IG : Earnnud
Facebook :
https://www.facebook.com/earnnudchada
" ถ้าเสาร์ - อาทิตย์ไม่เดินห้าง เราจะไปไหนดี
เราจะพบว่าโลกนี้มีทางเลือกอีกมากมาย
ที่พร้อมขยายขนาดของหัวใจและไอเดีย นั่นคือ ไปที่ชอบ ที่ชอบ "
ฮัลโหลวววววว สวัสดีชาวพันทิปทุกคนนะคะ เราเพิ่งเป็นสมาชิกพันทิปนี่เป็นรีวิวครั้วแรกของเรา เราได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีกับเพื่อนๆโดยการนั่งรถไฟฟรีไปจากจังหวัดอุดรธานี ไปกันโลดดดด
วันแรก เราก็นั่งรถไฟทั้งคืนเลย ลุยไปให้สุด
เวลา 18.30 น. เรานัดเจอเพื่อนที่เดินทางร่วมกันในทริปนี้ที่สถานีรถไฟอุดร
19.19 น. รถไฟออกแล้วเด้ออเจอกันโลด กทม. สาวอุดรจะพาตะลอนเมืองกาญจน์
วันที่สอง
เวลา 06.15 เราเดินทางมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง และเดินทางไปสถานีรถไฟธนบุรี ที่หลังโรงบาลศิริราช เพื่อจะนั่งรถไฟไปจังหวัดกาญจนบุรี เราใช้บริการพี่ตุ๊กๆ เพื่อเดินทางไปสถานีรถไฟธนบุรี ณ ตอนนั้นพี่โชเฟอร์พาซิ่งมาก เพราะกลัวไม่ทันรถไปในรอบเช้า รถไฟจะออกเดินทางไปที่สถานีกาญจนบุรีเวลา 07.50 น. เดี๋ยวเราไปดูบรรยากาศกันเลย
เมื่อเพื่อนคิดว่าทุกที่คือ Catwalk ก็เป็นแบบนี้ เอาที่สบายใจเลยละกันเนาะแต่มันก็เป็นสีสันสร้างเสียงหัวเราะให้กับมิตรภาพที่แปลกหน้าที่เค้าร่วมเดินทางในขบวนเดียวกับเรา
เวลา 10.45 น. เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของทริปเราแล้ว นั่นก็คือ " จังหวัดกาญจนบุรี " พอถึงแล้วเราก็แชะรูปซะหน่อย เป็นหลักฐานว่ามาฮอดแล้ว อิอิ
แต่นี่ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของวันนี้ จุดหมายของวันนี้คือ " บ้านกกกอด " ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ จนต้องให้ชื่อว่า เสน่ห์แห่งขุนเขา วันนี้แหละเราจะได้สัมผัสกับสถานที่ที่ถูกกอดด้วย ต้นกก ภูเขา ท้องฟ้า และแม่น้ำ เราเคยอ่านเจอในหนังสือ เขาเขียนบทความที่เป็นคำถามให้กับคนที่อ่านไว้ว่าระหว่างแม่น้ำ กับ ท้องฟ้า เราชอบมองอะไรมากกว่ากัน ? เดี๋ยววันนี้เราคงได้คำตอบเพื่อกลับไปตอบตัวเอง
มาแล้ววววววว ถึงละเด้อออ บ้านกกกอด บ้านกกกอดเป็นที่พักสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนจริงๆ ไม่เน้นความศิวิไลซ์เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มี
Wi-Fi เป็นการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรชาติ แม่น้ำ และขุนเขา เป็นช่วงเวลาที่สมาร์ทโฟนไม่มีความหมายอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ทำอาหารรับประทานเอง และไม่ให้ดื่มเครื่องดืมแอลกอฮอล์ ส่วนของที่พักจะมีหลายแบบ มีทั้งกระโจมเตนท์ บ้านพักติดริมแม่น้ำ ราคาก็จะต่างกันไป ในส่วนของเรา เรานอนห้องพักแบบกระโจมเตนท์เพราะเราไม่ได้มาแบบครอบครัว