คือช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาโดนเพื่อนบังคับให้ไปไต้หวันด้วยกันก่อนอายุจะมากกว่านี้ ผมเลยอยากไปผจญภัยหาบิ๊กไบค์ต่างแดนดูครับ
ทริปนี้จึงไม่ได้มีการวางแผนใดๆทั้งสิ้นครับ แม้กระทั่งตั๋วเดินทางยังจองก่อนไปเพียง2วัน ราคาจึงแพงมากๆ บินกับเวียดนามแอร์ไลน์ ไปลงที่โฮจิมิน โดนค่าเครื่องไปกลับเกือบ17,000บาทครับ ที่พักก็บุ๊คระหว่างเดินทาง เลยเลือกพักแบบโฮสเทลเพราะอยากได้ประสบการณ์พบเจอเพื่อนใหม่ๆบ้างครับ เมื่อไปถึงสนามบินเถาหยวน อากาศกำลังดีครับ เย็นนิดๆประมาณ22องศา นั่งรถบัสเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเท่านั้น คืนแรกพักที่ Flip Flop Hostel ที่นี่มีคนไทยมารีวิวเยอะแล้วครับ แต่สิ่งนึงที่หลายๆคนไม่ได้บอกคือ เค้าปิดรับเช็คอินไม่เกิน 21.30น. นะครับ ดีว่าผมพยายามขอให้เค้าช่วยเพราะผมไปถึงช่วงเที่ยงคืน เค้าก็ทิ้งกุญแจไว้ให้หน้าเคาเตอร์ แต่เราต้องไปรอแขกคนอื่นๆเพื่อเข้าประตูที่พักเองนะครับ (โชคดีที่ มีชาวอินโดนีเซีย เดินตามมาพอดี อีกวันมานั่งก๊งกันถึงรู้ว่าเค้ามาดูคอนเสิร์ตCold Playที่นี่) ค่าที่พักก็ราวๆ700บาทครับ เป็นห้องแบบ 6 เตียง ห้องน้ำรวม สรุปนอนไป2คืนครับ ข้อดีของHostelคือได้รู้จักหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวต่างชาติ แต่บอกตรงๆครับ นอนไม่เต็มอิ่มจริงๆ เดี๋ยวคนนั้นเดินเข้าออก เดี๋ยวเข้าห้องน้ำ บางคนเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับ เสียงมันจะรบกวนเราอยู่เรื่อยๆครับ แนะนำเอาEar plugกะแผ่นปิดตาไปเองเลยครับ
อยู่ไทเป2คืนก็รู้สึกเบื่อๆแล้วครับ เอาตรงๆผมคิดว่าเมืองท่องเที่ยวในเอเชีย หลายๆเมืองมันคล้ายๆกันไปหมดเลย ทั้งที่ช็อปปิ้ง จุดชมวิว สถานที่สำคัญซึ่งบางคนอาจชอบที่จะไปศึกษาดูประวัติศาสตร์ สาวๆอาจชอบไปช็อปปิ้งเครื่องสำอางค์(โชคดีทริปนี้ภรรยาไม่ได้ไปด้วย เลยไม่เมื่อยจนเกินไป อิอิ)
พอพ้นคืนที่2 คิดว่าจะไปไท่จงเพื่อหาบรรยากาศใหม่ เลยจองตั๋วรถไฟด่วน ราคาประมาณไปกลับคนล่ะ1,400-1,500บาท ใช้เวลา 50-60นาที ประมาณนี้ ถึงไท่จง แต่ระหว่างทางอ่านรีวิวสถานที่เที่ยวแล้ว ชักไม่อยากไป เลยเปลี่ยนแผนนั่งรถบัสไปSun Moon Lake หรือทะเลสาปสุริยันจันทราครับ (เอาตรงๆเลยเพิ่งรู้จักก็ตอนนั่งเล่นเนทไปไท่จงนี่ล่ะครับ) นั่งรถบัสต่อไปอีก 2 ชั่วโมง ก่อนซื้อตั๋วรถบัสผ่านไปเคาเตอร์เช่ารถมีของ Avisด้วย เสียดายไม่ได้เอาใบขับขี่ติดไป แต่เรทค่าเช่าน่าสนใจมากครับ คือประมาณ2,000-2,100บาทเท่านั้น อ๋อไต้หวันนี่ขับชิดขวานะครับ แต่ผมมีประสบการณ์ขับรถชิดขวามาก่อนเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
