สเตียรอยด์ อันตรายกว่าที่คุณคิด

วันนี้ฉินขอเอาประวัติ และรูปภาพของน้องในเพจที่ใช้สเตียรอยด์แล้วส่งผลให้ผิวพังมาก
ใช้แค่ 7-8 เดือน แต่ใช้เวลารักษานานกว่า 4 ปี
ได้รับอนุญาตจากน้องเค้าแล้วครับ

เคสนี้ไม่เคยใช้ครีมเนต หรือครีมอันตรายใด ๆ
เริ่มต้นจากผื่นที่ขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่น่าจะเกิดจากภูมิร่างกายตก ความเครียด ระบบร่างกายขาดสมดุล
ไปหาหมอหลายที่ ได้แต่สเตียรอยด์มาทา
สุดท้ายเป็นไงไปติดตามกัน

********

Note นี้เขียนขึ้น โดยมีเจตนาเพื่อเป็นวิทยาทานแด่บุคคลทั่วไปและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย
จากการใช้ยาหรือครีมที่มีส่วนผสมของ Topical Steroid โดยรู้เท่าไม่ถึงการ์ณค่ะ
ยาวมากค่ะ อยากให้ค่อยๆอ่านและอ่านให้จบ ตั้งใจ+ทำความเข้าใจ และระลึกไว้เสมอค่ะว่า ***ต้องใช้เวลา***

****สำหรับเราใช้เวลาในการลองผิดลองถูกอยู่ เกือบ 4 ปีค่ะ****

สวัสดีทุกๆคนะคะ ขอแนะนำตัวก่อนเลย เจ้าของ Note ชื่อ ยิ้ม นะคะ
เป็น 1 ในผู้ป่วยจากการใช้ยาที่มีส่วนผสมจาก Topical Steriod ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังเกิดการเสพติดยา
จนเป็นผิวติดสเตรียรอยด์ หลายๆคน คงสงสัยว่า เป็นโรคอะไร ผลข้างเคียงคืออะไร เดี๋ยวเราจะแจงรายละเอียดให้อ่านกันนะคะ

แรกเริ่มเลยมาดูประวัติการใช้ยา "ประเภทยา+ชื่อยา+เคยใช้วิธีอะไรบ้าง+ระยะเวลาในการรักษา"

ก่อนอื่นต้องอธิบายในส่วนของโรคก่อน โรคนี้อยู่ในหมวดหมู่โรคผิวหนัง เรียกกันง่ายๆ และโดยทั่วไปคือ ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ต่อมไขมันอักเสบ เซ็ปเดิร์ม ฯลฯ หลายๆคนได้อ่านชื่อ คงจะพอทราบและเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดได้ทั้งจาก กรรมพันธุ์ ความเครียด และจากการดำรงชีวิตในปัจจุบัน
มาเริ่มจาก สาเหตุและประวัติการใช้ยา กันก่อนนะคะ (ไม่ใช่เพราะ สเลอปี้นะคะ ^^")
หน้าก่อนใช้สเตียรอยด์

โดยปกติ สภาพผิวของเราเป็นคนผิวแห้ง ดังนั้นเรื่องปัญหาสิวจึงไม่เกิดขึ้นกับเราแน่นอนค่ะ การใช้ยา รักษาสิวไม่มี
ใช้ครีมในอินเทอร์เนตก็ไม่มี จะมีแค่ปัญหา ฝ้าและกระ ซึ่งเป็นมาตั้งแต่อายุ10 หน่อยๆ มันมาจากกรรมพันธุ์ ให้ทำไงได้ล่ะคะ
แต่ก็ไม่เคยคิดจะไปเข้าคอร์สเลเซอร์อะไรแต่อย่างใด โดยรวมของหนังหน้าเรียกได้ว่า ผิวดี เลยทีเดียว
แต่แล้วอาการผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบของเรามันเริ่มเป็นเมื่อ เดือนธันวาคมปี 2555 ช่วงก่อนปีใหม่ค่ะ (ขออภัยไม่มีรูปภาพประกอบ)
สาเหตุการเกิด ทั้งทางกรรมพันธุ์ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ แน่นอนค่ะ อายุมากขึ้น การฟื้นฟูร่างกายน้อยลง
แต่ยังลั้ลลา นอนน้อยโหมงานดึกเป็นเด็กๆ (จำได้ว่า ซัดทำโอทีไป 100 กว่าชั่วโมง/เดือน ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.)
พอเข้าเดือนธันวาคม อากาศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กทม.หนาวช้า และหนาวไม่นาน
แต่ด้วยเป็นคนผิวแห้ง พออากาศเปลี่ยนผิวเริ่ม ลอกเป็นขุยๆซึ่งเราก็คิดว่ามันเป็นปกติแบบทุกๆที ก็ปล่อยไปค่ะไม่ได้ทำอะไร

