OPERATION 40 ลงขันฆ่า...!? องค์กรมหาประลัย C.I.A (ตอนที่ 6)

สายลมทะเลยังคงพัดโบกสะบัด หอบเอาละอองน้ำเย็นๆ ชโลมเข้าที่เสากระโดงเรือ มันวาวสะท้อนแสงแดดจนสามารถมองเห็นได้แต่ไกล เกลียวคลื่นคงม้วนสูงข่มกระหน่ำเข้าตีที่กราบเรืออยู่มิรู้คลาย ประหนึ่งว่า หากจมเรือลำนี้ได้ มันจะโอบรัดและบีบอัดลงสู่ก้นมหาสมุทรอย่างไร้ปรานี แต่สายลมและเกลียวคลื่นนั้น หาได้กลับสะทกสะท้านแต่อย่างใด เรือเดินสมุทรสัญชาติรัสเซียลำใหญ่ยังคงเดินหน้าเต็มกำลัง กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดหนังสีดำตัวหนาเทอะทะ ยังคงเดินขวักไขว่ไปมาบนดาดฟ้าเรือ พวกเขาตรวจสภาพความเรียบร้อยของโกดังขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเดินผลัดเปลี่ยนเวรยามกันไป โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าที่ท้องฟ้านั้น มีอากาศยานเพดานบินสูง คอยเฝ้าจับตาดูอยู่...!

   [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


     จากกรณีที่สหรัฐฯติดตั้งขีปนาวุธจูปิเตอร์ ที่พรมแดนตุรกีและอิตาลีกว่าหนึ่งร้อยหัวรบในช่วงปลายปี 1961 โดยมุ่งเข็มหัวรบไปยังสหภาพโซเวียต การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการส่งสัญญาณให้พันธมิตรนาโต กระชับวงล้อมในเยอรมนีตะวันตกมากยิ่งขึ้น มันกระตุ้นปฏิกิริยาทางการทหารให้แก่โซเวียต ซึ่งยึดพื้นที่ในเยอรมนีตะวันออกไว้ โซเวียตต้องเร่งผูกมิตรไมตรี กับเหล่าบรรดาประเทศสมาชิกคอมมิวนิสต์ด้วยกัน แต่ด้วยความล้าหลังในเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศ ที่ด้อยประสิทธิภาพกว่ามาก ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์มีอยู่เพียงแค่ 700 หัวรบเท่านั้น และจำนวนของหัวรบดังกล่าว อาจมีไม่ถึง 700 หัวรบจริงๆ  อีกทั้ง ฐานยิงเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ในดินแดนของโซเวียตเอง ระยะยิงหวังผลอาจทำลายได้เพียงพื้นที่ส่วนใหญ่ในดินแดนอลาสก้า แต่ไม่อาจทำลายหรือสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ทั้งหมดใน 48 รัฐของสหรัฐฯได้ หากเมื่อเทียบกับสหรัฐ ฯ ซึ่งมีหัวรบนิวเคลียร์มากถึง 5,000 หัวรบ ทั้งยังเป็นผู้นำในด้านการป้องกันขีปนาวุธทางทะเล และทางอากาศ ในขณะที่โซเวียต ขีดความสามารถการป้องกันดังกล่าว จำกัดอยู่เพียงการป้องกันทางภาคพื้นดินเท่านั้น และเป็นที่แน่ชัดว่า ถ้าหากมีการดวลปืนกันขึ้น มอสโกจะถูกลบออกไปจากแผนที่โลกแน่นอน ด้วยเหตุนี้ นิกิต้า ครุซชอฟ  จึงมีแนวคิดที่จะขยับหัวรบให้เข้าไปอยู่ใกล้สหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุด และในช่วงเวลานี้ คงไม่มีดินแดนในประเทศใดในลาตินอเมริกา จะดูเหมาะสม และพร้อมรบได้เท่ากับประเทศนี้อีกแล้ว …
ใช่แล้วครับ คิวบา


