“เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่ปลอม ก๊อปเกรดเอ เก๋อลังการ สืบสานงานมิลเลอร์”
ขอยืมมุขพี่โน๊ตมาเล่นหน่อย ให้สมชื่อกับเมืองที่ได้ไปเที่ยวมา ฮ่าๆๆๆๆ!!!! เกริ่นออกตัวแร๊ง!
** หากต้องการดูรูปเพิ่มเติม กด Spoil นะครับ ซ้อนรูปไว้เพียบ **
ผมและเพื่อนๆได้มีโอกาสไปเที่ยว “เซินเจิ้น” มาเมื่อต้นปี 2017 (วันที่ 12-15 มกราคม 2560) จากการค้นข้อมูลในพันทิป ส่วนใหญ่คนจะมองเซินเจิ้นเป็นเมืองสำรองในการมาเที่ยว ส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวฮ่องกงแถมเซินเจิ้นนิดหน่อย หรือไม่แพ็คเก็จรวม ฮ่องกง/มาเก๊า/จูไห่/เซินเจิ้น และข้อมูลก็น้อยมากจริงๆ วันนี้ผมเลยขอมาแชร์ประสบการณ์ตลอดจนข้อมูลดีๆ ที่ผมได้ไปสัมผัสมาครับ ถ้ามีข้อมูลผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เป็นการตั้งกระทู้แรกที่เริ่มเขียน แต่อยากทำให้คนอ่านได้รับประโยชน์สูงสุดและสนุกไปพร้อมกันเนอะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำไม! ทำไม! ต้องไป “เซินเจิ้น”
ทำไมถึงเลือกเซินเจิ้น? เป็นคำถามแรกที่ทั้งแม่ และญาติๆ ถามถึง และมักจะถามตามด้วย แล้วไปฮ่องกงไหม? ไปมาเก๊าเปล่า? พอตอบว่า “ไม่ไปที่อื่น” ก็จะได้เสียงตอบกลับว่า อ่าวหรอ!
คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองว่าเซิ้นเจ้นเป็นเมืองรองในการเที่ยวจริงๆ แต่พอผมได้ไปเที่ยวกลับมาแล้วนั้นผมคิดว่ามันก็เป็นอีกเมืองที่มีความน่าสนใจ ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสลองเลือกที่จะเที่ยวเซินเจิ้นแบบจริงจังดูสักทริป มันอาจจะมีอะไรที่น่าค้นหาก็เป็นได้ครับ ไปเริ่มกันเลยดีกว่า ** รูปถ่าย ถ่ายจาก iPhone 6 และ GoPro รูปอาจจะเบี้ยวๆ หรือไม่สวยเท่าไรนะครับ ฮ่าๆๆ**
ก่อนการเดินทาง เตรียมตัวอย่างไร?
เริ่มต้นของการเดินทาง เราต้องมี “ตั๋วเครื่องบิน” ผมและเพื่อนๆ ต้องอดตาหลับขับตานอนเพื่อแย่งชิงตั๋วของสายการบินที่ออกโปรโมชั่นลดราคาร้อนแรง ที่จองปีนี้บินอีกทีปีหน้า ซึ่งเราก็ภูมิใจอย่างมากที่ได้มันมา ฮ่าๆๆๆ! และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักและเหตุผลแรกที่ตอบคำถามว่า ทำไม! ต้องไป “เซินเจิ้น”?