พอนั่งบัสไปถึง Sun Moon Lake ชอบครับทะเลสาปมองลงไปน้ำเขียวใสมากๆครับ จนนึกว่าเป็นน้ำเค็ม แต่ยังไม่ได้ลองชิมซักที ถนนสวยมากครับ เหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์มากจริงๆ เป็นทางโค้งเยอะแต่แคบ โค้งหักซอกมีเล็กน้อยพอหวาดเสียว ถนนถือว่าดีนะครับ ผมได้จอง Hostel ชื่อ Per Bed ไว้ครับ และนึกสนุกอยากขี่มอเตอร์ไซค์ที่นี่ดูเพราะอากาศมันเย็นๆดีครับ เลยเช่า ตกคนล่ะ 800 บาท เช่า 2 คัน ต่อได้เหลือ 1,500 บาท เป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า คันเล็ก พร้อมแบตเตอรี่สำรองอีก 1 ก้อนครับ ความเร็วทางธรรมดาสูงสุด ประมาณ 40-45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางขึ้นเขาเหลือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางลงเขานี่เริ่มมีสีสรรได้ประมาณ 60 -65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มาถึงที่พักซึ่งห่างจากจุดลงรถประมาณ12กิโลเมตรก็มาถึง Per Bed Hostelขอแนะนำครับอย่าไปพักเด็ดขาด หรือถ้าใครเคยไปแล้วประทับใจ อาจจะไม่เจอ ผู้ชายไต้หวัน ใส่แว่น ตัวผอมๆอย่างที่ผมเจอก็ได้ เพราะก่อนจองไปอ่านรีวิวในAgodaมา เหมือนจะมีคนชอบพอสมควรครับ นอนชั้น2 นอนรวมกัน15-16คน มีห้องน้ำให้แค่ 2 ห้อง (โชคดีวันไปมีพักแค่5คนครับ) พูดจาไม่ดี ไม่มีความเป็นมิตร ทั้งกวนทีนครับ แถมที่เรานอนๆจ่ายค่าที่พัก 750 บาท เราต้องถอดปลอกหมอน ปลอกผ้าห่ม ปลอกที่นอน เอาลงถังซักก่อนเช็คเอ้าซะอีก (อันนี้ผมมีหลักฐานเพราะเพื่อนแอบถ่ายมา)
ผมกับเพื่อนก็เลยไปขี่รถเล่น ออกมาก็ราวๆ6โมง แวะทานนู่นนี่นั่นหรือไปส่องสาวๆก็เกือบ1ทุ่มแล้วครับ เอาล่ะซิไม่มีไรทำ เลยกะจะวนกลับไปที่จุดที่ลงรถเพื่อไปชาร์ทแบตเตอรี่ เพราะตอนมาถึงHostelก้อนติดรถมันเหลือ2ขีดจาก5ขีดครับ จึง ขี่วนไปอีกทาง คือ Sun Moon Lakeจะสามารถขับรถเป็นวงกลมได้ครับ เราจึงไปอีกทางเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ สรุปขี่ๆๆๆๆๆ ไม่ถึงซักทีครับ ใครที่ใช้ Google Map ที่นี่แล้วไม่มีปัญหานี่โชคดีสุดๆครับ คือบางครั้งเมื่อเราผิดทิศแล้วนะครับ Google map จะให้เราไปอีกไกลมากๆเพื่อไปหาที่กลับรถที่ถูกต้องครับ สรุปไม่น่าเชื่อนะครับ เราขี่หลงไปในเมืองเฉยเลย เป็นเมืองเก่าๆ ดูเผินๆคล้าย ตลาดเก่า อ.ย่านยาว จ.