กว่าเวลา 14 ปีที่แฟน Coldplay ชาวไทยเฝ้ารอ หลังจากได้แค่ดูคลิป Live บน Youtube กันมานาน ในที่สุดฝันก็เป็นจริงเมื่อมีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ว่า Coldplay "A Head Full of Dreams" Live in Bangkok จะมีขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2017
Coldplay วงดนตรีจากเกาะอังกฤษที่ฟอร์มขึ้นในช่วง late 90's ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน Chris Martin นักร้องนำ, Jonny Buckland มือกีตาร์, Guy Berryman มือเบส และ Will Champion มือกลอง และบางครั้งอาจจะนับ Phil Harvey อดีตผู้จัดการซึ่งอยู่กับวงมาตั้งแต่เริ่มต้น Creative Director ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมาย ให้เป็นสมาชิกคนที่ 5 ของวงด้วยอีกคน
ส่วนตัวเป็นแฟน Coldplay ตั้งแต่ 8-9 ขวบแล้ว เรียกว่ากว่า 15 ปีที่รู้จักเพลง Yellow ครั้งแรกในร้านหนังสือ B2S และ In My Place ยังเป็นเพลงแห่งความหลังเพลงนึง เนื่องจากสมัยนั้นบ้านยังไม่มีเครื่องเล่น CD ตอนที่อยากลองแกะเพลงครั้งแรกเลยต้องวนเวียนฟังอยู่ใน B2S จนพนักงานจำหน้าได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนได้ยินว่า Coldplay จะมาแสดงในไทยจริงๆ จะดีใจแค่ไหน
ไม่ต้องใช้เวลาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะไป
และหลังจากตื่นมานั่งเฝ้าหน้าจอตั้งแต่เก้าโมงครึ่งในวันเปิดขายออนไลน์ หลังจากเฝ้ารออยู่หลายวันกว่าบัตรแข็งจะเริ่มแจกจ่ายให้ผู้ซื้อทางเว็บไซต์
ในที่สุดเราก็ได้บัตรมาอยู่ในมือ
ในวันจริงนั้น ตามกำหนดการแจ้งว่า ประตูจะเปิดให้เข้าตอน 17:00 น. แต่ก็มีคนมากมายไปนั่งรอต่อคิวกันตั้งแต่เช้า เราไปถึงประมาณบ่ายสามโมง แต่ก็พบว่าคิวยาวเหยียดซะแล้ว มีคนจากประเทศแถบอาเซียนอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียมากันคับคั่ง นอกจากนี้ยังมีคนจากประเทศอื่นๆ หลายประเทศทีเดียว
เวลา 20:00 น.ตรง Supporting Act ซึ่งเป็นนักร้องสาวจากออสเตรเลีย Jesse Kent ก็ขึ้นแสดงตรงเวลา ถือเป็นโชว์แก้เบื่อ พอให้คนดูเริ่มคึกคักกันขึ้นมาเล็กน้อยค่ะ
และในที่สุด 21:00 น. ตรง เสียงเพลง O Mio Babbino Caro ก็ดังขึ้น แฟนๆ ที่ดู Setlist ของประเทศอื่นมาล่วงหน้าต่างก็ทราบกันดีว่า Coldplay ใช้เพลงนี้ในการเปิดคอนเสิร์ต A Head Full of Dreams
เมื่อเพลงจบ VTR ก็ขึ้นบนจอ ตามด้วย Intro ซึ่งเป็น Speech ของ Charlie Chaplin และเมื่อแฟนๆ ช่วยกันนับถอยหลังจากสิบถึงหนึ่ง A Head Full of Dreams ก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับพลุที่ลอยสู่ท้องฟ้า เดิมทีตอนฟังเพลงนี้จาก CD ครั้งแรกเรารู้สึกเฉยๆ ค่ะ จนกระทั่งช่วงที่ทางวงประกาศแล้วจะมาไทย เราก็เปิดฟังบ่อยขึ้นจนเริ่มรู้สึกว่าเออ มันดีเหมือนกันนะ คราวนี้พอได้ฟังใน Live ของจริงแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋งกว่าในแผ่นหลายเท่าเลย
จากนั้นก็ตามด้วย Yellow เพลงดังของวงที่ทุกคนรอคอย ซึ่งจริงๆ ตอนแรกเราคิดว่าจะอัดแค่เพลงแรกเพลงเดียวเป็นที่ระลึก แต่พอเห็นว่าเป็น Yellow เลยอัดคลิปเก็บมาอีกเพลงนึงค่ะ