แต่อยู่ๆก็ดันมีคุณผื่นโผล่ขึ้นมา แรกๆขึ้นมาเล็กน้อยจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย
แต่มันดันไม่หาย จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตอนต้นปี 2556
เน้นย้ำค่ะ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แผนกผิวหนัง (ปล. รพ.เอกชน)ผลจากการไปหา
หมอ ก็นั่งมอง แล้วก็ เขียนๆๆๆๆๆ แล้วนัดมาตรวจอีกที....เราถามคุณหมอ ว่าเป็นอะไร
คำตอบคือ โรคขึ้รังแค หรือ จะเรียกผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบก็ได้
การตรวจครั้งนี้ ไม่มีการทำ patch test แต่อย่างใดค่ะ ไปจ่ายยา
ได้ยาที่มีส่วนผสมของ Betamethasone ปริมาณการใช้ยา อยู่ที่ประมาณ 2 เดือน
และมีทา ประปราย วันเว้นวัน 2-3 วันทาที หลังจากนั้นเมื่อผื่นหายก็หยุดทายาค่ะ ย่างเข้าประมาณเมษา
ก็มีปรากฎการ์ณสิวผดเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นคนผิวแห้ง แล้วมันมาจากไหน รอให้มันหายเองอยู่2สัปดาห์
แต่คุณสิวทั้งหลายไม่มีท่าทีจะยุบเลยค่ะ จนต้องไปหาหมอสิว ตอนปลายเดือนเมษา (เข้าคลีนิคหมอสิวครั้งแรก)
ได้ยามาชุดใหญ่ ประมาณ 6 ตลับ ใช้อยู่ 3-5สัปดาห์ หน้าเนียน เรียบ สวยใสกิ๊กเลยค่ะ

หลังจากนั้น อิคุณผื่นก็กลับมาค่ะ มันมาบุก ขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าผาก ช่วงเวลาคือ เดือนสิงหาคม
รอบนี้ก่อนไปหาหมอ ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม หาความรู้เพิ่ม เพราะกลัวว่าจะต้องทายาเรื่อยๆ
ทำให้รู้ถึง Side Effect ของกลุ่มยา Topical Steroid ขึ้นมา
ก่อนไปหาหมอ เราปรับใช้ยา Triamcinolone acetonide 0.1% (TA Cream)
แต่คุณหมอก็จัดยามาให้เหมือนเดิม (Betamethasone dipropionate 0.05%)
เราขอให้หมอจ่ายตัว TA ให้แต่หมอบอกว่า ของหมอดีกว่า


****หลายๆคนสงสัย อ้าว ปริมาณ %มันต่างกัน ตัวที่หมอจ่ายมันแค่ 0.05%ทำไมของหมอดีกว่า
เหตุคือ ยากลุ่มนี้มีการจำแนกความแรง (Potency) ในการใช้ในแต่ละบริเวณค่ะและรูปแบบที่ต่างกันความแรงก็ต่างกัน
เช่นแบบขี้ผึ้งแรงกว่าครีม แบบครีมแรงกว่าโลชั่น

