ดิฉันนำข่าวนี้มาเพื่อบอกว่า..ประเทศไทยยังเป็นที่ปรารถนาของนักลงทุนต่างประเทศที่เห็นศักยภาพภายในประเทศไทยของเรา
มาติดตามข่าวค่ะ....
บริษัทแม่พีแอนด์จีสั่งย้ายฐานการผลิตจากประเทศเวียดนามมาไทย เสริมแกร่งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้าแซงจีนขึ้นอันดับ 1 ในกลุ่มสกินแคร์ วอนรัฐส่งเสริมด้านสาธารณูโภคและการศึกษา เพื่อสนับสนุนการลงทุน
นางจุฑาภัทร บุณย์วงศกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือพีแอนด์จี เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน ต.ค.2559 ที่ผ่านมา บริษัทแม่ได้มีนโยบายให้นำฐานการผลิตจากประเทศเวียดนามเข้ามาในประเทศไทย เพราะมองว่าเมืองไทยมีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย รองจากประเทศสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเท่านั้น
หรับโรงงานการผลิตในเวียดนาม โดยหลักจะเป็นสินค้าน้ำยาปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ดาวน์นี่ และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมคิดเป็น 10% ที่กำลังจะย้ายการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันโรงงานพีแอนด์จี ประเทศไทย ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จ. ฉะเชิงเทรา มีทั้งทำตลาดภายในประเทศ 30% และส่งออกไปยัง 20 ประเทศทั่วโลกคิดเป็น 70%
ทั้งนี้ จากการผลิตในประเทศไทยบริษัทครองอันดับ 1 ของการเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ความงาม หรือประมาณ 25% ของภาพรวมอีกด้วย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่สุดมากกว่า 30% และส่งออกมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี รวมถึงกลุ่มอาเซียน 10 รวมถึงเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และตะวันออกกลาง
“หลังจากย้ายการผลิตที่เวียดนามมายังประเทศไทยแล้ว เชื่อว่าจะทำให้บริษัทแข่งขันได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงที่หากเทียบกับประเทศจีนแล้วเมืองไทยได้เปรียบกว่า ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถทำสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ นับว่าสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ทางหนึ่ง” นางจุฑาภัทรกล่าว
ขณะเดียวกันตอนนี้บริษัทยังเป็นอันดับ 2 ในแง่การผลิตกับกลุ่มสกินแคร์อีกด้วย ถือว่ารองจากจีนเพียงแค่ประเทศเดียว โดยระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้ ตั้งเป้าจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ให้ได้ เพราะมองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องการบริหารต้นทุนได้ดีกว่า สินค้ามีคุณภาพ บวกกับแนวโน้มของชาวเอเชียมีกำลังซื้อสูงขึ้น ก็มองว่าเป็นปัจจัยหนุนแทบทั้งสิ้น
นางจุฑาภัทรยังกล่าวว่า ส่วนเรื่องการลงทุนภายในประเทศไทย ในฐานะผู้ประกอบการเอกชน ก็อยากให้ภาครัฐสนับสนุนด้านสาธารณูปโภค โดยเฉพาะเรื่องของต้นทุน อย่างในประเทศจีนการลงทุนมีที่ดินให้ฟรี รวมถึงระบบไอน้ำเองก็ต้องการเห็นภาครัฐให้การส่งเสริม และด้านการศึกษา ปรับแนวการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เรื่องนวัตกรรม และแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถเรื่องของดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://www.thaipost.net/?q=pg%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99
((มาลาริน)) ^_^ อุ๊ย..ใครจะเชื่อ !.บริษัทแม่พีแอนด์จีสั่งย้ายฐานการผลิตจากเวียดนามมาไทย พร้อมตั้งเป้าแซงจีนขึ้นอันดับ 1
มาติดตามข่าวค่ะ....
บริษัทแม่พีแอนด์จีสั่งย้ายฐานการผลิตจากประเทศเวียดนามมาไทย เสริมแกร่งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้าแซงจีนขึ้นอันดับ 1 ในกลุ่มสกินแคร์ วอนรัฐส่งเสริมด้านสาธารณูโภคและการศึกษา เพื่อสนับสนุนการลงทุน
นางจุฑาภัทร บุณย์วงศกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือพีแอนด์จี เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน ต.ค.2559 ที่ผ่านมา บริษัทแม่ได้มีนโยบายให้นำฐานการผลิตจากประเทศเวียดนามเข้ามาในประเทศไทย เพราะมองว่าเมืองไทยมีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย รองจากประเทศสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเท่านั้น
หรับโรงงานการผลิตในเวียดนาม โดยหลักจะเป็นสินค้าน้ำยาปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ดาวน์นี่ และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมคิดเป็น 10% ที่กำลังจะย้ายการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันโรงงานพีแอนด์จี ประเทศไทย ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จ. ฉะเชิงเทรา มีทั้งทำตลาดภายในประเทศ 30% และส่งออกไปยัง 20 ประเทศทั่วโลกคิดเป็น 70%
ทั้งนี้ จากการผลิตในประเทศไทยบริษัทครองอันดับ 1 ของการเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ความงาม หรือประมาณ 25% ของภาพรวมอีกด้วย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่สุดมากกว่า 30% และส่งออกมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี รวมถึงกลุ่มอาเซียน 10 รวมถึงเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และตะวันออกกลาง
“หลังจากย้ายการผลิตที่เวียดนามมายังประเทศไทยแล้ว เชื่อว่าจะทำให้บริษัทแข่งขันได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงที่หากเทียบกับประเทศจีนแล้วเมืองไทยได้เปรียบกว่า ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถทำสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ นับว่าสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ทางหนึ่ง” นางจุฑาภัทรกล่าว
ขณะเดียวกันตอนนี้บริษัทยังเป็นอันดับ 2 ในแง่การผลิตกับกลุ่มสกินแคร์อีกด้วย ถือว่ารองจากจีนเพียงแค่ประเทศเดียว โดยระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้ ตั้งเป้าจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ให้ได้ เพราะมองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องการบริหารต้นทุนได้ดีกว่า สินค้ามีคุณภาพ บวกกับแนวโน้มของชาวเอเชียมีกำลังซื้อสูงขึ้น ก็มองว่าเป็นปัจจัยหนุนแทบทั้งสิ้น
นางจุฑาภัทรยังกล่าวว่า ส่วนเรื่องการลงทุนภายในประเทศไทย ในฐานะผู้ประกอบการเอกชน ก็อยากให้ภาครัฐสนับสนุนด้านสาธารณูปโภค โดยเฉพาะเรื่องของต้นทุน อย่างในประเทศจีนการลงทุนมีที่ดินให้ฟรี รวมถึงระบบไอน้ำเองก็ต้องการเห็นภาครัฐให้การส่งเสริม และด้านการศึกษา ปรับแนวการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เรื่องนวัตกรรม และแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถเรื่องของดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้