ข้าพเจ้า เกิดมามีสัญชาติไทย และมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำตัวมาตั้งแต่เกิด และหลายๆคนเข้าใจว่าข้าพเจ้านั้นคือคนใต้พุทธคนๆหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว บรรพบุรุษของข้าพเจ้า คืออดีตมุสลิมจากมาเลเซียที่เข้ารีตเป็นพุทธ จนจำต้องออกจากประเทศไปด้วยเหตุผลทางกฎหมายและสังคม
-
ปู่ของข้าพเจ้า เคยเล่าว่า สมัยก่อน ท่านมีหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ในสุลต่านเกอดาห์ และนับถือศาสนาอิสลามกันมาหลายชั่วลูกหลานหลายศตวรรษ มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนของท่านพบกับพระสงฆ์ชาวทมิฬองค์หนึ่ง (ปกติชาวทมิฬจะนับถือศาสนาฮินดู แต่บ้างก็นับถือพุทธ) และตัวท่านเองก็อยากจะรู้คำสอนของพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงเข้าไปร่วมศึกษาด้วย โดยเจตนาตอนแรกนั้นเพียงแค่ต้องการศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่เมื่อฟังการเทศนามากเข้า กลับเกิดความเลื่อมใสศรัทธา อยากจะละทิ้งอิสลามไปเป็นชาวพุทธ เมื่อท่านกลับถึงบ้าน ท่านได้คุยเรื่องนี้ให้กับย่าฟัง ย่าเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและเกรงว่าญาติพี่น้องจะทะเลาะเบาะแว้งกันขนาดหนัก จึงขอร้องให้ปู่เลิกล้มความคิดไป ปู่จึงเลิกคิดไปแต่ก็ไม่นานนัก
-
เพื่อนของปู่ เมื่อพยายามเข้ารีตเป็นพุทธ กลับถูกญาติและเพื่อนบ้านต่อต้านอย่างหนัก และโดยกฎหมายของมาเลเซีย ห้ามมุสลิมเปลี่ยนศาสนา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจข้ามไปประเทศไทย เมื่อปู่เห็นเป็นเช่นนั้น จึงได้ตัดสินใจออกจากความเจริญทางหน้าที่การงาน เปลี่ยนศาสนา เข้ารีตเป็นพุทธ ใช้ชื่อภาษาไทย-บาลี พร้อมกับย่าซึ่งอุ้มท้องพ่ออยู่ ดังนั้นพ่อข้าพเจ้าจึงเกิดมามีสัญชาติไทยและนับถือศาสนาพุทธโดยสมบูรณ์แบบ ถึงกระนั้น ครอบครัวของเรากับครอบครัวของมาเลเซีย ซึ่งยังเป็นอิสลามอยู่ ได้ไปมาหาสู่กันอยู่ประจำ
-
รัฐบาลมาเลเซีย มีพรรค UMNO อันเป็นพรรคของชาวมลายูมุสลิม เป็นขั้วอำนาจอยู่มาตั้งแต่วันที่ประกาศเอกราชจนตอนนี้ แม้พรรค UMNO จะมีลักษณะค่อนข้างไปทางพรรคแนวรัฐโลกวิสัย แต่ก็เป็นพรรคที่เห็นความสำคัญของชนชาติมลายูและศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ ดังนั้นตลาดหลาย 60 ปีที่ผ่านมา พรรค UMNO จึงต้องควบคุมประชากรที่ไม่ใช่ชาวบุมีปุตรา (ภูมิบุตร/Bumiputra) อย่างเข้มงวด โดยสิทธิบางอย่างจะถูกจำกัดไว้เฉพาะชาวบุมีปุตรา ประชากรหลายล้านต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเพื่อรับสิทธิจากนโยบายนี้ (มาเลเซียไม่บังคับเปลี่ยนศาสนา และประชากรบุมีปุตราบางส่วนก็ไม่ใช่ชาวมุสลิม แต่ชาวอินเดียและชาวจีน ซึ่งไม่ใช่ชาวบุมีปุตราจำเป็นต้องรับอิสลามเพื่อความอยู่รอด) และมาเลเซียได้ประกาศใช้กฎหมายชารีอาห์สำหรับมุสลิม รวมทั้งประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ
-
รัฐบาลพรรค UMNO ไม่สามารถทำให้มาเลเซียเป็นประเทศรัฐโลกวิสัยได้เหมือนกับหลายๆประเทศใน ASEAN ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากเขามองว่า เสรีภาพทางศาสนา จะทำให้รัฐบาลของพวกเขาสั่นคลอนได้ และอาจจะส่งผลไปถึงความมั่นคงของประเทศ ซึ่งแม้ว่ากฎหมายจะระบุให้ชาวมลายูมุสลิมเป็นชนพื้นเมืองและรับสิทธิ 100% แต่ผู้มีอำนาจทางการเงินส่วนใหญ่ ล้วนเป็นชาวจีนและอินเดีย การเปิดกว้างทางเสรีภาพคือสิ่งที่รัฐบาลพรรค UMNO มองว่าเป็นภัยต่อตนเอง แต่น่าขันสิ้นดี อินโดนีเซียเป็นรัฐโลกวิสัย แต่ประชาชนเกือบส่วนใหญ่ก็ยังเป็นมุสลิมเช่นเดิม และยังมีเสรีภาพการแสดงออก มีทุกสิ่งอย่างได้อย่างเต็มที่ จะเว้นเฉพาะกฎข้อสำคัญ (เช่น การรับประทานเนื้อหมู,เนื้อหมา การดื่มเหล้า และการพนัน) ทุกวันนี้อินโดนีเซียซึ่งเคยเป็นรัฐเผด็จการ กลับมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่มากกว่ามาเลเซียเสียอีก
-
แต่นั้นไม่เท่ากับสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารังเกียจรัฐบาลพรรค UMNO นั้นคือความพยายามในการเอาแผ่นดินไทยไปโดยอ้างเรื่องเชื้อชาติและศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแนบเนียน แนวคิดทางศาสนาอิสลามคือจุดอ่อนในการต่อต้าน "การล้างสมอง" จากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน พวกเขาสอนว่าสยามคือผู้กดขี่มลายู และพยายามทำลายอิสลาม และใช้หลักการจิฮัดเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้ายมุสลิมในประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ พวกเขาถึงกับไปร้องขอความเห็นใจต่อชาวมาเลย์ในแผ่นดินมาเลเซีย อาจจะดูเหมือนที่ชาวไทใหญ่ไปขอร้องและอาศัยกับชาวไทยในแผ่นดินไทย แต่ไม่เลย ไทใหญ่สู้เพราะถูกกดขี่จริงๆ แต่โจรมุสลิมมลายู สู้เพราะคิดว่าตัวเองสบายน้อยเกินไป (ทั้งๆที่ให้สิทธิพิเศษไปจนเยอะ)
-
ศักดิ์ศรีของชาวมลายูหายไปเมื่ออังกฤษครอบครองแหลมมลายู จากที่เราเคยใช้กริชดวลกันตัวต่อตัว เราเปลี่ยนมาคลุมหน้าคลุมตา ใช้ปืนฆ่าผู้บริสุทธิ์ ใช้ระเบิดสังหารทหาร บ่นทุกวันว่าพวกทหารรุกราน (ทั้งๆที่เขามาคุ้มครองป้องกันเพราะความโหดเหี้ยมจากพวกหมูตัวเมียพวกนี้ทั้งนั้น) ที่สำคัญ อ้างสิทธิ์ทุกวันว่า ภาคใต้นี้เคยเป็นของรัฐสุลต่านปาตานี (แต่ลืมไปเสียแล้วว่าก่อนมีอิสลาม ก็เป็นอาณาจักรพุทธมาก่อน)
