขอ อภัยด้วยครับผม
[CR] จันทบุรี สิ่งดีดีรอคุณอยู่
วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2560
พวกเราได้ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะไปยังจังหวัดจันทบุรี โดยพวกเราได้ไปถึง รีสอร์ท ขลุง รีเวอร์วิว โฮมสเตย์ ในเวลา 13.00 น. ไปถึงก็เก็บข้าวของสัมภาระเข้าที่พัก หลังจากนั้นก็ได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ โดยอาหารของที่นี่จะเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์กันเลยทีเดียว สั่งได้ไม่อั้น (แต่เป็นเมนูที่เค้ากำหนดไว้แล้วนะ)
มาดูในส่วนของที่พักกันบ้างครับ ที่พักที่เราจองบังเอิญเหลือเป็นบ้านหลังสุดท้าย ความจุราวๆ 25 คน แต่พวกเรามากันแค่ 7 คนเอง จึงได้เป็นบ้านหลังใหญ่มาเลยครับ แถมยังมีคาราโอเกะให้ร้องเพลงกันอีกด้วย
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. พวกเราได้ไปขอให้คุณลุงที่ดูแลเรื่องกิจกรรมต่างๆของทางรีสอร์ท หรือว่า "ลุงตู้" พาไปขึ้นเรือจับปูกันครับ ซึ่งที่นี่จะใช้วิธี "ลอบดักปู" ลอบดักปู เกิดจากการดัดลวดเส้นเล็กๆมาเป็นโครงกรงสี่เหลี่ยมที่สามารถเปิดและปิดได้ ติดด้วยตาขายทุกด้าน แล้วติดเหยื่อล่อไว้ตรงกลาง เพื่อล่อปูให้เข้ามา จากนั้นปูจะไม่สามารถเดินออกไปได้ เสร็จเรา ส่วนเหยื่อที่ใช้ก็จะใช้เป็นปลาตัวเล็กๆที่มีราคาถูกครับ
หลังจากได้ศึกษาวิธีการจับปูกันเสร็จแล้ว ในช่วงเวลาประมาณ 16.30 น. ทางรีสอร์ทได้มีกิจกรรมให้พวกเราขึ้นแพเปียกล่องตามแม่น้ำไปดูเหยี่ยวแดงครับ โดยบนแพเปียกที่เรานั่งไปกันนั้นจะมีร่มคันใหญ่ๆตั้งอยู่ ลุงตู้บอกว่า ร่มนี้ไม่ได้มีไว้บังแดดให้คนนะ ร่มนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้เหยี่ยวคุ้นเคยน่ะครับ จากนั้นก็จะเป่านกหวีดเบาๆเอื่อยๆ คล้ายกับคนจะเป็นลมเพื่อเรียกเหยี่ยวมา แล้วจึงโยนมันไก่ลงไปเพื่อให้เหยี่ยวโฉบลงมากินครับ (หนังไก่ ไขมันหมู ลุงตู่บอกนกไม่ค่อยชอบมากินครับ)
จากนั้นก็ได้ล่องแพต่อและพาไปดูหมู่บ้านไร้แผ่นดิน ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ป่าโกงกางหนาแน่น สมัยก่อนเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เป็นชุมชนอายุกว่า 135 ปีมาแล้ว ที่เรียกว่าโรงไม้ก็เพราะว่า รัฐเปิดสัมปทานให้ตัดไม้โกงกางไปขายเพื่อทำถ่าน ต่อมาเมื่อหมดระยะสัมปทานป่าเผาถ่าน ผู้คนที่เคยทำกินอยู่บริเวณนี้จึงได้จับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกราก และประกอบอาชีพประมง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" เพื่อเป็นการเรียกให้สอดคล้องกับการอยู่อาศัยของชุมชน ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตลุ่มน้ำ ที่มีน้ำล้อมรอบและไม่ได้อยู่บนแผ่นดิน โดยคนในหมู่บ้านจะทำอาชีพประมงกันแทบทั้งหมด
พอกลับมาถึงรีสอร์ท พวกเราก็ได้เล่นน้ำกันตามอัธยาศัย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของอาหารทะเลบุฟเฟ่ต์จ้า
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
หลังจากตื่นนอนกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้ไปขอให้ลุงตู้พาไปปลูกป่าชายเลน น่าตื่นเต้นมากๆเลยครับ เราปลูกป่าชายเลนกันบนเรือ โดยลุงตู้ได้เตรียมต้นกล้าของต้นโกงกางไว้ให้ ซึ่งเราก็จะนำต้นกล้าของต้นโกงกางไปปักที่บริเวณน้ำตื้น เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่างๆ ลุงตู้บอกปลูกเป็นร้อยต้นจะมีต้นที่ขึ้นได้เเค่4-5ต้นถ้าโชคดี หลังจากนั้นพวกเราก็ได้กลับไปรับประทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ มีผัดหมี่เส้นจันท์ที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย
พอสายๆก็ได้เช็คเอาท์ออกจากรีสอร์ท และเดินทางไปยังวัดเทพขาหยั่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับรีสอร์ทที่เราพักกันโดยที่นี่จะมีหลวงพ่อลอย ที่ลอยตามน้ำมาและติดกอไผ่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีคนเจอและเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อย จนปัจจุบันก็ได้มาตั้งอยู่ที่วัดเทพขาหยั่งนี้
จากนั้นพวกเราได้เดินทางไปที่น้ำตกพลิ้ว ซึ่งต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท แต่พวกเรามีบัตรนักศึกษากันจึงเสียคนละ 20 บาทแทน น้ำตกพลิ้วเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรี มีน้ำตกไหลตลอดทั้งปีและอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับมากับครอบครัว ลักษณะของน้ำตกจะเป็นน้ำตกที่มีเพียงชั้นเดียวน้ำตกมีความลึกไม่มากเด็กๆสามารถลงไปเล่นน้ำได้ และจุดเด่นเลยก็คือเป็นน้ำตกที่มีฝูงปลาพลวงเยอะมาก ผมเห็นแล้วตื่นเต้นเลย แค่นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำก็สามารถสัมผัสปลาพลวงได้รอบๆตัวเลยทีเดียว