ไม่มีเด็กเล็กเลยสะดวกที่จะพักแบบกระโจมเตนท์ ( เปล่าหรอกจริงๆคืองบน้อย อิอิ ) กระโจมเตนท์จะเป็นห้องน้ำรวมมีประมาณ 3 ห้องในแต่ละโซน ห้องน้ำสะอาดสะอ้านดี มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย ภายในรีสอร์ทก็มีร้านขายของอำนวยความสะดวกให้ สำหรับกิจกรรมของรีสอร์ทก็จะมีเรื่อคายัคไว้สำหรับพายเรือ มีเสื้อชูชีพสำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำ มีมุมอ่านหนังสือ ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว มีอาหารเช้าให้บริการฟรี กิจกรรมช่วงเช้าส่วนมากคนก็นิยมตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ซึ่งเราก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกับคนอื่น
วันที่สาม
เวลา 09.00 เราต้องพร้อมเช็คเอาท์แล้ว เพื่อเราจะเดินทางไปสถานที่ต่อไปนั่นคือน้ำตกเอราวัณ เวลาประมาณ 09.15 น. พี่ที่รีสอร์ทเค้าก็ขับรถออกมาส่งเราที่แยกโป่งปัด พอมาถึงหน้า 7-11 แยกโป่งปัดพวกเราก็ทำการโบกรถสิครัชรออะไร โบกรถอยู่หลายคันไม่มีคันไหนจอด ก็โบกต่อไปเรื่อยๆ โบกไปสัก 20 นาที มีรถคันนึงมาจอดหน้า 7-11 เปิด EDM ซะดังสนั่นเลย พวกเราก็ไม่รออะไรเลย เต้นกันอย่างมันส์ พร้อมกับโบกรถไปด้วย ณ เวลานั้นไม่มีใครอายเลย เพราะมันไม่ใช่ถิ่นเราสินะ ภาพที่เต้นกันและโบกรถไปด้วยมันคล้ายๆกับโบกให้คนซื้อข้าวหลามตามทางอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่สนุกมาก จากที่โบกอีกสักพักก็มีพี่คนหล่อใจดีมาจอด พร้อมลดกระจกลงแล้วถามว่า ไปไหนกันครับน้อง ? เราก็บอกไปน้ำตกเอราวัณค่ะพี่ พี่เขาไม่รอช้าเลยบอกว่า "ขึ้นหลังรถพี่เลย มากับพี่ " เราก็รีบขึ้นสิ 55555555555
พี่เขาก็ส่งเราถึงที่หมาย เราก็ขอบคุณพี่ที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้นด้วย ถ้าพี่มาอ่านรีวิวก็ขอให้รู้ว่าเราขอบคุณในน้ำใจพี่มากจริงๆ ที่ช่วยเด็กน้อยต่างถิ่นแบบพวกเรา เลยแชะรูปเก็บไว้ซะหน่อย จากนั้นเราก็เริ่มปฎิบัติการลุยน้ำตก เพื่อจะเป็นผู้พิชิตน้ำตกเอราวัณทั้ง 7 ชั้น โดยแต่ละชั้นมีชื่อดังนี้ 1. ไหลคืนรัง 2. วังมัจฉา 3. ผาน้ำตก 4. อกผีเสื้อ 5.เบื่อไม่ลง 6. ดงพฤกษา 7. ภูผาเอราวัณ ทั้ง 7 ชั้นก็มีความโหดมากเหมือนกัน เพราะต้องปีนขึ้นเขาเพื่อจะเป็นผู้พิชิตน้ำตกเราก็ต้องยอมเหนื่อยเพื่อแลกกับสิ่งที่อยากได้มาเป็นเรื่องปกติ ไปชมกันเลย
สภาพหลังจากลงมาจากน้ำตก ทุกคนก็เป็นแบบนี้ 55555555555555 แต่ละคนดูเหนื่อยล้ามาก แต่ถอยไม่ได้เราต้องไปต่อ สถานีต่อไปของเราคือมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี เพื่อไปถนนคนเดินชุมชนปากแพรก ที่ขึ้นชื่อเรื่องของความชิค ความวินเทจ ของเก่าๆและ Lifestyle เก๋ๆ เราจะไปบุกกัน และเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการนั่งรถเข้าตัวเมือง จากนั้นก็เข้าที่พักแล้วไปลุยถนนคนเดินต่อ ( รู้สึกว่าตัวเองบึกบึนมาก 5555 แต่เรื่องเที่ยวเราต้องสตรองแค่ไหนถามใจตัวเองดูโลด )