คิวบา จึงเป็นอีกหนึ่งในสาธารณรัฐนิยมคอมมิวนิสต์ ที่โซเวียตหมายมั่นปั้นมือให้เป็นรัฐกันชนด่านหน้า ที่เพียบพร้อมไปด้วยขีปนาวุธทั้งต่อต้านและทำลาย ชนิดที่ว่าจ่อคอหอยพญาอินทรีเลยทีเดียว มีการคาดการณ์กันว่า ขีปนาวุธที่อยู่ในคิวบาทั้งหมด มีพิสัยทำการยิงได้ไกลและลึกเข้ามาในสหรัฐ ข้อเท็จจริงเหล่านี้สนับสนุนให้ฝ่ายยุทธการกลาโหมสหรัฐฯ ต้องเร่งตัดไฟแต่ต้นลม หากปล่อยไว้ ขีปนาวุธที่อยู่ในคิวบา และที่กำลังจะติดตั้งใหม่ จะไม่ใช่เพียงแค่จ่อคอหอย หากแต่มันจะเจาะทะลุลูกกระเดือกเป็นแน่แท้ !!!



     ย้อนกลับไป สายลับของซีไอเอในคิวบา ได้ส่งข้อมูลชิ้นสำคัญ ถึงการปรากฏตัวของเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางทหารโซเวียตในดินแดนคิวบา ซึ่งทยอยเดินทางเข้ามาและมีจำนวนมากถึง 43,000 นาย พวกเขามาในสถานภาพของคณะผู้แทนการเกษตรเพื่อฮาวานา บางคนเป็นช่างเครื่องยนต์ บางคนเป็นผู้เชี่ยวด้านการเกษตร เชี่ยวชาญด้านชลประทาน ชาวคิวบาทั้งหลายก็เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น แต่ความจริง เพื่อปกปิดภารกิจ คาสโตรไม่เพียงแต่หลอกประชาชนตนเอง แม้แต่ครุชชอฟ ก็ยังหลอกกำลังพลของเขาด้วยเช่นกัน ในขณะที่การก่อสร้างฐานยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน กำลังดำเนินการอย่างลับ ๆ ในสวนปาล์ม กำลังพลที่ได้รับภารกิจให้คุ้มกันเรือ ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า มีอะไรนอนอยู่ข้างในตู้คอนเทนเนอร์ ภารกิจที่พวกเขาทราบ ก็มีเพียงแต่ชื่อรหัสอนาเดียร์เท่านั้น ( Operation Anadyr) พวกเขาคาดเดากันเองว่า จะถูกส่งไปทำภารกิจในดินแดนอันหนาวเหน็บ ทางภาคตะวันออกของโซเวียต เพราะในสัมภาระนั้น มีเพียงแค่เสื้อขนแกะ รองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง กับไม้สกีเท่านั้น


     ขณะเดียวกัน ที่คิวบาในช่วงเดือนสิงหาคม กิจกรรมทางทหารดูคึกคักเป็นพิเศษ เป็นที่น่าแปลกใจ ขบวนรถบรรทุกทางทหารมักจะสัญจรในเวลาพลบค่ำ บางคันแบกบรรทุกวัสดุทรงกระบอกขนาดใหญ่ ซึ่งปิดคลุมด้วยผ้าใบอย่างมิดชิด สิ่งนี้ กระตุ้นความสงสัยให้กับหน่วยต่อต้านคาสโตรเป็นอย่างมาก ไม่นานนัก ข้อมูลนี้ก็ถูกส่งไปที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐ พวกเขาตรวจพบเครื่องบินรบลำใหม่แบบ MiG 21 เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลาง Ilyushin IL-28s อยู่ในคิวบาอีกด้วย ซีไอเอได้ข้อมูลสำคัญมาหลายชิ้น ทั้งจากหน่วยต่อต้านคาสโตร หรือแหล่งข่าวซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่ แต่ข้อมูลเหล่านี้ ต้องถูกกลั่นกรองอีกหลายชั้น ซึ่งมีทั้งที่เป็นประโยชน์ และไร้สาระ แต่มีแหล่งข่าวเพียงไม่กี่คนที่มีความน่าเชื่อถือ หนึ่งในนั้นคือ พันเอก “เพนโคฟสกี” (Oleg Penkovsky) เพนโคฟสกี เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในสายงานเกี่ยวกับการสืบราชการลับ และความมั่นคงให้กับกองทัพโซเวียต ( "GRU" Main Intelligence Agency ) ถึงแม้เขาจะเป็นทหารโซเวียตโดยแท้ แต่ลึก ๆ เขากลับมีความรู้สึกระอาใจรัฐบาลตนเอง เกลียดแนวทางการแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ของครุซเชฟ ที่นับวัน ผู้นำรัฐบาลพวกนั้น จะยิ่งนำพาประเทศดำดิ่งลงสู่ความชั่วร้ายมากขึ้นทุกที เขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ที่มันอาจส่งผลต่อชีวิตของเขาเอง หรือชีวิตของใครอีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้…..