Look at the stars
Look how they shine for you
And everything you do
Yeah, they were all yellow
เสียงตะโกนร้องตามดังก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมกันนั้นแสงสีก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เช่นเดียวกับ Xyloband ที่ข้อมือของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองตามชื่อเพลง
หลังจากนั้นดนตรีก็คึกคักขึ้นใน Every Teardrop is a Waterfall ที่ทำให้ทุกคนกระโดดตาม ก่อนจะผ่อนลงด้วยทำนองหม่นๆ ของเพลงฮิตจาก A Rush of Blood To the Head อย่าง The Scientist โดยมีเสียงแฟนๆ ร้องตาม
Come up to meet you
Tell you I'm sorry
You don't know how lovely you are
ทว่าเพลงต่อมาอย่าง Birds นั้น ดูเหมือนเสียงจะเงียบไปเล็กน้อยเนื่องจากเป็นเพลงในอัลบั้มใหม่ เข้าใจว่าหลายๆ คนอาจจะฝึกมาไม่ทัน จำเนื้อร้องไม่ได้ หรือร้องตามไม่ทัน แต่โซนที่เรายืนอยู่ก็ยังมีคนที่ร้องได้ช่วยกันร้องตามประปราย โดยเฉพาะช่วงท่อนสุดท้ายที่เสียงดังมากค่ะ
When you fly won't you
Won't you take me too?
In this world so cruel
I think you're so cool
แต่วงก็ปลุกความคึกคักขึ้นมาอีกด้วยเพลงดังจากอัลบั้ม Mylo Xyloto อย่าง Paradise ที่แฟนๆ ช่วยกันร้องตามอย่างคึกคักตั้งแต่ท่อนผิวปาก ระหว่างนั้น Xyloband ก็กระพริบเป็นสีต่างๆ อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ปิดท้ายด้วย Paradise version remix ก่อนที่จะโยกย้ายไปเล่นบน B-Stage
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงพัก กับดนตรีฟุ้งๆ กับเสียงนุ่มๆ ของพี่คริสในเพลง Always in My Head และเพลงชวนโยกเบาๆ อย่าง Magic จากอัลบั้ม Ghost Stories ก่อนจะตามด้วยเสียงบรรเลงเปียโน กับเพลงซึ้งๆ อย่าง Everglow ซึ่งพี่ Chris บอกว่าขออุทิศเพลงนี้ให้พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ของชาวไทยค่ะ
Like brothers in blood, sisters who ride
Yeah, we swore on that night we'd be friends 'til we died
But the changing of winds
And the way waters flow
Life as short as the falling of snow
Now I'm gonna miss you, I know
ท่อนนี้ของเพลง Everglow เป็นท่อนที่เราชอบมากตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรก แต่ของจริงนั้นต้องบอกว่ามีพลังจริงๆ เรียกว่าทำเอาน้ำตาซึมเลยทีเดียว
จากนั้นวงก็กลับมาที่เวทีใหญ่อีกครั้งกับเสียงเปียโนที่นำเข้าสู่เพลง Clocks อีกเพลงที่เชื่อว่าทุกคนรู้จักดี แสงไฟตลอดจน Xyloband เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งสเตเดี้ยม ขณะเดียวกันบนจอที่จับภาพสมาชิกของวงก็แสดงแบบใช้เอฟเฟกต์เป็นเส้นๆ เหมือนกระแสของเวลา
และหลังจาก Midnight กับเสียงดนตรีลอยๆ ครึ่งเพลง ก็มาถึงอีกเพลงที่หลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตาคอย กับ Charlie Brown ในเพลงนี้คริสบอกผ่านไมค์ให้ทุกคนเอาโทรศัพท์ลงแล้วยกมือขึ้น (Phones down, hands up) ถึงกับขอว่าแค่เพลงเดียว น่าเสียดายว่ายังมีคนบางคนไม่ยอมหยุดถ่าย แต่เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นแทบทุกคนก็พร้อมใจกันกระโดด ในเพลงนี้ Xyloband เปลี่ยนเป็นหลากสีกระพริบไปมาตามจังหวะดนตรี เรียกว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ
โดยเฉพาะท่อน
We'll run riot
We'll glowing in the dark
ตามด้วยเสียงดนตรี แสงสี และ Xyloband เชื่อว่าสำหรับแฟนๆ ที่เฝ้ารอ การที่ได้เป็นส่วนร่วมในคอนเสิร์ต ได้ "Glowing in the Dark" แบบในเนื้อเพลงมันเป็นความรู้สึกที่เกินบรรยายจริงๆ
ความคึกคักยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องใน Hymn For the Weekend ซึ่งดูเหมือนแฟนๆ จะพากันร้องตามตั้งแต่ท่อนอินโทรเลยทีเดียว จากนั้นก็เข้าสู่เพลงซึ่งนับว่าเป็นสุดยอดอีกเพลงของ Coldplay ที่ทำเอาแฟนๆ หลายคนรวมทั้งเราถึงกับน้ำตาคลอ ทุกคนพากันประสานเสียง
When you try your best but you don't succeed
When you get what you want but not what you need
โดยเฉพาะในท่อนฮุคของ Fix You ที่เสียงดังก้องไปทั่วสเตเดี้ยม เช่นเดียวกับแสง Xyloband ที่สว่างไสวไปทั่วสเตเดี้ยมตามเนื้อร้องที่ว่า
Lights will guide you home
And ignite your bones
And I will try to fix you
ในเพลง Hero ซึ่งเป็นเพลง Cover ของศิลปินผู้ล่วงลับ David Bowie นั้น ดูเหมือนเสียงแฟนๆ จะเงียบไปบ้างเล็กน้อย แต่ ณ จุดที่เรายืนอยู่จะมีเสียงตะโกนตามตลอดไม่หยุด โดยเฉพาะท่อนในตำนานอย่าง
- We can be heroes just for one day
และเมื่อ Will ลุกออกจากกลองชุดมาประจำหน้าเวที ก็เหมือนทุกคนจะรู้ทันทีว่าเพลงต่อไปคืออะไรโดยไม่ต้องเหลือบดู Setlist เมื่อจังหวะกลองอันคุ้นเคยดังขึ้น เสียงตะโกน โหว่โวโว้โวโว ก็ตามมา ทุกคนพร้อมใจกันกระโดดตามจังหวะในเพลง Viva la Vida ที่ Live Performance ของจริงนั้นมีพลังจนน่าขนลุก
เมื่อจบเพลงเสียงหลีดกีตาร์ของเพลง Adventure of A Lifetime ก็ดังขึ้น ในเพลงนี้มีการปล่อยบอลลูนสีออกมาให้แฟนๆ เล่น ขณะเดียวกันเอฟเฟกต์บนจอใหญ่ก็ฉายเป็นภาพลิงเต้นตามจังหวะเพลง และในระหว่างเพลง Chris ก็บอกให้ทุกคนย่อตัวลง (Everybody goes down) และหลังจากนับ 1 2 3 4 ทุกคนก็กระโดดขึ้นพร้อมกันค่ะ
เปลี่ยนบรรยากาศไปที่ Stage ย่อยอีกรอบวงได้เล่นเพลงแห่งความหลังของใครหลายคนรวมทั้งเรา อย่าง In My Place ในเวอร์ชั่น Acoustic ทุกคนพากันโยกตามตั้งแต่ได้ยินเสียงดนตรี แต๊ง แต๊ง แต่แดแด่แด แต๊ง แต๊ง ในช่วงแรกของเพลงนี้เสียงร้องดูเหมือนจะเบาบางไปบ้าง ก่อนจะดังขึ้นมาในท่อน
Yeah, how long must you wait for it?
Yeah, how long must you pay for it?
ช่วงพักคุยเบาๆ พี่ Chris ได้แนะนำสมาชิกในวงรายคนพร้อมกับบอกขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี หลายอย่างทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าพี่ Chris เป็นคนไนซ์มากจริงๆ พี่คริสบอกว่า Jonny เป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุด แล้วตอนแนะนำ Guy มีการพร่ำพรรณาถึงความเพอร์เฟกต์แมนของพี่กาย พี่กายหน้าตาดีประหนึ่งรูปสลัก กายบอยแบนด์วันไดเรคชั่น ทำเอาเจ้าตัวลูบจมูกเขินๆ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารักมาก!