พังงาเลยครับ เราก็พยายามใช้Google Mapอย่างสุดความสามารถ จนถอดใจครับ ยอมกลับทางเดิม ทั้งที่ตอนนั้นแบตสำรอง ก็ใกล้หมดแล้วด้วย ระหว่างทางที่ขี่กลับ อุณหภูมิน่าจะราวๆ18องศาซึ่งเวลาขี่มันจะโดนลม หนาวมากครับ เพราะผมดันอุตริ ใส่กางเกงบอลกะเสื้อยืดแขนสั้น ตั้งแต่ตอนมาถึงครับ ปรากฎว่าไปตายบนเขาครับ แบตหมดไปดื้อๆ ทั้งมืด ทั้งเปลี่ยว แถมมีศาลเจ้าอยู่ประปรายครับ แอบหวั่นๆ ไม่รู้ผีไต้หวันจะหน้าสยองเท่าผีไทยรึเปล่า หรือถ้าจะหลอกจะหลอกแนวไหน เลยมีเหลือ3ทางเลือกครับ
1.แบตรถเพื่อนผมยังไม่หมดเพราะมันน้ำหนักเบากว่าผมเยอะ ให้มันขี่ไปขอความช่วยเหลือ
2.เข็นไปให้สุดยอดเขาเผื่อปล่อยรถไหลลงมา
3. หันหัวกลับ ปล่อยรถไหลลงมาทางเดิม
สรุปเลือกทางที่3ครับ เราปล่อยรถไหลลงมา โชคดีเหลือบไปเห็นป้ายร้านกาแฟ พอมองเข้าไปเลยเห็นเป็นรีสอร์ทแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ประมาณ5หลังครับ เลยบากหน้าเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีคนอยู่ครับ แต่พอเดินลึกเข้าไปเลยเจอบ้านออกแนวจีนโบราณอยู่ข้างใน และก็เจอคนครับ คือเป็นบ้านของเจ้าของรีสอร์ทนั่นเอง เค้าทำอาหารเพื่อให้แขกที่มาพักได้ทานครับ เลยไม่มีคนอยู่ข้างหน้ารีสอร์ท เลยเจอคุณNelson Liu ซึ่งโชคที่พี่แกพูดภาษาอังกฤษได้ดีเพราะอยู่นิวซีแลนด์ โชคดีกว่านั้นคือปกติแกอยู่นิวฯแต่มางานแต่งน้องชายที่นี่พอดีซึ่งแต่งวันที่22เมษาครับ พี่แกช่วยติดต่อประสานงาน แจ้งสถานที่ให้เรียบร้อย จนเรามีหน้าที่แค่รอๆๆๆครับ ชาวไต้หวัน ทักทายภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆทั่วไปได้นะครับ แต่พอลงลึกในรายละเอียดส่วนใหญ่จะตอบเยสเยส(คำนี้ซุ่มเสี่ยงกับการสะกดผิดจริงๆ)ปัดๆไปอย่างนั้นเอง พอมาเจอคนกลางหุบเขาช่วยนี่เหมือนสวรรค์โปรดมากๆเลยครับ
พี่เนลสันก็แนะนำที่เที่ยวครับ เค้าบอกว่าเวลาที่ควรไปคือเกือบๆ5ทุ่ม จะมีสัตว์เรืองแสง ซึ่งจำไม่ได้จริงๆว่าชื่ออะไร แต่ค้นจากGoogle Mapจะห่างจากรีสอร์แกไป1.7กิโลเมตรครับ รีสอร์ทพี่เค้าชื่อ Sunmoon Homeครับ ที่พักตอบไม่ได้ว่าดีแค่ไหน แต่น้ำใจตอบได้ว่ามากสุดๆครับ พี่เค้าบอกจะมีคนไทยมาพักในวันพรุ่งนี้ครับ พอซักพักใหญ่เจ้าหน้าที่จากร้านมอไซค์มา ก็เอาแบตมาเปลี่ยนให้และให้พวกผมขี่กลับตามไปที่ร้านเพื่อจะสลับแบตใหม่ให้ทุกก้อน นี่หละเราเลยลืมไปดูสัตว์เรืองแสงครับ ถึงร้าน สลับแบต เราก็เลยพยายามหาที่เพื่อแฮงเอ้ากัน สรุปซื้อเบียร์กลับมากินที่Hostelครับ ไปซุปเปอร์เจอแต่คนไทยเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้าเป็นวัยรุ่นต่างชาติก็มาหาแอลกอฮอร์กันทั้งนั้นเลยครับ