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


     วันหนึ่งในเดือนเมษายนปี 1961 เพนโคฟสกี ได้มีโอกาสรู้จักกับนักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้ทำโครงการระบบไฟฟ้าในมอสโก เขาชื่อ “เกรวิลล์ วินน์” (Greville Wynne) ลักษณะภายนอก วินน์ อาจเป็นแค่วิศวกรไฟฟ้าธรรมดา ๆ แต่เบื้องหลัง เขาคือ MI -6 หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ จากการสนทนาอย่างออกรสชาติทำให้รู้ว่า เพนโคฟสกีต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง ต่อมาไม่นานัก วินน์จึงแนะนำให้เพนโคฟสกีได้รู้จักกับ “รอว์รี่” และ “เจเน็ต ชิสโฮล์ม” (Ruari Chisholm, Janet Chisholm) คู่สามีภรรยาสายลับMI -6  ซึ่งมีฉากหน้าทำงานเกี่ยวกับเอกสารวีซ่า ของสถานฑูตอังกฤษในมอสโก หลายเดือนต่อมา เพนโคฟสกีเริ่มลักลอบติดต่อกับเจเน็ต ทั้งในที่สาธารณะและลับตาคน ทุกครั้งของการแอบนัดพบกัน เพนโคฟสกีมักหิ้วขนมหวาน หรือดอกไม้ช่อใหญ่นำมาให้เธอเสมอ

อืม…. ถ้าคนอื่นมาเห็นเขาจะคิดยังไง

อ๋อ…. ก็แค่สามีภรรยาคู่หนึ่ง มีขนมมีดอกไม้มาให้กัน ดูโรแมนติคดีออกนะเธอ….


     ผิดครับ มันกลับไม่ใช่อย่างที่ใครหลายคนคิด ! เพราะในกล่องขนมหรือช่อดอกไม้ กลับเป็นเอกสารในรูปแบบของม้วนฟิล์มขนาดเล็ก ภายในบันทึกรูปภาพของสถานที่ทางทหาร และเอกสารลับนับพันรายการ ถูกยัดอยู่ในกล่องนั้น เพนโคฟสกียังมีโอกาสได้เดินทางไปอังกฤษ และฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง ในสถานะของคณะผู้แทนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียต ที่นั่นเอง เพนโคฟสกีได้พบกับสายลับตัวฉกาจของ CIA ซึ่งรอชำแหละข้อมูลทางทหารของโซเวียตอย่างใจจดจ่อ ในช่วงแรกเพนโคฟสกีก็ไม่ได้รับความไว้วางใจเสียเท่าไร เพราะในวงการนักจารชนมองว่า เขาอาจเป็นเบี้ยหมากตัวหนึ่งของ KGB หรือไม่ ก็อาจเป็นพวกสายลับสองหน้า ?  จนกระทั่ง เมื่อต้นปี 1962 เพนโคฟสกีส่งฟิล์มภาพถ่ายให้ซีไอเอ มันเป็นรูปของขีปนาวุธขนาดมหึมา มีชื่อว่า R-12 พร้อมภาพถ่ายเอกสารคู่มือสำหรับจรวด R-12 มันเป็นขีปนาวุธระยะปานกลาง (MRBM /Medium-range ballistic missile) นักวิเคราะห์จากศูนย์การถ่ายภาพแห่งชาติของซีไอเอ (NPIC / National Photographic Interpretation Center) เรียกมันอย่างย่อว่า SS-4 Sandal ข้อมูลเชิงลึกระบุว่า ระเบิดที่ฮิโรชิมามีปริมาณเทียบเท่า TNT ประมาณ 14,000 ตัน แต่ R-12 บรรจุหัวรบนิวเคลียร์ขนาด 1 เมกะตัน ซึ่งจะสร้างระเบิดได้เทียบเท่ากับ TNT ประมาณ 1 ล้านตัน และตอนนี้มันอาจอยู่ใกล้ลูกกระเดือกของสหรัฐมากเกินไป  สอดคล้องกับข้อมูลสายข่าวในคิวบา เคยระบุว่าเห็นรถบรรทุกวัตถุทรงกระบอกขนาดใหญ่ แล่นผ่านชุมชนไปในยามมืด มีความเป็นไปได้ที่โซเวียตได้ส่งมอบขีปนาวุธไปให้คิวบาแล้ว



