คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
สวัสดีค่ะคุณลุง
ประโยคนี้ของคุณลุง ...การที่ห้ามแตะเรื่องการเมืองนี้เองทำให้สมองส่วนที่จะติดเรื่องนี้แฟบลงอย่างน่าใจหาย..
เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ การที่เราขาดเสรีภาพในการแสดงความเห็น เพราะมันจะผิด กม.หรือศีลธรรมอันดีไปทั้งสิ้น ต่อไปสังคมคงจะกลายเป็นเคยชินกับการอยู่ในที่จำกัด นักคิด นักเขียนทั้งหลายจะเป็นยังไง ทำให้นึกถึงเรื่องเท้าดอกบัวที่เคยเขียนไว้ค่ะ https://ppantip.com/topic/34235266
ในสมัยก่อนเมืองจีนมีค่านิยมว่าเด็กหญิงต้องมัดเท้า ที่เรียก "เท้าดอกบัว" เพราะเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กคือยิ่งสวย จะมีคนมาสู่ขอ ส่วนหญิงชาวบ้านต้องทำมาหากิน หากมัดเท้าจะเดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นกลายเป็นว่าใครอยากให้ลูกสาวเป็นที่เชิดหน้าชูตาสังคมก็ต้องจับมัดเท้า
กว่ารูปเท้าจะได้รูปทรงที่ต้องการ ต้องถอดเล็บ หักกระดูก บางรายติดเชื้อ ต้องตัดนิ้วเท้าทิ้ง เป็นค่านิยมที่ทำร้ายหญิงสาวมาก
ตอนญี่ปุ่นเข้ามารุกรานจีน หญิงชาวจีนส่วนใหญ่ต้องถูกข่มขืนบ้าง ฆ่าตายบ้าง ก็เนื่องมาจากเท้าดอกบัวทองสองข้างนี้แหละ ที่ทำให้เธอแม้แต่เดินก็ยังเดินไม่ได้ เรื่องจะวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดก็ลืมไปได้เลย โชคดีปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวหมดสิ้นไปแล้ว
เรื่องเท้าดอกบัว หากนำมาเปรียบเทียบกับการถูกพันธนาการในปัจจุบัน พอจะเทียบเคียงได้ว่า
1. ในยุคสมัยหนึ่งที่มีความเชื่อว่าสตรีหากต้องการมีอนาคตที่ดี เป็นที่เชิดหน้าชูตาในสังคม ต้องมีเท้าที่เล็ก ต้องหักกระดูกทนทุกข์กับความเจ็บปวดเพียงเพราะความกดดันทางสังคม แล้ววันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป หากถามคงไม่มีใครคิดแบบนั้นแน่ๆ
แล้วทำไมปัจจุบันคนบางกลุ่มกลับยินดีถูกพันธนาการ บีบรัดสิทธิของตัวเอง เพียงเพราะต้องการอยู่ในกระแส อยากได้รับการยอมรับว่าเป็นพวกที่เรียกตัวเองว่าคนดี
2. เด็กหญิงต้องทนทุกข์ แรกๆ เจ็บปวดเจียนตาย เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดเริ่มกลายเป็นความเคยชิน เท้าคงสภาพไม่โตอีกต่อไป แต่ในบั้นปลายสตรีเหล่านั้นไม่สามารถทำงาน หรือเดินเหินได้อย่างปกติ ไม่แม้แต่วิ่งหนีเอาตัวรอด
แล้วทุกวันนี้ที่เราไม่สามารถพูดหรือออกความคิดเห็นได้มากนักเพราะจะผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป จะทำให้สังคมเราเคยชินกับการงดการแสดงออกหรือไม่ ในบั้นปลายสังคมเราจะเป็นอย่างไร เมื่อนักคิด นักวิเคราะห์ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ขาดอิสระ
3. ค่านิยมในยุคหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชมอย่างสูง แต่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความอับอาย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่บางคนชื่นชมโดยค้านสายตาคนส่วนมากในวันนี้ วันหน้าจะได้รับมุมมองเช่นไร
4. ความงามที่แท้จริงคือความงามตามธรรมชาติและคุณค่าทางจิตใจ การฝืนธรรมชาติอย่างโหดร้ายสุดท้ายจะทิ้งไว้แต่ความเจ็บปวด
ความสวยงามของประชาธิปไตยคือการได้แสดงออกอย่างเสรี ที่ไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น ต้องเคารพ กฎ กติกา ของสังคม
ประโยคนี้ของคุณลุง ...การที่ห้ามแตะเรื่องการเมืองนี้เองทำให้สมองส่วนที่จะติดเรื่องนี้แฟบลงอย่างน่าใจหาย..
เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ การที่เราขาดเสรีภาพในการแสดงความเห็น เพราะมันจะผิด กม.หรือศีลธรรมอันดีไปทั้งสิ้น ต่อไปสังคมคงจะกลายเป็นเคยชินกับการอยู่ในที่จำกัด นักคิด นักเขียนทั้งหลายจะเป็นยังไง ทำให้นึกถึงเรื่องเท้าดอกบัวที่เคยเขียนไว้ค่ะ https://ppantip.com/topic/34235266
ในสมัยก่อนเมืองจีนมีค่านิยมว่าเด็กหญิงต้องมัดเท้า ที่เรียก "เท้าดอกบัว" เพราะเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กคือยิ่งสวย จะมีคนมาสู่ขอ ส่วนหญิงชาวบ้านต้องทำมาหากิน หากมัดเท้าจะเดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นกลายเป็นว่าใครอยากให้ลูกสาวเป็นที่เชิดหน้าชูตาสังคมก็ต้องจับมัดเท้า
กว่ารูปเท้าจะได้รูปทรงที่ต้องการ ต้องถอดเล็บ หักกระดูก บางรายติดเชื้อ ต้องตัดนิ้วเท้าทิ้ง เป็นค่านิยมที่ทำร้ายหญิงสาวมาก
ตอนญี่ปุ่นเข้ามารุกรานจีน หญิงชาวจีนส่วนใหญ่ต้องถูกข่มขืนบ้าง ฆ่าตายบ้าง ก็เนื่องมาจากเท้าดอกบัวทองสองข้างนี้แหละ ที่ทำให้เธอแม้แต่เดินก็ยังเดินไม่ได้ เรื่องจะวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดก็ลืมไปได้เลย โชคดีปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวหมดสิ้นไปแล้ว
เรื่องเท้าดอกบัว หากนำมาเปรียบเทียบกับการถูกพันธนาการในปัจจุบัน พอจะเทียบเคียงได้ว่า
1. ในยุคสมัยหนึ่งที่มีความเชื่อว่าสตรีหากต้องการมีอนาคตที่ดี เป็นที่เชิดหน้าชูตาในสังคม ต้องมีเท้าที่เล็ก ต้องหักกระดูกทนทุกข์กับความเจ็บปวดเพียงเพราะความกดดันทางสังคม แล้ววันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป หากถามคงไม่มีใครคิดแบบนั้นแน่ๆ
แล้วทำไมปัจจุบันคนบางกลุ่มกลับยินดีถูกพันธนาการ บีบรัดสิทธิของตัวเอง เพียงเพราะต้องการอยู่ในกระแส อยากได้รับการยอมรับว่าเป็นพวกที่เรียกตัวเองว่าคนดี
2. เด็กหญิงต้องทนทุกข์ แรกๆ เจ็บปวดเจียนตาย เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดเริ่มกลายเป็นความเคยชิน เท้าคงสภาพไม่โตอีกต่อไป แต่ในบั้นปลายสตรีเหล่านั้นไม่สามารถทำงาน หรือเดินเหินได้อย่างปกติ ไม่แม้แต่วิ่งหนีเอาตัวรอด
แล้วทุกวันนี้ที่เราไม่สามารถพูดหรือออกความคิดเห็นได้มากนักเพราะจะผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป จะทำให้สังคมเราเคยชินกับการงดการแสดงออกหรือไม่ ในบั้นปลายสังคมเราจะเป็นอย่างไร เมื่อนักคิด นักวิเคราะห์ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ขาดอิสระ
3. ค่านิยมในยุคหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชมอย่างสูง แต่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความอับอาย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่บางคนชื่นชมโดยค้านสายตาคนส่วนมากในวันนี้ วันหน้าจะได้รับมุมมองเช่นไร
4. ความงามที่แท้จริงคือความงามตามธรรมชาติและคุณค่าทางจิตใจ การฝืนธรรมชาติอย่างโหดร้ายสุดท้ายจะทิ้งไว้แต่ความเจ็บปวด
ความสวยงามของประชาธิปไตยคือการได้แสดงออกอย่างเสรี ที่ไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น ต้องเคารพ กฎ กติกา ของสังคม
แสดงความคิดเห็น
อีกเมื่อไร ราชดำเนินแบบนั้นจะกลับมา...?/คนอุบล
เพราะมีคนจำพวกหนึ่งชอบคิดชอบลอง..
ตั้งแต่ยุคอาร์คีมีดิส,กาลิเลโอ,จนมาถึงสตีฟ จ๊อป....
ทำให้โลกเราพัฒนามาจนถึงปีจจุบันที่เป็นโลกไร้พรมแดน 10ปีที่แล้วใครจะเชื่อว่าเราจะสามารถคุยข้ามประเทศด้วยราคาแสนถูก...
ใครจะคิดว่าทุกวันนี้การสื่อสารไม่ได้มีแค่ในโลกแต่สามารถติดต่อกันถึงนอกอวกาศอันไกลโพ้นได้...
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งของมวลมนุษย์ชาติ...
แต่ไม่น่าเชื่อในจุดเล็กๆจุดหนึ่งในโลกนี้ โดยเฉพาะเวบบอร์ดที่โด่งดังชื่อ รดน.แห่งนี้...
ตั้งชื่อว่าห้องการเมืองแต่ไม่สามารถคุยเรื่องการเมืองได้...
และการที่ห้ามแตะเนื่องการเมืองนี้เองทำให้สมองส่วนที่จะติดเรื่องนี้แฝบลงอย่างน่าใจหาย...
ไม่มีการคุยเรื่องการเมืองกันในห้องการเมือง...
จึงต้องหาเรื่องอื่นๆสาระพัดเรื่องมาคุย...
น่าเสียดาย..ห้องราชดำเนินที่โด่งดังของเมืองไทย...
ที่เคยเป็นเสมือนห้องสมุดห้องใหญ่ของคนที่สนใจการเมืองไทยเข้ามาหาข้อมูลเข้ามาอ่านเพื่อเสริมสติปัญญาเรื่องการเมืองไทย...
อีกเมื่อไรน้าราชดำเนินเช่นนั้นจะกลับมา..???
คนอุบล
โอมมม...ขอให้อยู่นานๆ...