หนังว่าด้วยเรื่องของ:
โดมินิค "ดอม" โตเร็ตโต ใช้ชีวิตระหว่างฮันนีมูนกับเล็ตตี้ แฟนสาวที่คิวบา ขณะที่สมาชิกในแก๊งคนอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ลุค ฮ็อบบ์ (ดเวน จอห์นสัน-เดอะ ร็อค) นายตำรวจหนุ่มที่เป็นโค้ชทีมบอลให้ลูกสาววัยกำลังโต คนอื่นๆ กระจายตัวอยู่ทั่วมุมโลก แต่ดอมไปพบกับไซเฟอร์ (ชาร์ลิซ เธอรอน) สาวปริศนาที่มีความสามารถพิเศษในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ทุกเรื่องบนโลก ดอมก็เปลี่ยนไปและเลือกจะทิ้งพวกพ้องที่เขาเรียกว่าครอบครัวไว้เบื้องหลัง
ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน โนบอดี้ (เคิร์ธ รัสเซล) นายตำรวจหนุ่มก็ขอความช่วยเหลือจากทีมอาชญากรรมที่ยังเจ็บปวดจากการกระทำของดอม หนักกว่านั้นคือชักจูง (แกมบีบบังคับ) ให้ฮ็อบบ์ร่วมมือกับ เอียน ชอว์ (เจสัน สเตธแฮม) อาชญากรข้ามประเทศจากอังกฤษในการตามสืบที่อยู่ของดอม ซึ่งรัฐคาดว่าน่าจะกบดานอยู่กบไซเฟอร์ซึ่งเป็นคู่อริในอดีตของชอว์ ที่มุ่งเข้าร่วมทีมเพื่อแก้แค้นไซเฟอร์ทั้งที่เหม็นหน้าฮ็อบบ์ใจจะขาด
ความเด็ดของหนังภาคนี้:
คิดว่าสร้างมา 7 ภาคแล้วจะหมดมุกเหรอ โนว์จ้า! ลำพังพล็อตก็สร้างออกมาเพื่อดึงเอาตัวละครมาร่วมกลุ่มกันอย่างตั้งใจมากๆ แล้ว นี่จึงเป็นการรวมงานครั้งใหญ่ของชาว Fast!
แม้มุกไม่ใหม่อะไรแต่ที่สำคัญคือมันสนุกเสมอ หนังทำหน้าที่บ้าระห่ำ ถล่มเมืองได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งกระจายบทให้ตัวละครอย่างทั่วถึง แต่ที่ถูกจับตามากๆ ในภาคนี้คือ เทจ (ลูดาคริส) และ แรมซีย์ (นาตาลี เอมมานูเอล) นักเจาะระบบหนุ่มสาวที่ถูกออกแบบมาให้สู้กับไซเฟอร์โดยเฉพาะ
อีกสองคนที่เด่นซะเหลือเกินในหนังเรื่องนี้คือเดอะ ร็อค และไทรีส กิบสัน ในบทโรมัน เพราะสองคนนี้มันบู๊ได้และตลกได้ในคราวเดียว โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่แทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของหนังแฟรนไชน์เรื่องนี้
เกร็ดยิบย่อยควรรู้:
-เอียน (เจสัน สเตธแฮม) ถูกสร้างให้เป็นตัวละครที่น่ารักของทุกคนในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะวัดจากภาคนี้แล้ว ใครจะไม่รักเขาบ้าง ทั้งบู๊ ปากจัด กวน และเอ่อ... น่ารักน่าชัง (จริงนะ!) (อีกอีกทีว่าจริงจริงนะ! ><)
-สิ่งที่เรารักจากหนังเรื่องนี้มากๆ คือมันเลือกจะพูดถึง "ครอบครัว" แบบที่ดอมพูดเสมอๆ ในความหมายของ "ครอบครัวทางสายเลือด" อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันทำให้เห็นว่าตัวละครโตขึ้น
หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับ:
-คนชอบหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้ เพราะในที่สุด หลังจากเป็นหนังอาชญากรปล้นรถในภาคแรกๆ แต่ต่อมา มันก็เทิร์นตัวเองเป็นหนังบู๊ตลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-หนังมันโคตรตลก ตลกมากๆ
ได้ยินเสียงปรบมือกราวใหญ่จากผู้ชมระหว่างหนังฉาย 2-3 รอบแบบที่หนังคอมมิดี้บางเรื่องก็ทำไม่ได้
-คนที่ไม่มีปัญหากับการ "เล่นใหญ่" ของนักแสดง ซึ่งเรารับได้เพราะมันไม่ใช่การเล่นใหญ่จนเกินเบอร์ของหนัง เพราะบทมันเขียนออกมาให้นักแสดงเล่นกันโฉ่งฉ่างอยู่แล้ว
-สก็อตต์ อีสวูด หล่อมากแม้บทมันจะเด๋อและน่าหยิกมากก็ตาม
ความขัดใจ:
-มันทำให้ตัวละครไซเฟอร์ดูไร้มิติมากๆ จนรู้สึกว่าเอานักแสดงออสการ์อย่างชารีสมาทำแบบนี้ก็ได้เหรอวะ เขาเล่นได้มีศักยภาพกว่านี้ก็ไม่รีดออกมาซะงั้น เลยรู้สึกว่าถ้าเขียนบทแบบนี้ออกมา เอานักแสดงคนไหนมาเล่นก็ได้
-โอเค หนังมันถูกสร้างมาให้ระห่ำ เถิดเทิงก็จริง แต่ภาคก่อนล่อเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว ภาคนี้ล่อเรือดำน้ำ ภาคหน้าพี่ดอมเราจะขับยานอวกาศตบกันเลยไหมถ้าจะมาเบอร์นี้ บางทีก็อดคิดถึงความรู้สึกดิบๆ ของ The Fast and the Furious (2001) ไม่ได้ คือมันดิบ มันทุนต่ำ มันจริงใจสัสๆ อะตอนนั้น
สรุปว่า ถ้าคุณเป็นแฟนของหนังแฟรนไชน์นี้ก็ไปดูเถอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
(Review แบบลัดๆ ฉบับเข้าใจง่าย) The Fate of the Furious (2017) นี่ยังจะระห่ำกันได้อีกเหรอ!
โดมินิค "ดอม" โตเร็ตโต ใช้ชีวิตระหว่างฮันนีมูนกับเล็ตตี้ แฟนสาวที่คิวบา ขณะที่สมาชิกในแก๊งคนอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ลุค ฮ็อบบ์ (ดเวน จอห์นสัน-เดอะ ร็อค) นายตำรวจหนุ่มที่เป็นโค้ชทีมบอลให้ลูกสาววัยกำลังโต คนอื่นๆ กระจายตัวอยู่ทั่วมุมโลก แต่ดอมไปพบกับไซเฟอร์ (ชาร์ลิซ เธอรอน) สาวปริศนาที่มีความสามารถพิเศษในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ทุกเรื่องบนโลก ดอมก็เปลี่ยนไปและเลือกจะทิ้งพวกพ้องที่เขาเรียกว่าครอบครัวไว้เบื้องหลัง
ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน โนบอดี้ (เคิร์ธ รัสเซล) นายตำรวจหนุ่มก็ขอความช่วยเหลือจากทีมอาชญากรรมที่ยังเจ็บปวดจากการกระทำของดอม หนักกว่านั้นคือชักจูง (แกมบีบบังคับ) ให้ฮ็อบบ์ร่วมมือกับ เอียน ชอว์ (เจสัน สเตธแฮม) อาชญากรข้ามประเทศจากอังกฤษในการตามสืบที่อยู่ของดอม ซึ่งรัฐคาดว่าน่าจะกบดานอยู่กบไซเฟอร์ซึ่งเป็นคู่อริในอดีตของชอว์ ที่มุ่งเข้าร่วมทีมเพื่อแก้แค้นไซเฟอร์ทั้งที่เหม็นหน้าฮ็อบบ์ใจจะขาด
คิดว่าสร้างมา 7 ภาคแล้วจะหมดมุกเหรอ โนว์จ้า! ลำพังพล็อตก็สร้างออกมาเพื่อดึงเอาตัวละครมาร่วมกลุ่มกันอย่างตั้งใจมากๆ แล้ว นี่จึงเป็นการรวมงานครั้งใหญ่ของชาว Fast!