ดังนั้น เพื่อหาข้อสนับสนุนที่ว่าคิวบามีหัวรบนิวเคลียร์จริงหรือไม่ ในคืนวันที่ 5 สิงหาคม 1962 รหัสปฏิบัติการจึงถูกลงคำสั่งให้ U-2 ทำการเข้าสอดแนม ภารกิจเพื่อพิสูจน์ทราบ ฐานที่ตั้งหรือกิจกรรมทางทหารใดๆ ที่ผิดปกติเหนือดินแดนคิวบา แต่ U-2 ตรวจพบเพียงพื้นที่รกร้าง ไร่การเกษตรและสวนปาล์มเท่านั้น และเนื่องด้วยสภาพอากาศในช่วงเวลานี้ไม่เอื้ออำนวย ภารกิจสอดแนมครั้งที่สองจึงต้องถูกเลื่อนออกไป ในวันที่ 29 สิงหาคม 1962 ภารกิจครั้งที่สองของการสอดแนม U-2 สามารถบันทึกภาพสิ่งก่อสร้าง ที่มีลักษณะคล้ายฐานยิงจรวดนำวิถีจากพื้นสู่อากาศ ภาพหลักฐาน และเอกสารลับหลายฉบับถูกวางกองอยู่บนโต๊ะ ซึ่งรายล้อมไปด้วยซีไอเอระดับหัวกะทิ พวกเขาพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วน และมั่นใจว่านี่คือ S-75 Dvina นาโตเรียกมันว่า SA-2 หรือSAM มันเป็นจรวดนำวิถี หนึ่งในระบบป้องกันภัยทางอากาศของโซเวียต นักวิเคราะห์จากหน่วยสืบราชการลับของกระทรวงกลาโหม ได้สังเกตเห็นว่าฐานไซต์ของจรวด SA-2 ในคิวบานั้น ถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบคล้ายกับที่สหภาพโซเวียต ใช้เพื่อปกป้องฐานขีปนาวุธแบบข้ามทวีป (ICBM/ Intercontinental Ballistic Missile ) ซึ่งการจัดวางกำลังของจรวดดังกล่าวนั้น มีลักษณะคล้ายรูปดาวเดวิด ที่สำคัญ จรวด SA-2 พวกนี่ เป็นรุ่นเดียวกับที่เคยสอย U-2 ของ”แกรี่” (Francis Gary Powers) ร่วงมาแล้วในดินแดนโซเวียต เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1960


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


     ข้อมูลการตรวจพบฐานยิงจรวด SA-2 ไม่ได้ทำให้ทางวอชิงตันมีปฏิกิริยาในเชิงรุกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขากลับมองว่า จรวดSAMพวกนั้น เป็นเพียงแค่ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่โซเวียตส่งมาช่วยเหลือคิวบาเท่านั้น ถัดมาในวันที่ 30 สิงหาคมปีเดียวกัน U-2 มีความพยายามลักลอบสอดแนมเหนือน่านฟ้าโซเวียต เป้าหมายคือเกาะซาฮาลิน ( Sakhalin )ในดินแดนตะวันออกไกลของโซเวียต ซึ่งเข้าใจว่าอาจเป็นฐานส่งกำลังบำรุงให้แก่คิวบา แต่ทางการโซเวียตตรวจพบ U-2 ลำนี้ ภายในเวลาเพียง 9 นาที จึงแจ้งเตือนถึงการละเมิดน่านฟ้า และยื่นประท้วงต่อรัฐบาลสหรัฐ ฯ ต่อกรณีดังกล่าว เคเนดี้ แสดงความกังวลต่อการลาดตระเวนทางอากาศของกองทัพ เขายังได้กำชับ อย่าให้เข้าข่ายลักษณะการบินที่ยั่วยุ และอาจนำไปสู่สงครามโดยตรงกับโซเวียตอีกด้วย


ไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่ซีไอเอจะส่งเครื่องบินสอดแนมไปยังเกาะแห่งนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่