Topical steroid ถูกแบ่งกลุ่มตาม potency ของยา โดยขึ้นกับชนิดของยา, dosage form และความเข้มข้นของยา

รายละเอียด ตามlink ค่ะ

อ้างอิงhttp://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=10478&gid=1

http://www.psoriasis.org/about-psoriasis/treatments/topicals/steroids/potency-chart

เนื่องจากเริ่มกลัว เพราะอ่านนั่น นู่นนี่ จากคนที่เคยเป็น จากกระทู้นั้น นี้ มากมาย ทำให้เรา ใช้ยาน้อยลง
ตัวที่ได้จากหมอก็จะทาเฉพาะเวลาที่มันเห่อหนักๆ แล้วก็ ลดมาทาตัวอ่อน ทาวันเว้นวัน เว้น หลายๆวัน
แต่มันก็ไม่ยอมหาย
พอปราบอาการเห่อได้ ทั้งนี้เนื่องจากเรายังโหมงาน นอนดึก พักผ่อนน้อย ออกแดด เล่นกีฬา
ดีที่เราไม่เที่ยวกลางคืนและดื่มแอลกอฮอลล์ไม่งั้นคงหนัก-*- อาการทรงๆตัวไปเรื่อยๆ
จนมาถึงช่วงปลายเดือน พ.ย. ที่มันเห่อหนักอีกครั้ง หักดิบไม่ทายาไปเกือบอาทิตย์ แต่ก็ไม่ไหว ทนเห่อไม่ได้
คราวนี้จึงเปลี่ยนหมอค่ะ รพ.ที่ไปรอบนี้ก็เอกชนค่ะ มีชื่อเสียง ค่ารักษาไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็ไม่พ้น สเตรียรอยด์อีก
บอกกับหมอแล้วว่าไม่เอา แต่หมอบอกว่า ถ้าไม่ใช้ สเตรียรอยด์กดไว้มันคงยากที่จะยุบ สุดท้ายทำใจค่ะยอมรับสภาพและการรักษา

มาดูตัวยารอบนี้ค่ะ

มีทั้งกิน และทา ได้มากิน 5วัน ปริมาณ 150 mg ยาทา เป็น TA milk lotion 0.02%
รอบนี้มาแรง ขึ้นเกือบทั่วตัว มันเลยเล่นเราซะเละเลยค่ะ
เลยทำให้ได้ตัวยาที่เป็นโลชั่นทำให้การทายายิ่งเป็นวงกว้างกว่าเดิม
แต่อยากหายก็ทาค่ะ หมอนัดดูอาการทุกอาทิตย์ ค่อยๆปรับยาตลอด

อาทิตย์แรก Prednisolone ทาน 30mg/วัน 5วัน TA milk lotion 0.02% ทาทั่วตัว

อาทิตย์ที่ 2 Urea 10% in Betha, Bectobane oinment ทาตัว ใช้ TA milk lotion 0.02% ที่บริเวณผิวหน้า

อาทิตย์ที่ 3 Esperson, Bectobane ointment ที่ตัว ใช้ Elidel, Zalane, emolet ที่หน้า

อาทิตย์ที่ 4 Urea 10% in TA0.02% ที่ตัว และใช้ Elidel, Zalane, elomet ที่หน้า


และจึงปรับเป็นพบหมอทุกๆเดือน โดยใช้ยาตามเดิม
ซึ่งสำหรับเราที่พอมีความรู้อันน้อยนิด ก็มีการ ปรับการทายาลง ไม่ทาเยอะไม่ทาบ่อย
แต่ที่บอกว่า ความรู้อันน้อยนิดเพราะ เจ้ายาตัว Elidel  นี่เองค่ะ หมอโฆษณาไว้ดิบดี
เภสัชบอกดีกว่าสเตรียรอยด์ ไม่ทำให้ผิวบาง
มีผลในเชิงป้องกันในการกลับมาเป็นใหม่มากกว่าสเตรียรอยด์ที่เน้นการรักษาให้ยุบไว เอกสารกำกับยา ใบขนาดเท่ากระดาษ A1