พอจองตั๋วได้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อคือ การค้นหาที่เที่ยวที่น่าสนใจในเซินเจิ้น ผมได้ไปค้นข้อมูลจากในพันทิป พบว่ามีคนมารีวิวน้อย มากๆๆๆ กอไก่ล้านๆๆๆตัว และส่วนใหญ่ก็จะมาเที่ยวแบบเมืองผ่านไม่ต้องไปก็ได้ (//me รู้สึกหน้าชาเพราะเราจองตั๋วไปแล้ว) เหมือนไปเที่ยวทัวร์แวะห้องน้ำ 15 นาที หรือลงไปถ่ายรูป แล้วไปต่อ ดังนั้นก็เลยต้องไปหาข้อมูลตามเวปอื่นๆ ซึ่งก็มีคนมาเขียน แต่ข้อมูลบางอย่างก็เก่าซะยิ่งกว่าตอนเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เสียอีก ดังนั้นก็ต้องหาข้อมูล ตามเวปต่างประเทศ แล้วนำมาผสมๆ กันไป
ก่อนการเดินทางเข้าประเทศจีน ต้องทำ ”วีซ่า” ก่อน ซึ่งค่าวีซ่า แพงซะยิ่งกว่าค่าตั๋วอีก (//me เอามือทาบอก อยากให้ฟรีวีซ่าสักที) การทำวีซ่าก็สามารถหาได้ในรีวิวจากท่านอื่นๆ ในพันทิปนี่หละครับ ข้อมูลเป๊ะๆๆๆ!! แต่มีข้อมูลจะบอกว่า “ตอนนี้ทางสถานฑูตได้ยกเลิกวีซ่าแบบ Multiple 6 เดือน และ 1 ปี แล้ว” ใครที่วางแผนว่าจะไปทำวีซ่าเข้า-ออก ประเทศจีนหลายๆ รอบ แบบให้คุ้มค่าวีซ่า ก็ต้องน้ำตาตกกันไป โดยเหตุผลที่ได้รับแจ้งมา คือ คนไทยบางคนขอวีซ่าไปแล้วใช้ผิดประเภท ทำให้ทางการจีนยกเลิกไป ความโชคดีเลยบังเกิดกับคนที่อยากไปจะเที่ยวหลายๆ รอบ ก็ต้องไปทำวีซ่าหลายๆ ครั้งและเสียเงินหลายๆ บาท แต่ไม่เป็นไรเรื่องเที่ยวเราต้อง Strong!!!
#แทรกด้วยสาระ ณ ตอนนี้จากการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีตัวเลือกเพียง 3 สายการบินที่มีรูทบินตรงจากกรุงเทพ ได้แก่ Shenzhen Airlines / China Southern / Thai Airasia ดังนั้นเพื่อนๆ ถ้าอยากจะไปเที่ยว สามารถตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้จาก 3 สายการบินนี้เลยครับ
[วันที่ 1] เดินทางไป เซิ้นเจิ้น (12 มกราคม 2560)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เริ่มวันเดินทางก็ไปสนามบินนานาชาติดอนเมืองโดยสายการบินสีสดๆ โดยเครื่องบินออกจากดอนเมืองเวลา 19.05 ถึง สนามบินนานาชาติเปาอันเซินเจิ้นเวลา 22.50 เมื่อเครื่องแตะพื้นแล้วสิ่งที่ผู้โดยสารทุกคนอยากจะทำคือพุ่งตัวออกจากสนามบินให้เร็วที่สุด เพื่อไปขึ้นรถไฟ ต่อแท็กซี่ หรือ รถประจำทาง เพื่อเข้าเมือง มิเช่นนั้นอาจจะต้องนอนเล่นที่สนามบินเพื่อรอถึงตอนเช้าถึงจะเข้าเมืองได้
ในสนามบินเปาอันเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่ มีร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สิ่งที่ประทับใจมากของสนามบินแห่งนี้ คือ มีการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับผู้โดยสาร ด้วยการเรียงรถเข็นมารอหน้าสายพานรับกระเป๋า พูดได้ว่าสะดวกมาก หยิบกระเป๋าใส่รถเข็นได้สบาย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าทางสนามบินจะบริการดีขนาดนี้เลย (ประเมินผล 10 10 10 ไปเลยจ๊ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากสายพานก็เดินตรงออกไปด้านนอก ผมไม่รีบร้อนครับ เพราะเตรียมแผนมาแล้วเราจะไม่เข้าเมือง แต่จะนอนมันที่สนามบิน แล้วตอนเช้าค่อย นั่งรถไฟเข้าเมืองดีกว่า หากเพื่อนๆ ต้องการเข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้า เมื่อเดินตรงออกจากที่รับกระเป๋า ให้หาสัญลักษณ์ Metro ด้านหน้าได้เลย โดย Metro จะต้องลงบันไดเลื่อนลงไปใต้สนามบินครับ หากต้องการต่อ Taxi จุดขึ้นจะอยู่บริเวณประตูด้านซ้ายมือของเพื่อนๆ เมื่อเดินออกมาจากที่รับกระเป๋าครับ (ทางเดียวกันกับทางไปโรงแรม Hyatt House)