วันที่สี่ วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว
09.00 น. เราออกเดินทางมาที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี รอเวลาขึ้นรถไฟไปที่ถ้ำกระแซ ไปสัมผัสกับทางรถไฟสายมรณะที่ขึ้นชื่อเรื่องราวของความโหดทารุณในอดีต ที่สร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่ญี่ปุ่นเกณฑ์มาเพื่อสร้างทางรถไฟสายนี้ จนได้คำขนานนามเล่าถึงเส้นทางรถไฟสายนี้ว่า "หากนับหมอนหนุนรางรถไฟทีเท่าไหร่ จำนวนเชลยศึกที่มาสร้างรถไฟสายนี้ก็ตายไปเท่านั้น " จึงเรียกทางรถไฟสายนี้ว่า ทางรถไฟสายมรณะ และปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่ถ้ำกระแซ
เวลา 13.40 น. เราก็เดินทางกลับสถานีรถไฟธนบุรี กรุงเทพมหานคร ถึงกรุงเทพประมาณ 17.50 และเราก็นั่งรอรถไฟฟรีเพื่อจะกลับอุดรธานี เวลา 20.20 เราก็เดินทางกลับอุดรธานีโดยสวัสดิภาพ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้
1.ค่าตุ๊กๆ ไป-กลับ คนละ 100
2.ค่ารถสองแถว คนละ 50
3.ค่ารถโดยสารประจำทาง คนละ 50
4.ค่าที่พักบ้านกกกอด คนละ 480
5.ค่าที่พักคืนที่สอง คนละ 250
6. ค่ารถไปถนนคนเดินและไปสถานีรถไฟกาญจนบุรี คนละ 30
7. ค่าเข้าอุทยานน้ำตกเอราวัณ คนละ 50
8. ค่าเช่ารถกอล์ฟ คนละ 30
** รวม 1040 บาท ปล. ราคาไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว , ไม่รวมค่าอาหาร **
เราอยากจะแชร์เรื่องราวดีดี ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางบนรถไฟเราใช้คำที่ว่า " ให้รถไฟมันเล่าเรื่อง " จากภาพเหล่านี้
"เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวบ้างเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่ในชีวิตเราตลอดไป "
"เมื่อผ่านวันดีๆโปรดบันทึกมันไว้บ้างเพราะถ้าวันหนึ่งที่เราเจอวันแย่ๆอย่างน้อยก็รำลึกได้ว่า เราก็เคยมีวันดีๆ"
" มิตรภาพแปลกหน้า ที่ใชเวลาร่วมกัน " น้องๆจะนครศรีธรรมราช พอเราบอกน้องว่าพี่จะเขียนรีวิวลงพันทิป น้องๆก็บอกยกมือสองชิ้วเข้าเฟรมกล้อง
" เราทุกคนต้องการเพื่อน แต่บางครั้งเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตเสมอไป "
" ทหารหญิง ที่สวยที่สุดในกองร้อย " น้องนุ๊กนิ๊กที่ถ้ำกระแซ ความฝันน้องอยากเป็นทหาร
"เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตเราขาดอะไรไปจนกระทั่งได้ใครสักคนเข้ามาเติมเต็ม "
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเราใช้ภาพขาวดำในการสื่อความหมายภาพ