แม้มุกไม่ใหม่อะไรแต่ที่สำคัญคือมันสนุกเสมอ หนังทำหน้าที่บ้าระห่ำ ถล่มเมืองได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งกระจายบทให้ตัวละครอย่างทั่วถึง แต่ที่ถูกจับตามากๆ ในภาคนี้คือ เทจ (ลูดาคริส) และ แรมซีย์ (นาตาลี เอมมานูเอล) นักเจาะระบบหนุ่มสาวที่ถูกออกแบบมาให้สู้กับไซเฟอร์โดยเฉพาะ
อีกสองคนที่เด่นซะเหลือเกินในหนังเรื่องนี้คือเดอะ ร็อค และไทรีส กิบสัน ในบทโรมัน เพราะสองคนนี้มันบู๊ได้และตลกได้ในคราวเดียว โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่แทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของหนังแฟรนไชน์เรื่องนี้
-เอียน (เจสัน สเตธแฮม) ถูกสร้างให้เป็นตัวละครที่น่ารักของทุกคนในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะวัดจากภาคนี้แล้ว ใครจะไม่รักเขาบ้าง ทั้งบู๊ ปากจัด กวน และเอ่อ... น่ารักน่าชัง (จริงนะ!) (อีกอีกทีว่าจริงจริงนะ! ><)
-สิ่งที่เรารักจากหนังเรื่องนี้มากๆ คือมันเลือกจะพูดถึง "ครอบครัว" แบบที่ดอมพูดเสมอๆ ในความหมายของ "ครอบครัวทางสายเลือด" อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันทำให้เห็นว่าตัวละครโตขึ้น
-คนชอบหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้ เพราะในที่สุด หลังจากเป็นหนังอาชญากรปล้นรถในภาคแรกๆ แต่ต่อมา มันก็เทิร์นตัวเองเป็นหนังบู๊ตลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-หนังมันโคตรตลก ตลกมากๆ ได้ยินเสียงปรบมือกราวใหญ่จากผู้ชมระหว่างหนังฉาย 2-3 รอบแบบที่หนังคอมมิดี้บางเรื่องก็ทำไม่ได้
-คนที่ไม่มีปัญหากับการ "เล่นใหญ่" ของนักแสดง ซึ่งเรารับได้เพราะมันไม่ใช่การเล่นใหญ่จนเกินเบอร์ของหนัง เพราะบทมันเขียนออกมาให้นักแสดงเล่นกันโฉ่งฉ่างอยู่แล้ว
-สก็อตต์ อีสวูด หล่อมากแม้บทมันจะเด๋อและน่าหยิกมากก็ตาม
-มันทำให้ตัวละครไซเฟอร์ดูไร้มิติมากๆ จนรู้สึกว่าเอานักแสดงออสการ์อย่างชารีสมาทำแบบนี้ก็ได้เหรอวะ เขาเล่นได้มีศักยภาพกว่านี้ก็ไม่รีดออกมาซะงั้น เลยรู้สึกว่าถ้าเขียนบทแบบนี้ออกมา เอานักแสดงคนไหนมาเล่นก็ได้
-โอเค หนังมันถูกสร้างมาให้ระห่ำ เถิดเทิงก็จริง แต่ภาคก่อนล่อเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว ภาคนี้ล่อเรือดำน้ำ ภาคหน้าพี่ดอมเราจะขับยานอวกาศตบกันเลยไหมถ้าจะมาเบอร์นี้ บางทีก็อดคิดถึงความรู้สึกดิบๆ ของ The Fast and the Furious (2001) ไม่ได้ คือมันดิบ มันทุนต่ำ มันจริงใจสัสๆ อะตอนนั้น
สรุปว่า ถ้าคุณเป็นแฟนของหนังแฟรนไชน์นี้ก็ไปดูเถอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/