ถามว่าคุ้มมั๊ยกับSun Moon Lake คุ้มนะครับ ผมชอบมากกว่าอยู่ไทเปซะอีก แต่ผมว่ากุ้ยหลินเมืองไทยน่าจะสวยกว่านะครับ แต่ผมชอบที่เย็นๆอ่ะ แต่สิ่งนึงที่ไต้หวันหรือหลายๆที่เค้าดีกว่าเราคือ
เค้ายืดหยุ่นในจุดที่ทำได้เช่น มอไซค์ไฟฟ้าที่ผมเช่า ในร้านมีเกือบ50คัน ไม่มีทะเบียนนะครับ เช่าก็ใช้พาสปอร์ตแค่เล่มเดียว ใบขับขี่ไม่ได้เอาไป เค้าก็ไม่มีมาตั้งด่านจับ
เค้าดูแลธรรมชาติอย่างหวงแหนมาก ทั้งจุดเซ็นเตอร์ ทั้งจุดสมทบ เค้าดูแลดีมากๆครับ
เค้ารักในอาชีพตนเองมากครับ แท็กซี่จะไกลแค่ไหน ก็ไม่ปฎิเสธ และไม่ขับพาอ้อม (อันนี้เป็นgoogle mapไปด้วย) แต่ที่ไทเปคนไร้ที่อยู่เยอะมากนะครับ
อยากให้เมืองไทยใส่ใจเหมือนที่ชาติอื่นๆเค้าใส่ใจนักท่องเที่ยว เพราะที่เที่ยวตามธรรมชาติของไทยมีหลากหลายมากกว่า ถ้าทำให้ดี ทั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา จนกระทั่งเดินออกไป ทุกคนประทับใจแน่นอนครับ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
#อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
#มิตรภาพและความช่วยเหลือมีทุกที่ในโลกถ้าคุณเอ่ยปาก
#ไต้หวันบิ๊กไบค์น้อยจริงๆ
ค่าเงินไต้หวันจะต่างกับไทยเล็กน้อยนะครับ แต่ในนี้ผมจะตีให้เท่ากันเลย ขี้เกียจคำนวนครับ มาเที่ยวไม่ได้มาคิดบัญชี อิอิ อันนี้ล้อเล่นครับ
ปล.ลงรูปยังไงหว่า
เมื่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปดับกลางทางบนเขาที่ Sun Moon Lake ไต้หวัน
ทริปนี้จึงไม่ได้มีการวางแผนใดๆทั้งสิ้นครับ แม้กระทั่งตั๋วเดินทางยังจองก่อนไปเพียง2วัน ราคาจึงแพงมากๆ บินกับเวียดนามแอร์ไลน์ ไปลงที่โฮจิมิน โดนค่าเครื่องไปกลับเกือบ17,000บาทครับ ที่พักก็บุ๊คระหว่างเดินทาง เลยเลือกพักแบบโฮสเทลเพราะอยากได้ประสบการณ์พบเจอเพื่อนใหม่ๆบ้างครับ เมื่อไปถึงสนามบินเถาหยวน อากาศกำลังดีครับ เย็นนิดๆประมาณ22องศา นั่งรถบัสเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเท่านั้น คืนแรกพักที่ Flip Flop Hostel ที่นี่มีคนไทยมารีวิวเยอะแล้วครับ แต่สิ่งนึงที่หลายๆคนไม่ได้บอกคือ เค้าปิดรับเช็คอินไม่เกิน 21.30น. นะครับ ดีว่าผมพยายามขอให้เค้าช่วยเพราะผมไปถึงช่วงเที่ยงคืน เค้าก็ทิ้งกุญแจไว้ให้หน้าเคาเตอร์ แต่เราต้องไปรอแขกคนอื่นๆเพื่อเข้าประตูที่พักเองนะครับ (โชคดีที่ มีชาวอินโดนีเซีย เดินตามมาพอดี อีกวันมานั่งก๊งกันถึงรู้ว่าเค้ามาดูคอนเสิร์ตCold Playที่นี่) ค่าที่พักก็ราวๆ700บาทครับ เป็นห้องแบบ 6 เตียง ห้องน้ำรวม สรุปนอนไป2คืนครับ ข้อดีของHostelคือได้รู้จักหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวต่างชาติ แต่บอกตรงๆครับ นอนไม่เต็มอิ่มจริงๆ เดี๋ยวคนนั้นเดินเข้าออก เดี๋ยวเข้าห้องน้ำ บางคนเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับ เสียงมันจะรบกวนเราอยู่เรื่อยๆครับ แนะนำเอาEar plugกะแผ่นปิดตาไปเองเลยครับ