และในเพลงถัดมา พี่ Chris ก็เปลี่ยนบรรยากาศโดยบอกว่า Jonny กับ Will จะร้องให้พวกเราฟังค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่าเพลง Don't Panic เวอร์ชั่น Acoustic เป็นอะไรที่ดีงามมากๆ เป็นอีกเพลงที่เราชอบเป็นการส่วนตัว และเป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงที่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวง เป็นเพลงที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ EP แรกสุด และต้องบอกเลยว่าพี่ Will กับพี่ Jonny เสียงเพราะจนหลายๆ คนถึงกับว้าว
ระหว่างนี้ดูเหมือนเสียงคนเหมือนเริ่มจะเบาไปบ้างเนื่องจากหลายๆ คนเริ่มคอแหบกันแล้วหลังจากตะโกนมากว่าชั่วโมง แต่ยังได้ยินเสียงตะโกนมาเป็นระยะอยู่ว่า
- We live in a beautiful world
ในส่วนของของเวทีย่อย ซึ่งเหมือนจะเป็นช่วงพักอารมณ์เบาๆ นั้น ปิดท้ายด้วย 'Till Kingdom Come ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงสวดในโบสถ์ และเป็นเพลงจากอัลบั้มที่สาม X&Y โดยทางวงเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นอัลบั้มที่ถือเป็นช่วงยากลำบาก ทั้งในระหว่างการทำอัลบั้ม ที่พวกเขาบอกว่าไม่ค่อยราบลื่นนักและผลตอบรับจากนักวิจารณ์สมัยนั้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดี น่าแปลกว่าหลังจากเวลาผ่านไป หลายๆ เพลงจากในอัลบั้มนี้กลายมาเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ กันค่ะ ทั้ง What If, Speed of Sound, The Hardest Part รวมถึงเพลงดังอย่าง Fix You
เมื่อกลับมาที่เวทีใหญ่อีกครั้ง พวกเขาก็ปลุกบรรยากาศด้วยเพลงใหม่อย่าง Something Just Like This ที่เสียงร้องดังไม่แพ้เพลงฮิตๆ เพราะมี Lyric Video เปิดขึ้นจอใหญ่ให้พร้อม แม้แฟนๆ คนไหนจะจำเนื้อร้องก็สามารถร้องได้ด้วยประการฉะนี้ (ฮา)
ความคึกคักยังคงดำเนินต่อเนื่องไปถึง A Sky Full of Stars ก่อนจะปิดท้ายคอนเสิร์ตแบบน่าประทับใจด้วยเพลงฮิตจากอัลบั้มล่าสุด A Head Full of Dreams อย่าง Up & Up ที่ทุกคนพร้อมใจกันตะโกนร้องตาม
Fixing up a car to drive in it again
When you're in pain, when you think you've had enough
Don't ever give up
แม้จะขาดเพลงโปรดเราหายไปหลายรายการ ทั้ง See You Soon, What If, The Hardest Part, Strawberry Swing, Miracles รวมถึง Amazing Day แต่นี่ก็นับเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่เราคงไม่มีทางลืม ทั้งเสียงดนตรี บรรยากาศที่โอบล้อมสเตเดี้ยม เสียงของ Chris ที่ร้องสดตลอดสองชั่วโมงดีไม่มีตก และดึงให้เราซาบซึ้งถึงอารมณ์ในเพลงช้า เสียงร้องจากแฟนๆ ที่ดังสนั่น และเอฟเฟกต์แสงสีตระการตา
เรียกว่าเป็นวันที่ฝันเป็นจริงหลังจากรอคอยมากว่า 15 สิบปี เพราะคอนเสิร์ตปี 2003 เราไม่สามารถไปได้เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เราได้ชมการแสดงของวงที่ตามมาเป็นสิบปีกับตาตัวเอง ซึ่งก็ทำให้เราประทับใจมากจริงๆ หลังจากกลับมาถึงบ้านก็ยังคงนั่งเปิดคลิปคอนเสิร์ตจากหลายๆ มุมวนไปวนมา และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนกัน
ท้ายที่สุดนี้ พี่ Chris ยังบอกว่าชอบประเทศไทยมาก และอาจจะกลับมาที่นี่เร็วๆ นี้ ก็หวังว่าทัวร์คอนเสิร์ตคราวหน้าและครั้งต่อๆ ไป จะมีชื่อ Bangkok อยู่ในจุดหมายปลายทางของ Coldplay เสมอนะคะ
==== Coldplay "A Head Full of Dreams Tour" Live in Bangkok 2017 ====
Coldplay วงดนตรีจากเกาะอังกฤษที่ฟอร์มขึ้นในช่วง late 90's ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน Chris Martin นักร้องนำ, Jonny Buckland มือกีตาร์, Guy Berryman มือเบส และ Will Champion มือกลอง และบางครั้งอาจจะนับ Phil Harvey อดีตผู้จัดการซึ่งอยู่กับวงมาตั้งแต่เริ่มต้น Creative Director ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมาย ให้เป็นสมาชิกคนที่ 5 ของวงด้วยอีกคน
ส่วนตัวเป็นแฟน Coldplay ตั้งแต่ 8-9 ขวบแล้ว เรียกว่ากว่า 15 ปีที่รู้จักเพลง Yellow ครั้งแรกในร้านหนังสือ B2S และ In My Place ยังเป็นเพลงแห่งความหลังเพลงนึง เนื่องจากสมัยนั้นบ้านยังไม่มีเครื่องเล่น CD ตอนที่อยากลองแกะเพลงครั้งแรกเลยต้องวนเวียนฟังอยู่ใน B2S จนพนักงานจำหน้าได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนได้ยินว่า Coldplay จะมาแสดงในไทยจริงๆ จะดีใจแค่ไหน
ไม่ต้องใช้เวลาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะไป
และหลังจากตื่นมานั่งเฝ้าหน้าจอตั้งแต่เก้าโมงครึ่งในวันเปิดขายออนไลน์ หลังจากเฝ้ารออยู่หลายวันกว่าบัตรแข็งจะเริ่มแจกจ่ายให้ผู้ซื้อทางเว็บไซต์
ในที่สุดเราก็ได้บัตรมาอยู่ในมือ
ในวันจริงนั้น ตามกำหนดการแจ้งว่า ประตูจะเปิดให้เข้าตอน 17:00 น. แต่ก็มีคนมากมายไปนั่งรอต่อคิวกันตั้งแต่เช้า เราไปถึงประมาณบ่ายสามโมง แต่ก็พบว่าคิวยาวเหยียดซะแล้ว มีคนจากประเทศแถบอาเซียนอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียมากันคับคั่ง นอกจากนี้ยังมีคนจากประเทศอื่นๆ หลายประเทศทีเดียว
เวลา 20:00 น.ตรง Supporting Act ซึ่งเป็นนักร้องสาวจากออสเตรเลีย Jesse Kent ก็ขึ้นแสดงตรงเวลา ถือเป็นโชว์แก้เบื่อ พอให้คนดูเริ่มคึกคักกันขึ้นมาเล็กน้อยค่ะ
และในที่สุด 21:00 น. ตรง เสียงเพลง O Mio Babbino Caro ก็ดังขึ้น แฟนๆ ที่ดู Setlist ของประเทศอื่นมาล่วงหน้าต่างก็ทราบกันดีว่า Coldplay ใช้เพลงนี้ในการเปิดคอนเสิร์ต A Head Full of Dreams
เมื่อเพลงจบ VTR ก็ขึ้นบนจอ ตามด้วย Intro ซึ่งเป็น Speech ของ Charlie Chaplin และเมื่อแฟนๆ ช่วยกันนับถอยหลังจากสิบถึงหนึ่ง A Head Full of Dreams ก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับพลุที่ลอยสู่ท้องฟ้า เดิมทีตอนฟังเพลงนี้จาก CD ครั้งแรกเรารู้สึกเฉยๆ ค่ะ จนกระทั่งช่วงที่ทางวงประกาศแล้วจะมาไทย เราก็เปิดฟังบ่อยขึ้นจนเริ่มรู้สึกว่าเออ มันดีเหมือนกันนะ คราวนี้พอได้ฟังใน Live ของจริงแล้วรู้สึกว่ามันเจ๋งกว่าในแผ่นหลายเท่าเลย
จากนั้นก็ตามด้วย Yellow เพลงดังของวงที่ทุกคนรอคอย ซึ่งจริงๆ ตอนแรกเราคิดว่าจะอัดแค่เพลงแรกเพลงเดียวเป็นที่ระลึก แต่พอเห็นว่าเป็น Yellow เลยอัดคลิปเก็บมาอีกเพลงนึงค่ะ
Look at the stars
Look how they shine for you