#แทรกด้วยสาระ สายการบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จะลงที่อาคารผู้โดยสาร 3 (Terminal 3) ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแผนที่ดีๆ นะครับ เพราะใน Google Map ยังไม่แสดงข้อมูล Metro ทุกสายใน เซินเจิ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยคืนแรกผมได้เข้าพักที่ Hyatt House Shenzhen Airport (深圳机场凯悦嘉轩酒店) ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะมีทางเชื่อมจากอาคารผู้โดยสารได้เลย และต้องการพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อไปตะลุยเมืองเซินเจิ้นในวันพรุ่งนี้ แบบหน้าไม่เหี่ยว ที่พักของโรงแรมถือว่าดีมากๆ เลยครับ นึกว่าอยู่ที่บ้าน เปิดประตูไปก็เจอห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน และห้องน้ำ โดยแบ่งส่วนกันแบบชัดเจน แถมที่นอนก็นุ่มสบาย (เอาจริงๆห้องของโรงแรมใหญ่กว่าคอนโดที่ผมอยู่เสียอีก ยังไงหละ อายสิ!) ที่สำคัญโรงแรมนี้มีอินเตอร์เน็ตแบบไม่บล๊อคทำให้สามารถเล่น Facebook Instagram และ Line ได้ที่นี่ และเป็นที่สุดท้ายที่พวกเราได้ใช้อินเตอร์เนตอย่างจุใจเหมือนอยู่ไทยก็ว่าได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
#แทรกด้วยสาระ โรงแรมนี้จะบล๊อกวงเงินเป็นค่ามัดจำตอน Check-in จำนวน 300 หยวน และจะคืนให้ตอน Check-out นะครับ
[วันที่ 2] เดินทางไป เข้าเมือง - ทำธุระเล็กน้อย - Window of the world (13 มกราคม 2560)
เริ่มต้นวันที่ 2 ด้วยอาหารเช้าของโรงแรม
มื้อเช้าของโรงแรมมีหลากหลายเมนู ทั้ง อาหารจีน อาหารฝรั่ง และอาหารสไตล์อินเดีย เลือกกินได้ตามใจชอบ แต่เมนูที่อยากจะแนะนำว่าต้องกินให้ได้นั้นก็คือ ผัดผัก คือมันแบบ กรอบ หวาน อร่อยมากจริงๆ ปลูกมาได้อย่างดีจริงๆ ถ้ามาจีน แนะนำต้องกิน ผัดผักของเขาให้ได้ มันอร่อยจริงๆ คอนเฟิร์ม!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดำเนินการ Check-out ออกจากโรงแรม แล้วก็เดินกลับเข้าไปในอาคารสนามบิน T3 เพื่อนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง โดยใช้รถไฟฟ้าสาย 11 (11号线) จากสถานี Airport (机场) มุ่งหน้าไปทาง Futian 福田
ภายในสามบินมีสิ่งที่น่าสนใจที่ทำให้หยุดสำรวจ นั้นคือตู้ยืมหนังสือ “ประเทศจีนนี้เขารักการอ่านจริงๆ” ทำให้อยากจะยืมไปอ่านเลยแต่คงได้แค่เอาไปหนุนนอนมากกว่า ฮ่าๆๆๆๆ
จากนั้น ผมก็ลงบันไดเลื่อน เข้าไปในสถานี Airport (机场) แล้วก็จัดการซื้อตั๋วจากการหาข้อมูลในเว็บไซต์ของรถไฟใต้ดินเมืองเซินเจิ้น พบว่ามีตั๋วให้เลือกซื้อหลายแบบ ได้แก่ ตั๋วเที่ยวเดียว (Single journey ticket) ตั๋วท่องเที่ยวแบบ 1 วัน (Day Ticket) และตั๋วเติมเงิน (Shenzhen Tong pass)
เดี๋ยวมาต่อนะครับ อาจจะต้องแก้ไขจัดหน้าการโพสหน่อยนะครับ เพื่อให้อ่านสบายตามากขึ้น
[CR] ใครๆ ก็ลืม เซินเจิ้น!! - เที่ยวเซินเจิ้นเต็มอิ่ม 4 วัน 3 คืน
“เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่ปลอม ก๊อปเกรดเอ เก๋อลังการ สืบสานงานมิลเลอร์”
ขอยืมมุขพี่โน๊ตมาเล่นหน่อย ให้สมชื่อกับเมืองที่ได้ไปเที่ยวมา ฮ่าๆๆๆๆ!!!! เกริ่นออกตัวแร๊ง!