อยู่ไทเป2คืนก็รู้สึกเบื่อๆแล้วครับ เอาตรงๆผมคิดว่าเมืองท่องเที่ยวในเอเชีย หลายๆเมืองมันคล้ายๆกันไปหมดเลย ทั้งที่ช็อปปิ้ง จุดชมวิว สถานที่สำคัญซึ่งบางคนอาจชอบที่จะไปศึกษาดูประวัติศาสตร์ สาวๆอาจชอบไปช็อปปิ้งเครื่องสำอางค์(โชคดีทริปนี้ภรรยาไม่ได้ไปด้วย เลยไม่เมื่อยจนเกินไป อิอิ)
พอพ้นคืนที่2 คิดว่าจะไปไท่จงเพื่อหาบรรยากาศใหม่ เลยจองตั๋วรถไฟด่วน ราคาประมาณไปกลับคนล่ะ1,400-1,500บาท ใช้เวลา 50-60นาที ประมาณนี้ ถึงไท่จง แต่ระหว่างทางอ่านรีวิวสถานที่เที่ยวแล้ว ชักไม่อยากไป เลยเปลี่ยนแผนนั่งรถบัสไปSun Moon Lake หรือทะเลสาปสุริยันจันทราครับ (เอาตรงๆเลยเพิ่งรู้จักก็ตอนนั่งเล่นเนทไปไท่จงนี่ล่ะครับ) นั่งรถบัสต่อไปอีก 2 ชั่วโมง ก่อนซื้อตั๋วรถบัสผ่านไปเคาเตอร์เช่ารถมีของ Avisด้วย เสียดายไม่ได้เอาใบขับขี่ติดไป แต่เรทค่าเช่าน่าสนใจมากครับ คือประมาณ2,000-2,100บาทเท่านั้น อ๋อไต้หวันนี่ขับชิดขวานะครับ แต่ผมมีประสบการณ์ขับรถชิดขวามาก่อนเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
พอนั่งบัสไปถึง Sun Moon Lake ชอบครับทะเลสาปมองลงไปน้ำเขียวใสมากๆครับ จนนึกว่าเป็นน้ำเค็ม แต่ยังไม่ได้ลองชิมซักที ถนนสวยมากครับ เหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์มากจริงๆ เป็นทางโค้งเยอะแต่แคบ โค้งหักซอกมีเล็กน้อยพอหวาดเสียว ถนนถือว่าดีนะครับ ผมได้จอง Hostel ชื่อ Per Bed ไว้ครับ และนึกสนุกอยากขี่มอเตอร์ไซค์ที่นี่ดูเพราะอากาศมันเย็นๆดีครับ เลยเช่า ตกคนล่ะ 800 บาท เช่า 2 คัน ต่อได้เหลือ 1,500 บาท เป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า คันเล็ก พร้อมแบตเตอรี่สำรองอีก 1 ก้อนครับ ความเร็วทางธรรมดาสูงสุด ประมาณ 40-45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางขึ้นเขาเหลือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางลงเขานี่เริ่มมีสีสรรได้ประมาณ 60 -65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มาถึงที่พักซึ่งห่างจากจุดลงรถประมาณ12กิโลเมตรก็มาถึง Per Bed Hostelขอแนะนำครับอย่าไปพักเด็ดขาด หรือถ้าใครเคยไปแล้วประทับใจ อาจจะไม่เจอ ผู้ชายไต้หวัน ใส่แว่น ตัวผอมๆอย่างที่ผมเจอก็ได้ เพราะก่อนจองไปอ่านรีวิวในAgodaมา เหมือนจะมีคนชอบพอสมควรครับ นอนชั้น2 นอนรวมกัน15-16คน มีห้องน้ำให้แค่ 2 ห้อง (โชคดีวันไปมีพักแค่5คนครับ) พูดจาไม่ดี ไม่มีความเป็นมิตร ทั้งกวนทีนครับ แถมที่เรานอนๆจ่ายค่าที่พัก 750 บาท เราต้องถอดปลอกหมอน ปลอกผ้าห่ม ปลอกที่นอน เอาลงถังซักก่อนเช็คเอ้าซะอีก (อันนี้ผมมีหลักฐานเพราะเพื่อนแอบถ่ายมา)