เราใช้ยาตามที่หมอบอกไปประมาณ 2 เดือน ก็พบว่า พอหยุดใช้ยา อิผื่นมันก็กลับมา
elidel ไม่เห็นจะช่วยป้องกันอะไรเลย(ราคาแพงอีก) ไม่ช่วยอะไรหนังหน้าเราเลย
ตามตัวที่เคยยุบก็ แห่กลับมาเมื่อไม่ทายา เวลามันกลับมา มันมาหนักกว่าเดิม ปลายเดือน ก.พ. ตัดสินใจ หักดิบกับที่ตัว
ลองใช้วิธีธรรมชาติ จาก Page NoSebderm ที่เราตามอ่านและหาความรู้เพิ่มมาระยะหนึ่ง
โดยการใช้น้ำมะพร้าวสกัดเย็นและน้ำเกลือ เนื่องจากเริ่มที่ตัวก่อน เวลามันเห่อก็ยังไม่เท่าไหร่
เพราะไม่มีใครเห็น ส่วนที่หน้าก็ ทายาน้อยลง ค่อยๆหย่ายาไปเรื่อยๆ จนเข้าเดือน มี.ค.56 พออาการเริ่มดีขึ้นค่ะ
และเราก็เป็นพวกชอบใช้ชีวิต ชอบออกเที่ยวตจว. ตอนนั้นไปขึ้นเขาไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน
พอกลับมา ที่ทำงานมีการย้ายโซนออฟฟิศ เจอฝุ่นมากมายจากการย้ายคอมพิวเตอร์ ยกนั่นนี่
สภาพวันถัดมาคือ บวมค่ะ หน้าแดงและบวม เราเลยรู้สึกว่า เรารอวิธีธรรมชาติไม่ไหวแล้ว

หนีไปพึ่งพาเทคโนโลยีค่ะ คือไปทำพลาสม่าเย็น (ด้วยความที่อยากหาย มีวิธีไหนให้ลองก็ทำทั้งนั้นค่ะ)
ด้านล่างเป็นทฤษฎีการผลัดผิว และวงจรของการหยุดสเตรียรอยด์
ทุกคนที่เคยทายาล้วนต้องเจอสภาพเละแน่นอนค่ะ หากใครกำลังอยู่ในสภาพเละ จะข้ามไม่อ่านก็ได้ค่ะ

สภาพวันแรกที่แหกๆค่ะ

ทฤษฎี วงจรผิว การสร้าง+แบ่งตัวของชั้นผิว ก็ต้องทำการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม การดำรงชีวิตด้วยค่ะ และต้องมีระเบียบมาก
1. อย่าเกา อย่าจับหน้าบ่อย อย่าเอาผ้าปิดปาก
2. สระผมตอนเย็น เช็ดผมแห้งก่อนนอน ใช้ผ้าผืนเล็ก สะอาดซับหน้าแยกจากผ้าเช็ดตัว ใช้ผืนนี้ปูหมอนก่อนนอน เปลี่ยนทุกวัน
3. เรื่องยาสีฟัน ยาสีฟันอาจมีการกัดเนื้อเยื่อที่ผิวเราเพิ่งสร้างดังนั้น อาบน้ำไป แปรงฟันไปค่ะ เปิดฝักบัวให้น้ำมันรดตรงปากตลอด
4. อาหารเผ็ด อย่าทานเผ็ดค่ะ ร้อน เหงื่อ ออก
5. กินกล้วยน้ำว้า 1-2 ลูก นอนก่อน 4 ทุ่มจะดีมาก(ต้องปิดไฟด้วย)
6. ถ้าคันต้องกินยาแก้คัน ถ้าไม่คันไม่ต้องกิน
Loratadine 10 mg ไม่ง่วง
ATARAX 10 mg ง่วง กินก่อนนอน
7. ถ้าติดเชื้อ จะต้องกินยาฆ่าเชื้อด้วย ช่วงแรกผิวบาง ถ้าดูแลไม่ดีจะติดเชื้อง่าย อาการคือ เป็นสิวหนองเหลืองๆ และน้ำเหลืองเหนียว