-
इस्लाम मंगाजर उन्तुक ताकत, बुद्धा मंगाजर उन्तुक बेरटेनंग (ครอบครัวข้าพเจ้าใช้อักษรนี้เขียนแทนอักษรอาหรับกับอังกฤษ เป็นภาษามลายู)
ลูกหลาน "มาเลย์พุทธ" เล่าเรื่อง
-
ปู่ของข้าพเจ้า เคยเล่าว่า สมัยก่อน ท่านมีหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ในสุลต่านเกอดาห์ และนับถือศาสนาอิสลามกันมาหลายชั่วลูกหลานหลายศตวรรษ มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนของท่านพบกับพระสงฆ์ชาวทมิฬองค์หนึ่ง (ปกติชาวทมิฬจะนับถือศาสนาฮินดู แต่บ้างก็นับถือพุทธ) และตัวท่านเองก็อยากจะรู้คำสอนของพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงเข้าไปร่วมศึกษาด้วย โดยเจตนาตอนแรกนั้นเพียงแค่ต้องการศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่เมื่อฟังการเทศนามากเข้า กลับเกิดความเลื่อมใสศรัทธา อยากจะละทิ้งอิสลามไปเป็นชาวพุทธ เมื่อท่านกลับถึงบ้าน ท่านได้คุยเรื่องนี้ให้กับย่าฟัง ย่าเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและเกรงว่าญาติพี่น้องจะทะเลาะเบาะแว้งกันขนาดหนัก จึงขอร้องให้ปู่เลิกล้มความคิดไป ปู่จึงเลิกคิดไปแต่ก็ไม่นานนัก
-
เพื่อนของปู่ เมื่อพยายามเข้ารีตเป็นพุทธ กลับถูกญาติและเพื่อนบ้านต่อต้านอย่างหนัก และโดยกฎหมายของมาเลเซีย ห้ามมุสลิมเปลี่ยนศาสนา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจข้ามไปประเทศไทย เมื่อปู่เห็นเป็นเช่นนั้น จึงได้ตัดสินใจออกจากความเจริญทางหน้าที่การงาน เปลี่ยนศาสนา เข้ารีตเป็นพุทธ ใช้ชื่อภาษาไทย-บาลี พร้อมกับย่าซึ่งอุ้มท้องพ่ออยู่ ดังนั้นพ่อข้าพเจ้าจึงเกิดมามีสัญชาติไทยและนับถือศาสนาพุทธโดยสมบูรณ์แบบ ถึงกระนั้น ครอบครัวของเรากับครอบครัวของมาเลเซีย ซึ่งยังเป็นอิสลามอยู่ ได้ไปมาหาสู่กันอยู่ประจำ
-
รัฐบาลมาเลเซีย มีพรรค UMNO อันเป็นพรรคของชาวมลายูมุสลิม เป็นขั้วอำนาจอยู่มาตั้งแต่วันที่ประกาศเอกราชจนตอนนี้ แม้พรรค UMNO จะมีลักษณะค่อนข้างไปทางพรรคแนวรัฐโลกวิสัย แต่ก็เป็นพรรคที่เห็นความสำคัญของชนชาติมลายูและศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ ดังนั้นตลาดหลาย 60 ปีที่ผ่านมา พรรค UMNO จึงต้องควบคุมประชากรที่ไม่ใช่ชาวบุมีปุตรา (ภูมิบุตร/Bumiputra) อย่างเข้มงวด โดยสิทธิบางอย่างจะถูกจำกัดไว้เฉพาะชาวบุมีปุตรา ประชากรหลายล้านต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเพื่อรับสิทธิจากนโยบายนี้ (มาเลเซียไม่บังคับเปลี่ยนศาสนา และประชากรบุมีปุตราบางส่วนก็ไม่ใช่ชาวมุสลิม แต่ชาวอินเดียและชาวจีน ซึ่งไม่ใช่ชาวบุมีปุตราจำเป็นต้องรับอิสลามเพื่อความอยู่รอด) และมาเลเซียได้ประกาศใช้กฎหมายชารีอาห์สำหรับมุสลิม รวมทั้งประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ
-
รัฐบาลพรรค UMNO ไม่สามารถทำให้มาเลเซียเป็นประเทศรัฐโลกวิสัยได้เหมือนกับหลายๆประเทศใน ASEAN ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากเขามองว่า เสรีภาพทางศาสนา จะทำให้รัฐบาลของพวกเขาสั่นคลอนได้ และอาจจะส่งผลไปถึงความมั่นคงของประเทศ ซึ่งแม้ว่ากฎหมายจะระบุให้ชาวมลายูมุสลิมเป็นชนพื้นเมืองและรับสิทธิ 100% แต่ผู้มีอำนาจทางการเงินส่วนใหญ่ ล้วนเป็นชาวจีนและอินเดีย การเปิดกว้างทางเสรีภาพคือสิ่งที่รัฐบาลพรรค UMNO มองว่าเป็นภัยต่อตนเอง แต่น่าขันสิ้นดี อินโดนีเซียเป็นรัฐโลกวิสัย แต่ประชาชนเกือบส่วนใหญ่ก็ยังเป็นมุสลิมเช่นเดิม และยังมีเสรีภาพการแสดงออก มีทุกสิ่งอย่างได้อย่างเต็มที่ จะเว้นเฉพาะกฎข้อสำคัญ (เช่น การรับประทานเนื้อหมู,เนื้อหมา การดื่มเหล้า และการพนัน) ทุกวันนี้อินโดนีเซียซึ่งเคยเป็นรัฐเผด็จการ กลับมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่มากกว่ามาเลเซียเสียอีก
-
แต่นั้นไม่เท่ากับสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารังเกียจรัฐบาลพรรค UMNO นั้นคือความพยายามในการเอาแผ่นดินไทยไปโดยอ้างเรื่องเชื้อชาติและศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแนบเนียน แนวคิดทางศาสนาอิสลามคือจุดอ่อนในการต่อต้าน "การล้างสมอง" จากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน พวกเขาสอนว่าสยามคือผู้กดขี่มลายู และพยายามทำลายอิสลาม และใช้หลักการจิฮัดเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้ายมุสลิมในประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ พวกเขาถึงกับไปร้องขอความเห็นใจต่อชาวมาเลย์ในแผ่นดินมาเลเซีย อาจจะดูเหมือนที่ชาวไทใหญ่ไปขอร้องและอาศัยกับชาวไทยในแผ่นดินไทย แต่ไม่เลย ไทใหญ่สู้เพราะถูกกดขี่จริงๆ แต่โจรมุสลิมมลายู สู้เพราะคิดว่าตัวเองสบายน้อยเกินไป (ทั้งๆที่ให้สิทธิพิเศษไปจนเยอะ)
-
ศักดิ์ศรีของชาวมลายูหายไปเมื่ออังกฤษครอบครองแหลมมลายู จากที่เราเคยใช้กริชดวลกันตัวต่อตัว เราเปลี่ยนมาคลุมหน้าคลุมตา ใช้ปืนฆ่าผู้บริสุทธิ์ ใช้ระเบิดสังหารทหาร บ่นทุกวันว่าพวกทหารรุกราน (ทั้งๆที่เขามาคุ้มครองป้องกันเพราะความโหดเหี้ยมจากพวกหมูตัวเมียพวกนี้ทั้งนั้น) ที่สำคัญ อ้างสิทธิ์ทุกวันว่า ภาคใต้นี้เคยเป็นของรัฐสุลต่านปาตานี (แต่ลืมไปเสียแล้วว่าก่อนมีอิสลาม ก็เป็นอาณาจักรพุทธมาก่อน)
-
इस्लाम मंगाजर उन्तुक ताकत, बुद्धा मंगाजर उन्तुक बेरटेनंग (ครอบครัวข้าพเจ้าใช้อักษรนี้เขียนแทนอักษรอาหรับกับอังกฤษ เป็นภาษามลายู)