คำตอบคือ ภาพขาวดำเหล่านี้มักจะพกพาความรู้สึกเหงามาด้วยเสมอ แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะพกพาความอบอุ่นมาด้วย “ เหงาแต่อบอุ่น ” เราแค่ชอบความรู้สึกนั้น และวันนี้เราได้คำตอบกลับไปตอบตัวเองแล้วว่า เราชอบท้องฟ้ามากกว่าแม่น้ำ เพราะเราได้มีโอกาสมองท้องฟ้า ที่เปลี่ยนสีไปทุกๆวินาที และก้อนเมฆที่เปลี่ยนแปลงไปตามแรงลม มันทำให้เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ท้องฟ้ามีสีฟ้าในตอนเช้า ยังมีเปลี่ยนเป็นสีดำในตอนกลางคืน ก็เหมือนกับ
[CR] สะพายเป้คู่ใจ นั่งรถไฟไปเที่ยวกาญจน์ ด้ายงบ 1200 ( บ้านกกกอด-น้ำตกเอราวัณ-ถนนคนเดินปากแพรก-ถ้ำกระแซ)
IG : Earnnud
Facebook : https://www.facebook.com/earnnudchada
เราจะพบว่าโลกนี้มีทางเลือกอีกมากมาย
ที่พร้อมขยายขนาดของหัวใจและไอเดีย นั่นคือ ไปที่ชอบ ที่ชอบ "
ฮัลโหลวววววว สวัสดีชาวพันทิปทุกคนนะคะ เราเพิ่งเป็นสมาชิกพันทิปนี่เป็นรีวิวครั้วแรกของเรา เราได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีกับเพื่อนๆโดยการนั่งรถไฟฟรีไปจากจังหวัดอุดรธานี ไปกันโลดดดด
วันแรก เราก็นั่งรถไฟทั้งคืนเลย ลุยไปให้สุด
เวลา 18.30 น. เรานัดเจอเพื่อนที่เดินทางร่วมกันในทริปนี้ที่สถานีรถไฟอุดร
19.19 น. รถไฟออกแล้วเด้ออเจอกันโลด กทม. สาวอุดรจะพาตะลอนเมืองกาญจน์
วันที่สอง
เวลา 06.15 เราเดินทางมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง และเดินทางไปสถานีรถไฟธนบุรี ที่หลังโรงบาลศิริราช เพื่อจะนั่งรถไฟไปจังหวัดกาญจนบุรี เราใช้บริการพี่ตุ๊กๆ เพื่อเดินทางไปสถานีรถไฟธนบุรี ณ ตอนนั้นพี่โชเฟอร์พาซิ่งมาก เพราะกลัวไม่ทันรถไปในรอบเช้า รถไฟจะออกเดินทางไปที่สถานีกาญจนบุรีเวลา 07.50 น. เดี๋ยวเราไปดูบรรยากาศกันเลย
เมื่อเพื่อนคิดว่าทุกที่คือ Catwalk ก็เป็นแบบนี้ เอาที่สบายใจเลยละกันเนาะแต่มันก็เป็นสีสันสร้างเสียงหัวเราะให้กับมิตรภาพที่แปลกหน้าที่เค้าร่วมเดินทางในขบวนเดียวกับเรา
เวลา 10.45 น. เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของทริปเราแล้ว นั่นก็คือ " จังหวัดกาญจนบุรี " พอถึงแล้วเราก็แชะรูปซะหน่อย เป็นหลักฐานว่ามาฮอดแล้ว อิอิ
แต่นี่ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของวันนี้ จุดหมายของวันนี้คือ " บ้านกกกอด " ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ จนต้องให้ชื่อว่า เสน่ห์แห่งขุนเขา วันนี้แหละเราจะได้สัมผัสกับสถานที่ที่ถูกกอดด้วย ต้นกก ภูเขา ท้องฟ้า และแม่น้ำ เราเคยอ่านเจอในหนังสือ เขาเขียนบทความที่เป็นคำถามให้กับคนที่อ่านไว้ว่าระหว่างแม่น้ำ กับ ท้องฟ้า เราชอบมองอะไรมากกว่ากัน ? เดี๋ยววันนี้เราคงได้คำตอบเพื่อกลับไปตอบตัวเอง
มาแล้ววววววว ถึงละเด้อออ บ้านกกกอด บ้านกกกอดเป็นที่พักสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนจริงๆ ไม่เน้นความศิวิไลซ์เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มี