ที่น้ำตกพลิ้วได้มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร โดยใช้ระยะเวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นทางเดินสำหรับเดินชมธรรมชาติ ต้นไม้ แมลง นก และสัตว์ป่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เส้นทางเดินเป็นเส้นทางตามธรรมชาติ ลัดเลาะคดเคี้ยว ผ่านต้นไม้นานาพรรณ เช่นต้นไผ่ ต้นหญ้ายักษ์ พืชสมุนไพร ต้นกระบาก ต้นไพร พูพอนรากไม้ โดยจุดเริ่มต้นของเส้นทางจะอยู่ตรงข้ามกับที่ทำการอุทยานแห่งชาติ แล้ววนไปสิ้นสุดบริเวณด้านหน้าของอลงกรณ์เจดีย์ นอกเหนือจากน้ำตกและเส้นทางศึกษาธรรมชาติแล้ว บริเวณน้ำตกพลิ้วก็จะมี สถูปพระนางเรือล่มลักษณะรูปทรงจะเป็นพีระมิด และยังมีพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ตั้งอยู่ระหว่างอลงกรณ์เจดีย์ กับสถูปพระนางเรือล่ม อีกด้วย
เสร็จแล้วพวกเราก็ได้ออกเดินทางไปยังที่พักในตัวเมืองจันทบุรี เพื่อเข้าพักที่โรงแรมจันท์ธานี
เมื่อได้พักผ่อนกันเรียบร้อย ในช่วงเย็นพวกเราได้เดินทางไปยังตลาดน้ำพุ ชมวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่ และรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้านข้าวต้มสมบูรณ์ ซึ่งเป็นร้านที่คนท้องถิ่นนิยมมากินอาหารนอกบ้านกันที่นี่
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เวลาประมาณ 19.00 น. พวกเราได้เดินทางไปที่โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล เป็นโบสนิกายโรมันคาธอลิก มีลักษณะตามศิลปะแบบโกธิก เดิมมีหลังคาเป็นยอดแหลมแต่ได้มีการรื้อออกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาในการโจมตีทางอากาศ มีการตกแต่ง โบสถ์ไม้ฉลุลายประดับกระจกสี เป็นรูปนักบุญ ในศาสนาคริสต์รูปปั้นพระแม่มารีสีหน้าสงบ เปี่ยมประกายเมตตา ยืนอยู่หน้าวิหารทรงโกธิกซึ่งดูยิ่งใหญ่ หากภายในกลับมีแต่ ความสงบเย็น และงดงามด้วยศิลปะตกแต่งแบบยุโรป ดูจากรูปจะเห็นว่าสวยงามจริงๆครับ
เราได้มีโอกาสเยี่ยมชมบรรยากาศภายนอกและภายในโบสถ์ ในช่วงเวลากลางคืนของวันอาทิตย์ หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนาพวกเราได้ขอหลวงพ่อเข้าชม เพื่อเก็บรูปที่มีแสงไฟสวยงามระยิบระยับภายในโบสถ์
เสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ในความเป็นจริงเราตั้งใจกันว่าจะไปตลาดเช้าในตัวเมืองกัน แต่ว่าพวกเราตื่นสาย เนื่องจากเมื่อวานพวกเราได้เดินทางและเที่ยวกันทั้งวันจึงทำให้ค่อนข้างเพลีย นอนยาวกันไปนิดนึงครับ ฮ่าๆ หลังจากตื่นและเก็บของเสร็จก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักและได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงพระยาตรัง ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของจังหวัดจันทบุรีและสามารถพบได้ที่นี่เท่านั้น โดยน้ำซุปของที่นี่จะเป็นน้ำซุปสมุนไพรที่นำเอา "เร่ว" ที่เป็นสมุนไพรส่วนสำคัญนำมาโขลกปรุงลงในน้ำซุป ทำให้น้ำซุปที่นี่หอมอร่อยยิ่งขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางไปกันที่ แกรนแคนยอน จันทบุรี เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายรูปอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีความสวยงามที่ต่างจากที่อื่นออกไป เช่น แนวฮิปสเตอ
จากนั้นพวกเราได้กลับมาที่โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเก็บภาพบรรยากาศของโบสถ์ในตอนกลางวัน จากแสงแดดในตอนกลางวันทำให้เราเห็นรายละเอียดของโบสถ์ได้ชัดมากยิ่งขึ้น
และได้ข้ามสะพานนิรมลที่อยู่ด้านหลังโบสถ์เพื่อเยี่ยมชม ชุมชนเก่าริมแม่น้ำจันทบูรอีกด้วย ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และถึงแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรที่นี่ก็ยังคงสภาพคล้ายเดิมไว้เช่นนั้น
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ก็ได้สอนอะไรให้กับพวกเราหลายอย่าง ทั้งในด้านวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ในด้านความรู้ในการอาศัยอยู่กับธรรมชาติ และในเรื่องของการเดินทาง ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ ต้องออกเดินทางไปกับมันก่อนถึงจะได้มันกลับมา
กระทู้นี้หวังว่าจะกระตุ้นให้นักเดินทางหลายๆ คนอยากไปสัมผัสจันทบุรีมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเราหรือพวกคุณต้องการกันหรอกนะครับ เพราะว่าธรรมชาติต้องการต่างหาก ฮ่าๆ
ปล. ผิดพลาดประการใดขอ อภัยด้วยครับผม