** หากต้องการดูรูปเพิ่มเติม กด Spoil นะครับ ซ้อนรูปไว้เพียบ **
ผมและเพื่อนๆได้มีโอกาสไปเที่ยว “เซินเจิ้น” มาเมื่อต้นปี 2017 (วันที่ 12-15 มกราคม 2560) จากการค้นข้อมูลในพันทิป ส่วนใหญ่คนจะมองเซินเจิ้นเป็นเมืองสำรองในการมาเที่ยว ส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวฮ่องกงแถมเซินเจิ้นนิดหน่อย หรือไม่แพ็คเก็จรวม ฮ่องกง/มาเก๊า/จูไห่/เซินเจิ้น และข้อมูลก็น้อยมากจริงๆ วันนี้ผมเลยขอมาแชร์ประสบการณ์ตลอดจนข้อมูลดีๆ ที่ผมได้ไปสัมผัสมาครับ ถ้ามีข้อมูลผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เป็นการตั้งกระทู้แรกที่เริ่มเขียน แต่อยากทำให้คนอ่านได้รับประโยชน์สูงสุดและสนุกไปพร้อมกันเนอะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำไม! ทำไม! ต้องไป “เซินเจิ้น”
ทำไมถึงเลือกเซินเจิ้น? เป็นคำถามแรกที่ทั้งแม่ และญาติๆ ถามถึง และมักจะถามตามด้วย แล้วไปฮ่องกงไหม? ไปมาเก๊าเปล่า? พอตอบว่า “ไม่ไปที่อื่น” ก็จะได้เสียงตอบกลับว่า อ่าวหรอ!
คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองว่าเซิ้นเจ้นเป็นเมืองรองในการเที่ยวจริงๆ แต่พอผมได้ไปเที่ยวกลับมาแล้วนั้นผมคิดว่ามันก็เป็นอีกเมืองที่มีความน่าสนใจ ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสลองเลือกที่จะเที่ยวเซินเจิ้นแบบจริงจังดูสักทริป มันอาจจะมีอะไรที่น่าค้นหาก็เป็นได้ครับ ไปเริ่มกันเลยดีกว่า ** รูปถ่าย ถ่ายจาก iPhone 6 และ GoPro รูปอาจจะเบี้ยวๆ หรือไม่สวยเท่าไรนะครับ ฮ่าๆๆ**
ก่อนการเดินทาง เตรียมตัวอย่างไร?
เริ่มต้นของการเดินทาง เราต้องมี “ตั๋วเครื่องบิน” ผมและเพื่อนๆ ต้องอดตาหลับขับตานอนเพื่อแย่งชิงตั๋วของสายการบินที่ออกโปรโมชั่นลดราคาร้อนแรง ที่จองปีนี้บินอีกทีปีหน้า ซึ่งเราก็ภูมิใจอย่างมากที่ได้มันมา ฮ่าๆๆๆ! และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักและเหตุผลแรกที่ตอบคำถามว่า ทำไม! ต้องไป “เซินเจิ้น”?