And everything you do
Yeah, they were all yellow
เสียงตะโกนร้องตามดังก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมกันนั้นแสงสีก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เช่นเดียวกับ Xyloband ที่ข้อมือของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองตามชื่อเพลง
หลังจากนั้นดนตรีก็คึกคักขึ้นใน Every Teardrop is a Waterfall ที่ทำให้ทุกคนกระโดดตาม ก่อนจะผ่อนลงด้วยทำนองหม่นๆ ของเพลงฮิตจาก A Rush of Blood To the Head อย่าง The Scientist โดยมีเสียงแฟนๆ ร้องตาม
Come up to meet you
Tell you I'm sorry
You don't know how lovely you are
ทว่าเพลงต่อมาอย่าง Birds นั้น ดูเหมือนเสียงจะเงียบไปเล็กน้อยเนื่องจากเป็นเพลงในอัลบั้มใหม่ เข้าใจว่าหลายๆ คนอาจจะฝึกมาไม่ทัน จำเนื้อร้องไม่ได้ หรือร้องตามไม่ทัน แต่โซนที่เรายืนอยู่ก็ยังมีคนที่ร้องได้ช่วยกันร้องตามประปราย โดยเฉพาะช่วงท่อนสุดท้ายที่เสียงดังมากค่ะ
When you fly won't you
Won't you take me too?
In this world so cruel
I think you're so cool
แต่วงก็ปลุกความคึกคักขึ้นมาอีกด้วยเพลงดังจากอัลบั้ม Mylo Xyloto อย่าง Paradise ที่แฟนๆ ช่วยกันร้องตามอย่างคึกคักตั้งแต่ท่อนผิวปาก ระหว่างนั้น Xyloband ก็กระพริบเป็นสีต่างๆ อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ปิดท้ายด้วย Paradise version remix ก่อนที่จะโยกย้ายไปเล่นบน B-Stage
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงพัก กับดนตรีฟุ้งๆ กับเสียงนุ่มๆ ของพี่คริสในเพลง Always in My Head และเพลงชวนโยกเบาๆ อย่าง Magic จากอัลบั้ม Ghost Stories ก่อนจะตามด้วยเสียงบรรเลงเปียโน กับเพลงซึ้งๆ อย่าง Everglow ซึ่งพี่ Chris บอกว่าขออุทิศเพลงนี้ให้พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ของชาวไทยค่ะ
Like brothers in blood, sisters who ride
Yeah, we swore on that night we'd be friends 'til we died
But the changing of winds
And the way waters flow
Life as short as the falling of snow
Now I'm gonna miss you, I know
ท่อนนี้ของเพลง Everglow เป็นท่อนที่เราชอบมากตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรก แต่ของจริงนั้นต้องบอกว่ามีพลังจริงๆ เรียกว่าทำเอาน้ำตาซึมเลยทีเดียว
จากนั้นวงก็กลับมาที่เวทีใหญ่อีกครั้งกับเสียงเปียโนที่นำเข้าสู่เพลง Clocks อีกเพลงที่เชื่อว่าทุกคนรู้จักดี แสงไฟตลอดจน Xyloband เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งสเตเดี้ยม ขณะเดียวกันบนจอที่จับภาพสมาชิกของวงก็แสดงแบบใช้เอฟเฟกต์เป็นเส้นๆ เหมือนกระแสของเวลา
และหลังจาก Midnight กับเสียงดนตรีลอยๆ ครึ่งเพลง ก็มาถึงอีกเพลงที่หลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตาคอย กับ Charlie Brown ในเพลงนี้คริสบอกผ่านไมค์ให้ทุกคนเอาโทรศัพท์ลงแล้วยกมือขึ้น (Phones down, hands up) ถึงกับขอว่าแค่เพลงเดียว น่าเสียดายว่ายังมีคนบางคนไม่ยอมหยุดถ่าย แต่เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นแทบทุกคนก็พร้อมใจกันกระโดด ในเพลงนี้ Xyloband เปลี่ยนเป็นหลากสีกระพริบไปมาตามจังหวะดนตรี เรียกว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ
โดยเฉพาะท่อน
We'll run riot
We'll glowing in the dark
ตามด้วยเสียงดนตรี แสงสี และ Xyloband เชื่อว่าสำหรับแฟนๆ ที่เฝ้ารอ การที่ได้เป็นส่วนร่วมในคอนเสิร์ต ได้ "Glowing in the Dark" แบบในเนื้อเพลงมันเป็นความรู้สึกที่เกินบรรยายจริงๆ
ความคึกคักยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องใน Hymn For the Weekend ซึ่งดูเหมือนแฟนๆ จะพากันร้องตามตั้งแต่ท่อนอินโทรเลยทีเดียว จากนั้นก็เข้าสู่เพลงซึ่งนับว่าเป็นสุดยอดอีกเพลงของ Coldplay ที่ทำเอาแฟนๆ หลายคนรวมทั้งเราถึงกับน้ำตาคลอ ทุกคนพากันประสานเสียง
When you try your best but you don't succeed
When you get what you want but not what you need
โดยเฉพาะในท่อนฮุคของ Fix You ที่เสียงดังก้องไปทั่วสเตเดี้ยม เช่นเดียวกับแสง Xyloband ที่สว่างไสวไปทั่วสเตเดี้ยมตามเนื้อร้องที่ว่า
Lights will guide you home
And ignite your bones
And I will try to fix you
ในเพลง Hero ซึ่งเป็นเพลง Cover ของศิลปินผู้ล่วงลับ David Bowie นั้น ดูเหมือนเสียงแฟนๆ จะเงียบไปบ้างเล็กน้อย แต่ ณ จุดที่เรายืนอยู่จะมีเสียงตะโกนตามตลอดไม่หยุด โดยเฉพาะท่อนในตำนานอย่าง
- We can be heroes just for one day
และเมื่อ Will ลุกออกจากกลองชุดมาประจำหน้าเวที ก็เหมือนทุกคนจะรู้ทันทีว่าเพลงต่อไปคืออะไรโดยไม่ต้องเหลือบดู Setlist เมื่อจังหวะกลองอันคุ้นเคยดังขึ้น เสียงตะโกน โหว่โวโว้โวโว ก็ตามมา ทุกคนพร้อมใจกันกระโดดตามจังหวะในเพลง Viva la Vida ที่ Live Performance ของจริงนั้นมีพลังจนน่าขนลุก
เมื่อจบเพลงเสียงหลีดกีตาร์ของเพลง Adventure of A Lifetime ก็ดังขึ้น ในเพลงนี้มีการปล่อยบอลลูนสีออกมาให้แฟนๆ เล่น ขณะเดียวกันเอฟเฟกต์บนจอใหญ่ก็ฉายเป็นภาพลิงเต้นตามจังหวะเพลง และในระหว่างเพลง Chris ก็บอกให้ทุกคนย่อตัวลง (Everybody goes down) และหลังจากนับ 1 2 3 4 ทุกคนก็กระโดดขึ้นพร้อมกันค่ะ
เปลี่ยนบรรยากาศไปที่ Stage ย่อยอีกรอบวงได้เล่นเพลงแห่งความหลังของใครหลายคนรวมทั้งเรา อย่าง In My Place ในเวอร์ชั่น Acoustic ทุกคนพากันโยกตามตั้งแต่ได้ยินเสียงดนตรี แต๊ง แต๊ง แต่แดแด่แด แต๊ง แต๊ง ในช่วงแรกของเพลงนี้เสียงร้องดูเหมือนจะเบาบางไปบ้าง ก่อนจะดังขึ้นมาในท่อน
Yeah, how long must you wait for it?
Yeah, how long must you pay for it?
ช่วงพักคุยเบาๆ พี่ Chris ได้แนะนำสมาชิกในวงรายคนพร้อมกับบอกขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี หลายอย่างทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าพี่ Chris เป็นคนไนซ์มากจริงๆ พี่คริสบอกว่า Jonny เป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุด แล้วตอนแนะนำ Guy มีการพร่ำพรรณาถึงความเพอร์เฟกต์แมนของพี่กาย พี่กายหน้าตาดีประหนึ่งรูปสลัก กายบอยแบนด์วันไดเรคชั่น ทำเอาเจ้าตัวลูบจมูกเขินๆ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารักมาก!