ทฤษฎี อาการของผิวหย่าสเตรียรอยด์
ช่วง 1-7 วัน (1สัปดาห์) จะมีอาการเห่อ แดงและบวมค่ะ
ช่วง 8-14 วัน (2สัปดาห์) อาการจะทรงตัว
ช่วง 15-28 วัน (3-4 สัปดาห์) ช่วงเละสุด ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เยินสุดแล้ว และหลังจากนี้จะค่อยๆดีขึ้น(สำหรับคนที่โดนไม่เยอะนะคะ) เละมากน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ยาด้วยค่ะ

เข้าทฤษฎี ช่วงสัปดาห์ที่ 3-4 เละสุด ทำเอาซะท้อเลยค่ะ ความแหกตามช่วง+ระยะเวลาค่ะ จ
ากทฤษฎี+วงจรผิว มันก็จะมีช่วงดี ช่วงเละสลับกันไป



ช่วงระยะเวลาการพักฟื้นของเราอยู่ที่ 5เดือนค่ะ
พักอยู่กับบ้าน3เดือนค่ะ โชคดีที่สามารถทำงานได้จากที่บ้าน ส่วนเรื่องการปฏิบัติตัว ก็ตามที่บอกไว้ด้านบนค่ะ

สำคัญมากคือ การนอน การดื่มน้ำ+ทานผักผลไม้ (คุณพ่อกะคุณแม่ ซื้อมาให้กินเยอะมาก)
จำได้เลยค่ะ ว่าช่วงพักฟื้น ทานเยอะมาก ร่างกายต้องการเอาไปฟื้นฟู ยิ่งนอนไว ได้พักไว ร่างกายยิ่งสามารถซ่อมแซมได้ไวขึ้นค่ะ

สภาพเราหนักมากค่ะ น้ำเหลืองไหล มีอาการแสบ แดง และคัน
จนกระทั่งทางคลีนิคแนะนำให้ทาสเตรียรอยด์ควบคู่ไปกับการทำพลาสม่าเนื่องจาก ผิวแตกการซ่อมแซมจึงช้า
ตอนนั้นการรักษาเข้าเดือนที่ 3 ค่ะ และเราก็มีความจำเป็นที่ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว
จึงจำเป็นต้องกลับมาทายาอีกรอบค่ะ ส่วนยาในรอบนี้คือ TA cream 0.1% ค่ะ ปริมาณการใช้ เช้า-เย็น

เราใช้เวลากับการรักษาโดยการใช้พลาสม่าเย็น+ทาสเตรียรอยด์ควบคู่กัน เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือนค่ะ
โดยที่แรกๆไปทำทุกสัปดาห์ และค่อยๆเว้นช่วง สัปดาห์เว้นสัปดาห์ 2 สัปดาห์ 1ครั้ง จน เดือนละครั้ง
แต่ก็ยังต้องทา TA ควบคู่ซึ่ง สำหรับเรานั้น เราอยากที่จะหยุดทาสเตรียรอยด์อย่างเด็ดขาด  
เราจึงหยุดทายาค่ะ วันที่หยุดคือ 1 ส.ค. 58 ค่ะ

ผลการหยุดทายารอบ2 ก็จะมีอาการเหมือนคนเพิ่งหยุดยาใหม่ๆ แหล่ะค่ะ เห่อ แดง ลอก คัน
ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเจออยู่ดีค่ะ สภาพหลังหยุดก็ เยินไปตามสภาพค่ะ มีอาการ เห่อ บวม แดง และผิวลอก
โชคดีที่ น้ำเหลืองไม่ซึมค่ะ
และครั้งนี้เราไม่ได้ทำพลาสม่าเย็นต่อแล้วค่ะ เพราะทำมานานแล้วไม่หายสักที
ทำครั้งสุดท้าย คือ 20 พ.ย.58

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่