ผมกับเพื่อนก็เลยไปขี่รถเล่น ออกมาก็ราวๆ6โมง แวะทานนู่นนี่นั่นหรือไปส่องสาวๆก็เกือบ1ทุ่มแล้วครับ เอาล่ะซิไม่มีไรทำ เลยกะจะวนกลับไปที่จุดที่ลงรถเพื่อไปชาร์ทแบตเตอรี่ เพราะตอนมาถึงHostelก้อนติดรถมันเหลือ2ขีดจาก5ขีดครับ จึง ขี่วนไปอีกทาง คือ Sun Moon Lakeจะสามารถขับรถเป็นวงกลมได้ครับ เราจึงไปอีกทางเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ สรุปขี่ๆๆๆๆๆ ไม่ถึงซักทีครับ ใครที่ใช้ Google Map ที่นี่แล้วไม่มีปัญหานี่โชคดีสุดๆครับ คือบางครั้งเมื่อเราผิดทิศแล้วนะครับ Google map จะให้เราไปอีกไกลมากๆเพื่อไปหาที่กลับรถที่ถูกต้องครับ สรุปไม่น่าเชื่อนะครับ เราขี่หลงไปในเมืองเฉยเลย เป็นเมืองเก่าๆ ดูเผินๆคล้าย ตลาดเก่า อ.ย่านยาว จ.พังงาเลยครับ เราก็พยายามใช้Google Mapอย่างสุดความสามารถ จนถอดใจครับ ยอมกลับทางเดิม ทั้งที่ตอนนั้นแบตสำรอง ก็ใกล้หมดแล้วด้วย ระหว่างทางที่ขี่กลับ อุณหภูมิน่าจะราวๆ18องศาซึ่งเวลาขี่มันจะโดนลม หนาวมากครับ เพราะผมดันอุตริ ใส่กางเกงบอลกะเสื้อยืดแขนสั้น ตั้งแต่ตอนมาถึงครับ ปรากฎว่าไปตายบนเขาครับ แบตหมดไปดื้อๆ ทั้งมืด ทั้งเปลี่ยว แถมมีศาลเจ้าอยู่ประปรายครับ แอบหวั่นๆ ไม่รู้ผีไต้หวันจะหน้าสยองเท่าผีไทยรึเปล่า หรือถ้าจะหลอกจะหลอกแนวไหน เลยมีเหลือ3ทางเลือกครับ
1.แบตรถเพื่อนผมยังไม่หมดเพราะมันน้ำหนักเบากว่าผมเยอะ ให้มันขี่ไปขอความช่วยเหลือ
2.เข็นไปให้สุดยอดเขาเผื่อปล่อยรถไหลลงมา
3. หันหัวกลับ ปล่อยรถไหลลงมาทางเดิม
สรุปเลือกทางที่3ครับ เราปล่อยรถไหลลงมา โชคดีเหลือบไปเห็นป้ายร้านกาแฟ พอมองเข้าไปเลยเห็นเป็นรีสอร์ทแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ประมาณ5หลังครับ เลยบากหน้าเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีคนอยู่ครับ แต่พอเดินลึกเข้าไปเลยเจอบ้านออกแนวจีนโบราณอยู่ข้างใน และก็เจอคนครับ คือเป็นบ้านของเจ้าของรีสอร์ทนั่นเอง เค้าทำอาหารเพื่อให้แขกที่มาพักได้ทานครับ เลยไม่มีคนอยู่ข้างหน้ารีสอร์ท เลยเจอคุณNelson Liu ซึ่งโชคที่พี่แกพูดภาษาอังกฤษได้ดีเพราะอยู่นิวซีแลนด์ โชคดีกว่านั้นคือปกติแกอยู่นิวฯแต่มางานแต่งน้องชายที่นี่พอดีซึ่งแต่งวันที่22เมษาครับ พี่แกช่วยติดต่อประสานงาน แจ้งสถานที่ให้เรียบร้อย จนเรามีหน้าที่แค่รอๆๆๆครับ ชาวไต้หวัน ทักทายภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆทั่วไปได้นะครับ แต่พอลงลึกในรายละเอียดส่วนใหญ่จะตอบเยสเยส(คำนี้ซุ่มเสี่ยงกับการสะกดผิดจริงๆ)ปัดๆไปอย่างนั้นเอง พอมาเจอคนกลางหุบเขาช่วยนี่เหมือนสวรรค์โปรดมากๆเลยครับ