และในเพลงถัดมา พี่ Chris ก็เปลี่ยนบรรยากาศโดยบอกว่า Jonny กับ Will จะร้องให้พวกเราฟังค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่าเพลง Don't Panic เวอร์ชั่น Acoustic เป็นอะไรที่ดีงามมากๆ เป็นอีกเพลงที่เราชอบเป็นการส่วนตัว และเป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงที่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวง เป็นเพลงที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ EP แรกสุด และต้องบอกเลยว่าพี่ Will กับพี่ Jonny เสียงเพราะจนหลายๆ คนถึงกับว้าว
ระหว่างนี้ดูเหมือนเสียงคนเหมือนเริ่มจะเบาไปบ้างเนื่องจากหลายๆ คนเริ่มคอแหบกันแล้วหลังจากตะโกนมากว่าชั่วโมง แต่ยังได้ยินเสียงตะโกนมาเป็นระยะอยู่ว่า
- We live in a beautiful world
ในส่วนของของเวทีย่อย ซึ่งเหมือนจะเป็นช่วงพักอารมณ์เบาๆ นั้น ปิดท้ายด้วย 'Till Kingdom Come ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงสวดในโบสถ์ และเป็นเพลงจากอัลบั้มที่สาม X&Y โดยทางวงเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นอัลบั้มที่ถือเป็นช่วงยากลำบาก ทั้งในระหว่างการทำอัลบั้ม ที่พวกเขาบอกว่าไม่ค่อยราบลื่นนักและผลตอบรับจากนักวิจารณ์สมัยนั้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดี น่าแปลกว่าหลังจากเวลาผ่านไป หลายๆ เพลงจากในอัลบั้มนี้กลายมาเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ กันค่ะ ทั้ง What If, Speed of Sound, The Hardest Part รวมถึงเพลงดังอย่าง Fix You
เมื่อกลับมาที่เวทีใหญ่อีกครั้ง พวกเขาก็ปลุกบรรยากาศด้วยเพลงใหม่อย่าง Something Just Like This ที่เสียงร้องดังไม่แพ้เพลงฮิตๆ เพราะมี Lyric Video เปิดขึ้นจอใหญ่ให้พร้อม แม้แฟนๆ คนไหนจะจำเนื้อร้องก็สามารถร้องได้ด้วยประการฉะนี้ (ฮา)
ความคึกคักยังคงดำเนินต่อเนื่องไปถึง A Sky Full of Stars ก่อนจะปิดท้ายคอนเสิร์ตแบบน่าประทับใจด้วยเพลงฮิตจากอัลบั้มล่าสุด A Head Full of Dreams อย่าง Up & Up ที่ทุกคนพร้อมใจกันตะโกนร้องตาม
Fixing up a car to drive in it again
When you're in pain, when you think you've had enough
Don't ever give up
แม้จะขาดเพลงโปรดเราหายไปหลายรายการ ทั้ง See You Soon, What If, The Hardest Part, Strawberry Swing, Miracles รวมถึง Amazing Day แต่นี่ก็นับเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่เราคงไม่มีทางลืม ทั้งเสียงดนตรี บรรยากาศที่โอบล้อมสเตเดี้ยม เสียงของ Chris ที่ร้องสดตลอดสองชั่วโมงดีไม่มีตก และดึงให้เราซาบซึ้งถึงอารมณ์ในเพลงช้า เสียงร้องจากแฟนๆ ที่ดังสนั่น และเอฟเฟกต์แสงสีตระการตา
เรียกว่าเป็นวันที่ฝันเป็นจริงหลังจากรอคอยมากว่า 15 สิบปี เพราะคอนเสิร์ตปี 2003 เราไม่สามารถไปได้เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เราได้ชมการแสดงของวงที่ตามมาเป็นสิบปีกับตาตัวเอง ซึ่งก็ทำให้เราประทับใจมากจริงๆ หลังจากกลับมาถึงบ้านก็ยังคงนั่งเปิดคลิปคอนเสิร์ตจากหลายๆ มุมวนไปวนมา และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนกัน
ท้ายที่สุดนี้ พี่ Chris ยังบอกว่าชอบประเทศไทยมาก และอาจจะกลับมาที่นี่เร็วๆ นี้ ก็หวังว่าทัวร์คอนเสิร์ตคราวหน้าและครั้งต่อๆ ไป จะมีชื่อ Bangkok อยู่ในจุดหมายปลายทางของ Coldplay เสมอนะคะ