หางมองในมุมมองของหลักเศษฐสาตร์ต่อการมีอำนาจต่อรองและความคุ้มทุนในการลงทุนกับผลลัพธ์ที่ได้ อาวุธที่ประสิทธิภาพสูงสุดน่าจะเป็นอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวคือ...
1.การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไม่ซับซ้อนมากหากมองในด้านของการทำลายล้างพราะมีเป้าหมายเดียวคือทำให้มีขนาดเล็กลงแต่อำนาจทำลายล้างสูง
2.หากเปรียบเทียบการทำลายล้างต่อพื้นที่หนึ่งเมืองใหญ่ๆๆถ้าเป็นหัวรบธรรมดาหรือระเบิดอาจจะต้องใช้หัวรบหลายพันลูกและระเบิดหลายหมื่นตันซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณมากต้องใช้ตัวแปลเยอะเช่นการขนส่งและการผลิตอาจรวมถึงแหล่งวัตถุดิบด้วย แต่ถ้าเป็นนิวเคลียร์ลูกหรือสองลูกจบ.
3.หัวรบธรรมดาต้องใช้ความแม่นยำในการโจมตีต่อเป้าหมายหากพลาดแค่สิบเมตรหรือมากกว่านั้นเป้าหมายก็อาจจะรอด แต่ถ้าเป็นอาวุธนิวเคลียร์พื้นที่ใกล้เคียงที่จุดระเบิดจะมีผลกระทบและถูกทำลายลงหลายพันตารางเมตร
4.การใช้กำลังพลหากเป็นหัวรบธรรมดาต้องใช้ยานพาหนะเยอะซึ่งก็หมายถึงกำลังพลก็ต้องมากตามไปด้วย แต่ถ้าเป็นนิวเคลียร์สิบหรือยี่สิบกว่าคนหรือน้อยกว่านั้นก็สามารถปฏิบัติการได้แล้ว
5.โรงงานที่ใช้ผลิตไม่จำเป็นต้องใหญ่มากแค่หนึ่งหรือสองโรงก็เพียงพอห้าโรงถือว่าเยอะแล้ว แต่ถ้าเป็นโรงงานผลิตหัวรบทั่วไปต้องมีประมาณไม่ต่ำกว่าสิบโรงเพื่อป้อนอาวุธให้ทันระหว่างแนวหน้าทำการสู้รบ และโรงเก็บที่ต้องมีขนาดใหญ่มากๆๆ
6.ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาถูกกว่าอาวุธหัวรบธรรมดาเพราะอาวุธนิวเคลียร์ติดตั้งที่ตรงไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็น จรวด เครื่องบิน เรือรบ เรือดำน้ำ อำนาจการทำลายล้างยังคงเท่าเดิม แต่หัวรบธรรมดามีขนาดเข้ามาเกี่ยวข้องเลยทำให้ต้นทุนการวิจัยเพิ่มสูงขึ้น
อาวุธที่มีต้นทุนต่ำแต่ทำลายล้างสูงอำนาจต่อรองสูงคือนิวเคลียร์ไม่แปลกที่ประเทศโลกที่สามอยากมีกัน
1.การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไม่ซับซ้อนมากหากมองในด้านของการทำลายล้างพราะมีเป้าหมายเดียวคือทำให้มีขนาดเล็กลงแต่อำนาจทำลายล้างสูง
2.หากเปรียบเทียบการทำลายล้างต่อพื้นที่หนึ่งเมืองใหญ่ๆๆถ้าเป็นหัวรบธรรมดาหรือระเบิดอาจจะต้องใช้หัวรบหลายพันลูกและระเบิดหลายหมื่นตันซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณมากต้องใช้ตัวแปลเยอะเช่นการขนส่งและการผลิตอาจรวมถึงแหล่งวัตถุดิบด้วย แต่ถ้าเป็นนิวเคลียร์ลูกหรือสองลูกจบ.
3.หัวรบธรรมดาต้องใช้ความแม่นยำในการโจมตีต่อเป้าหมายหากพลาดแค่สิบเมตรหรือมากกว่านั้นเป้าหมายก็อาจจะรอด แต่ถ้าเป็นอาวุธนิวเคลียร์พื้นที่ใกล้เคียงที่จุดระเบิดจะมีผลกระทบและถูกทำลายลงหลายพันตารางเมตร
4.การใช้กำลังพลหากเป็นหัวรบธรรมดาต้องใช้ยานพาหนะเยอะซึ่งก็หมายถึงกำลังพลก็ต้องมากตามไปด้วย แต่ถ้าเป็นนิวเคลียร์สิบหรือยี่สิบกว่าคนหรือน้อยกว่านั้นก็สามารถปฏิบัติการได้แล้ว
5.โรงงานที่ใช้ผลิตไม่จำเป็นต้องใหญ่มากแค่หนึ่งหรือสองโรงก็เพียงพอห้าโรงถือว่าเยอะแล้ว แต่ถ้าเป็นโรงงานผลิตหัวรบทั่วไปต้องมีประมาณไม่ต่ำกว่าสิบโรงเพื่อป้อนอาวุธให้ทันระหว่างแนวหน้าทำการสู้รบ และโรงเก็บที่ต้องมีขนาดใหญ่มากๆๆ
6.ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาถูกกว่าอาวุธหัวรบธรรมดาเพราะอาวุธนิวเคลียร์ติดตั้งที่ตรงไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็น จรวด เครื่องบิน เรือรบ เรือดำน้ำ อำนาจการทำลายล้างยังคงเท่าเดิม แต่หัวรบธรรมดามีขนาดเข้ามาเกี่ยวข้องเลยทำให้ต้นทุนการวิจัยเพิ่มสูงขึ้น