พี่เนลสันก็แนะนำที่เที่ยวครับ เค้าบอกว่าเวลาที่ควรไปคือเกือบๆ5ทุ่ม จะมีสัตว์เรืองแสง ซึ่งจำไม่ได้จริงๆว่าชื่ออะไร แต่ค้นจากGoogle Mapจะห่างจากรีสอร์แกไป1.7กิโลเมตรครับ รีสอร์ทพี่เค้าชื่อ Sunmoon Homeครับ ที่พักตอบไม่ได้ว่าดีแค่ไหน แต่น้ำใจตอบได้ว่ามากสุดๆครับ พี่เค้าบอกจะมีคนไทยมาพักในวันพรุ่งนี้ครับ พอซักพักใหญ่เจ้าหน้าที่จากร้านมอไซค์มา ก็เอาแบตมาเปลี่ยนให้และให้พวกผมขี่กลับตามไปที่ร้านเพื่อจะสลับแบตใหม่ให้ทุกก้อน นี่หละเราเลยลืมไปดูสัตว์เรืองแสงครับ ถึงร้าน สลับแบต เราก็เลยพยายามหาที่เพื่อแฮงเอ้ากัน สรุปซื้อเบียร์กลับมากินที่Hostelครับ ไปซุปเปอร์เจอแต่คนไทยเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้าเป็นวัยรุ่นต่างชาติก็มาหาแอลกอฮอร์กันทั้งนั้นเลยครับ
ถามว่าคุ้มมั๊ยกับSun Moon Lake คุ้มนะครับ ผมชอบมากกว่าอยู่ไทเปซะอีก แต่ผมว่ากุ้ยหลินเมืองไทยน่าจะสวยกว่านะครับ แต่ผมชอบที่เย็นๆอ่ะ แต่สิ่งนึงที่ไต้หวันหรือหลายๆที่เค้าดีกว่าเราคือ
เค้ายืดหยุ่นในจุดที่ทำได้เช่น มอไซค์ไฟฟ้าที่ผมเช่า ในร้านมีเกือบ50คัน ไม่มีทะเบียนนะครับ เช่าก็ใช้พาสปอร์ตแค่เล่มเดียว ใบขับขี่ไม่ได้เอาไป เค้าก็ไม่มีมาตั้งด่านจับ
เค้าดูแลธรรมชาติอย่างหวงแหนมาก ทั้งจุดเซ็นเตอร์ ทั้งจุดสมทบ เค้าดูแลดีมากๆครับ
เค้ารักในอาชีพตนเองมากครับ แท็กซี่จะไกลแค่ไหน ก็ไม่ปฎิเสธ และไม่ขับพาอ้อม (อันนี้เป็นgoogle mapไปด้วย) แต่ที่ไทเปคนไร้ที่อยู่เยอะมากนะครับ
อยากให้เมืองไทยใส่ใจเหมือนที่ชาติอื่นๆเค้าใส่ใจนักท่องเที่ยว เพราะที่เที่ยวตามธรรมชาติของไทยมีหลากหลายมากกว่า ถ้าทำให้ดี ทั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา จนกระทั่งเดินออกไป ทุกคนประทับใจแน่นอนครับ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
#อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
#มิตรภาพและความช่วยเหลือมีทุกที่ในโลกถ้าคุณเอ่ยปาก
#ไต้หวันบิ๊กไบค์น้อยจริงๆ
ค่าเงินไต้หวันจะต่างกับไทยเล็กน้อยนะครับ แต่ในนี้ผมจะตีให้เท่ากันเลย ขี้เกียจคำนวนครับ มาเที่ยวไม่ได้มาคิดบัญชี อิอิ อันนี้ล้อเล่นครับ
ปล.ลงรูปยังไงหว่า