Wi-Fi เป็นการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรชาติ แม่น้ำ และขุนเขา เป็นช่วงเวลาที่สมาร์ทโฟนไม่มีความหมายอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ทำอาหารรับประทานเอง และไม่ให้ดื่มเครื่องดืมแอลกอฮอล์ ส่วนของที่พักจะมีหลายแบบ มีทั้งกระโจมเตนท์ บ้านพักติดริมแม่น้ำ ราคาก็จะต่างกันไป ในส่วนของเรา เรานอนห้องพักแบบกระโจมเตนท์เพราะเราไม่ได้มาแบบครอบครัว ไม่มีเด็กเล็กเลยสะดวกที่จะพักแบบกระโจมเตนท์ ( เปล่าหรอกจริงๆคืองบน้อย อิอิ ) กระโจมเตนท์จะเป็นห้องน้ำรวมมีประมาณ 3 ห้องในแต่ละโซน ห้องน้ำสะอาดสะอ้านดี มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย ภายในรีสอร์ทก็มีร้านขายของอำนวยความสะดวกให้ สำหรับกิจกรรมของรีสอร์ทก็จะมีเรื่อคายัคไว้สำหรับพายเรือ มีเสื้อชูชีพสำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำ มีมุมอ่านหนังสือ ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว มีอาหารเช้าให้บริการฟรี กิจกรรมช่วงเช้าส่วนมากคนก็นิยมตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ซึ่งเราก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกับคนอื่น
วันที่สาม
เวลา 09.00 เราต้องพร้อมเช็คเอาท์แล้ว เพื่อเราจะเดินทางไปสถานที่ต่อไปนั่นคือน้ำตกเอราวัณ เวลาประมาณ 09.15 น. พี่ที่รีสอร์ทเค้าก็ขับรถออกมาส่งเราที่แยกโป่งปัด พอมาถึงหน้า 7-11 แยกโป่งปัดพวกเราก็ทำการโบกรถสิครัชรออะไร โบกรถอยู่หลายคันไม่มีคันไหนจอด ก็โบกต่อไปเรื่อยๆ โบกไปสัก 20 นาที มีรถคันนึงมาจอดหน้า 7-11 เปิด EDM ซะดังสนั่นเลย พวกเราก็ไม่รออะไรเลย เต้นกันอย่างมันส์ พร้อมกับโบกรถไปด้วย ณ เวลานั้นไม่มีใครอายเลย เพราะมันไม่ใช่ถิ่นเราสินะ ภาพที่เต้นกันและโบกรถไปด้วยมันคล้ายๆกับโบกให้คนซื้อข้าวหลามตามทางอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่สนุกมาก จากที่โบกอีกสักพักก็มีพี่คนหล่อใจดีมาจอด พร้อมลดกระจกลงแล้วถามว่า ไปไหนกันครับน้อง ? เราก็บอกไปน้ำตกเอราวัณค่ะพี่ พี่เขาไม่รอช้าเลยบอกว่า "ขึ้นหลังรถพี่เลย มากับพี่ " เราก็รีบขึ้นสิ 55555555555
พี่เขาก็ส่งเราถึงที่หมาย เราก็ขอบคุณพี่ที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้นด้วย ถ้าพี่มาอ่านรีวิวก็ขอให้รู้ว่าเราขอบคุณในน้ำใจพี่มากจริงๆ ที่ช่วยเด็กน้อยต่างถิ่นแบบพวกเรา เลยแชะรูปเก็บไว้ซะหน่อย จากนั้นเราก็เริ่มปฎิบัติการลุยน้ำตก เพื่อจะเป็นผู้พิชิตน้ำตกเอราวัณทั้ง 7 ชั้น โดยแต่ละชั้นมีชื่อดังนี้ 1. ไหลคืนรัง 2. วังมัจฉา 3. ผาน้ำตก 4. อกผีเสื้อ 5.เบื่อไม่ลง 6. ดงพฤกษา 7. ภูผาเอราวัณ ทั้ง 7 ชั้นก็มีความโหดมากเหมือนกัน เพราะต้องปีนขึ้นเขาเพื่อจะเป็นผู้พิชิตน้ำตกเราก็ต้องยอมเหนื่อยเพื่อแลกกับสิ่งที่อยากได้มาเป็นเรื่องปกติ ไปชมกันเลย