พอจองตั๋วได้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อคือ การค้นหาที่เที่ยวที่น่าสนใจในเซินเจิ้น ผมได้ไปค้นข้อมูลจากในพันทิป พบว่ามีคนมารีวิวน้อย มากๆๆๆ กอไก่ล้านๆๆๆตัว และส่วนใหญ่ก็จะมาเที่ยวแบบเมืองผ่านไม่ต้องไปก็ได้ (//me รู้สึกหน้าชาเพราะเราจองตั๋วไปแล้ว) เหมือนไปเที่ยวทัวร์แวะห้องน้ำ 15 นาที หรือลงไปถ่ายรูป แล้วไปต่อ ดังนั้นก็เลยต้องไปหาข้อมูลตามเวปอื่นๆ ซึ่งก็มีคนมาเขียน แต่ข้อมูลบางอย่างก็เก่าซะยิ่งกว่าตอนเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เสียอีก ดังนั้นก็ต้องหาข้อมูล ตามเวปต่างประเทศ แล้วนำมาผสมๆ กันไป
ก่อนการเดินทางเข้าประเทศจีน ต้องทำ ”วีซ่า” ก่อน ซึ่งค่าวีซ่า แพงซะยิ่งกว่าค่าตั๋วอีก (//me เอามือทาบอก อยากให้ฟรีวีซ่าสักที) การทำวีซ่าก็สามารถหาได้ในรีวิวจากท่านอื่นๆ ในพันทิปนี่หละครับ ข้อมูลเป๊ะๆๆๆ!! แต่มีข้อมูลจะบอกว่า “ตอนนี้ทางสถานฑูตได้ยกเลิกวีซ่าแบบ Multiple 6 เดือน และ 1 ปี แล้ว” ใครที่วางแผนว่าจะไปทำวีซ่าเข้า-ออก ประเทศจีนหลายๆ รอบ แบบให้คุ้มค่าวีซ่า ก็ต้องน้ำตาตกกันไป โดยเหตุผลที่ได้รับแจ้งมา คือ คนไทยบางคนขอวีซ่าไปแล้วใช้ผิดประเภท ทำให้ทางการจีนยกเลิกไป ความโชคดีเลยบังเกิดกับคนที่อยากไปจะเที่ยวหลายๆ รอบ ก็ต้องไปทำวีซ่าหลายๆ ครั้งและเสียเงินหลายๆ บาท แต่ไม่เป็นไรเรื่องเที่ยวเราต้อง Strong!!!
#แทรกด้วยสาระ ณ ตอนนี้จากการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีตัวเลือกเพียง 3 สายการบินที่มีรูทบินตรงจากกรุงเทพ ได้แก่ Shenzhen Airlines / China Southern / Thai Airasia ดังนั้นเพื่อนๆ ถ้าอยากจะไปเที่ยว สามารถตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้จาก 3 สายการบินนี้เลยครับ
[วันที่ 1] เดินทางไป เซิ้นเจิ้น (12 มกราคม 2560)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เริ่มวันเดินทางก็ไปสนามบินนานาชาติดอนเมืองโดยสายการบินสีสดๆ โดยเครื่องบินออกจากดอนเมืองเวลา 19.05 ถึง สนามบินนานาชาติเปาอันเซินเจิ้นเวลา 22.50 เมื่อเครื่องแตะพื้นแล้วสิ่งที่ผู้โดยสารทุกคนอยากจะทำคือพุ่งตัวออกจากสนามบินให้เร็วที่สุด เพื่อไปขึ้นรถไฟ ต่อแท็กซี่ หรือ รถประจำทาง เพื่อเข้าเมือง มิเช่นนั้นอาจจะต้องนอนเล่นที่สนามบินเพื่อรอถึงตอนเช้าถึงจะเข้าเมืองได้
ในสนามบินเปาอันเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่ มีร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สิ่งที่ประทับใจมากของสนามบินแห่งนี้ คือ มีการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับผู้โดยสาร ด้วยการเรียงรถเข็นมารอหน้าสายพานรับกระเป๋า พูดได้ว่าสะดวกมาก หยิบกระเป๋าใส่รถเข็นได้สบาย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าทางสนามบินจะบริการดีขนาดนี้เลย (ประเมินผล 10 10 10 ไปเลยจ๊ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากสายพานก็เดินตรงออกไปด้านนอก ผมไม่รีบร้อนครับ เพราะเตรียมแผนมาแล้วเราจะไม่เข้าเมือง แต่จะนอนมันที่สนามบิน แล้วตอนเช้าค่อย นั่งรถไฟเข้าเมืองดีกว่า หากเพื่อนๆ ต้องการเข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้า เมื่อเดินตรงออกจากที่รับกระเป๋า ให้หาสัญลักษณ์ Metro ด้านหน้าได้เลย โดย Metro จะต้องลงบันไดเลื่อนลงไปใต้สนามบินครับ หากต้องการต่อ Taxi จุดขึ้นจะอยู่บริเวณประตูด้านซ้ายมือของเพื่อนๆ เมื่อเดินออกมาจากที่รับกระเป๋าครับ (ทางเดียวกันกับทางไปโรงแรม Hyatt House)
#แทรกด้วยสาระ สายการบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จะลงที่อาคารผู้โดยสาร 3 (Terminal 3) ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแผนที่ดีๆ นะครับ เพราะใน Google Map ยังไม่แสดงข้อมูล Metro ทุกสายใน เซินเจิ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยคืนแรกผมได้เข้าพักที่ Hyatt House Shenzhen Airport (深圳机场凯悦嘉轩酒店) ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะมีทางเชื่อมจากอาคารผู้โดยสารได้เลย และต้องการพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อไปตะลุยเมืองเซินเจิ้นในวันพรุ่งนี้ แบบหน้าไม่เหี่ยว ที่พักของโรงแรมถือว่าดีมากๆ เลยครับ นึกว่าอยู่ที่บ้าน เปิดประตูไปก็เจอห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน และห้องน้ำ โดยแบ่งส่วนกันแบบชัดเจน แถมที่นอนก็นุ่มสบาย (เอาจริงๆห้องของโรงแรมใหญ่กว่าคอนโดที่ผมอยู่เสียอีก ยังไงหละ อายสิ!) ที่สำคัญโรงแรมนี้มีอินเตอร์เน็ตแบบไม่บล๊อคทำให้สามารถเล่น Facebook Instagram และ Line ได้ที่นี่ และเป็นที่สุดท้ายที่พวกเราได้ใช้อินเตอร์เนตอย่างจุใจเหมือนอยู่ไทยก็ว่าได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
#แทรกด้วยสาระ โรงแรมนี้จะบล๊อกวงเงินเป็นค่ามัดจำตอน Check-in จำนวน 300 หยวน และจะคืนให้ตอน Check-out นะครับ
[วันที่ 2] เดินทางไป เข้าเมือง - ทำธุระเล็กน้อย - Window of the world (13 มกราคม 2560)
เริ่มต้นวันที่ 2 ด้วยอาหารเช้าของโรงแรม
มื้อเช้าของโรงแรมมีหลากหลายเมนู ทั้ง อาหารจีน อาหารฝรั่ง และอาหารสไตล์อินเดีย เลือกกินได้ตามใจชอบ แต่เมนูที่อยากจะแนะนำว่าต้องกินให้ได้นั้นก็คือ ผัดผัก คือมันแบบ กรอบ หวาน อร่อยมากจริงๆ ปลูกมาได้อย่างดีจริงๆ ถ้ามาจีน แนะนำต้องกิน ผัดผักของเขาให้ได้ มันอร่อยจริงๆ คอนเฟิร์ม!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดำเนินการ Check-out ออกจากโรงแรม แล้วก็เดินกลับเข้าไปในอาคารสนามบิน T3 เพื่อนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง โดยใช้รถไฟฟ้าสาย 11 (11号线) จากสถานี Airport (机场) มุ่งหน้าไปทาง Futian 福田
ภายในสามบินมีสิ่งที่น่าสนใจที่ทำให้หยุดสำรวจ นั้นคือตู้ยืมหนังสือ “ประเทศจีนนี้เขารักการอ่านจริงๆ” ทำให้อยากจะยืมไปอ่านเลยแต่คงได้แค่เอาไปหนุนนอนมากกว่า ฮ่าๆๆๆๆ
จากนั้น ผมก็ลงบันไดเลื่อน เข้าไปในสถานี Airport (机场) แล้วก็จัดการซื้อตั๋วจากการหาข้อมูลในเว็บไซต์ของรถไฟใต้ดินเมืองเซินเจิ้น พบว่ามีตั๋วให้เลือกซื้อหลายแบบ ได้แก่ ตั๋วเที่ยวเดียว (Single journey ticket) ตั๋วท่องเที่ยวแบบ 1 วัน (Day Ticket) และตั๋วเติมเงิน (Shenzhen Tong pass)
เดี๋ยวมาต่อนะครับ อาจจะต้องแก้ไขจัดหน้าการโพสหน่อยนะครับ เพื่อให้อ่านสบายตามากขึ้น