สภาพหลังจากลงมาจากน้ำตก ทุกคนก็เป็นแบบนี้ 55555555555555 แต่ละคนดูเหนื่อยล้ามาก แต่ถอยไม่ได้เราต้องไปต่อ สถานีต่อไปของเราคือมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี เพื่อไปถนนคนเดินชุมชนปากแพรก ที่ขึ้นชื่อเรื่องของความชิค ความวินเทจ ของเก่าๆและ Lifestyle เก๋ๆ เราจะไปบุกกัน และเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการนั่งรถเข้าตัวเมือง จากนั้นก็เข้าที่พักแล้วไปลุยถนนคนเดินต่อ ( รู้สึกว่าตัวเองบึกบึนมาก 5555 แต่เรื่องเที่ยวเราต้องสตรองแค่ไหนถามใจตัวเองดูโลด )
วันที่สี่ วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว
09.00 น. เราออกเดินทางมาที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี รอเวลาขึ้นรถไฟไปที่ถ้ำกระแซ ไปสัมผัสกับทางรถไฟสายมรณะที่ขึ้นชื่อเรื่องราวของความโหดทารุณในอดีต ที่สร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่ญี่ปุ่นเกณฑ์มาเพื่อสร้างทางรถไฟสายนี้ จนได้คำขนานนามเล่าถึงเส้นทางรถไฟสายนี้ว่า "หากนับหมอนหนุนรางรถไฟทีเท่าไหร่ จำนวนเชลยศึกที่มาสร้างรถไฟสายนี้ก็ตายไปเท่านั้น " จึงเรียกทางรถไฟสายนี้ว่า ทางรถไฟสายมรณะ และปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่ถ้ำกระแซ
เวลา 13.40 น. เราก็เดินทางกลับสถานีรถไฟธนบุรี กรุงเทพมหานคร ถึงกรุงเทพประมาณ 17.50 และเราก็นั่งรอรถไฟฟรีเพื่อจะกลับอุดรธานี เวลา 20.20 เราก็เดินทางกลับอุดรธานีโดยสวัสดิภาพ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้
1.ค่าตุ๊กๆ ไป-กลับ คนละ 100
2.ค่ารถสองแถว คนละ 50
3.ค่ารถโดยสารประจำทาง คนละ 50
4.ค่าที่พักบ้านกกกอด คนละ 480
5.ค่าที่พักคืนที่สอง คนละ 250
6. ค่ารถไปถนนคนเดินและไปสถานีรถไฟกาญจนบุรี คนละ 30
7. ค่าเข้าอุทยานน้ำตกเอราวัณ คนละ 50
8. ค่าเช่ารถกอล์ฟ คนละ 30
** รวม 1040 บาท ปล. ราคาไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว , ไม่รวมค่าอาหาร **
เราอยากจะแชร์เรื่องราวดีดี ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางบนรถไฟเราใช้คำที่ว่า " ให้รถไฟมันเล่าเรื่อง " จากภาพเหล่านี้
คำตอบคือ ภาพขาวดำเหล่านี้มักจะพกพาความรู้สึกเหงามาด้วยเสมอ แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะพกพาความอบอุ่นมาด้วย “ เหงาแต่อบอุ่น ” เราแค่ชอบความรู้สึกนั้น และวันนี้เราได้คำตอบกลับไปตอบตัวเองแล้วว่า เราชอบท้องฟ้ามากกว่าแม่น้ำ เพราะเราได้มีโอกาสมองท้องฟ้า ที่เปลี่ยนสีไปทุกๆวินาที และก้อนเมฆที่เปลี่ยนแปลงไปตามแรงลม มันทำให้เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ท้องฟ้ามีสีฟ้าในตอนเช้า ยังมีเปลี่ยนเป็นสีดำในตอนกลางคืน ก็เหมือนกับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น