1.
“...และปีนี้ นักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ด้วยระดับคะแนนร้อยเปอร์เซ็นต์ ติดต่อกันเป็นปีที่สามนับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ได้แก่ เด็กชายวิวัฒน์”
หลังเสียงประกาศ เด็กชายตัวน้อยผอมแห้งเคลื่อนตัวโดดเด่นออกมาจากแถวท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่านักเรียนทั้งโรงเรียน ครูบาอาจารย์ต่างแสดงสีหน้าพอใจและยินดีไปกับเด็กชายวิวัฒน์ เด็กอัจฉริยะเท่าที่เคยมีมาในโรงเรียนแห่งนี้
“ดีใจด้วยนะจ๊ะ รับไปสิ รางวัลสำหรับความมุมานะของเธอ เอ้า นักเรียน ปรบมือแสดงความยินดีกับเพื่อนของเราอีกครั้งนะคะ”
ครูใหญ่มอบของขวัญให้เด็กชาย เขารับกล่องนั้นไว้ในมือ เสียงปรบมือดังกระหึ่มไม่ขาดสาย เด็กชายมองบรรยากาศอันน่าปลาบปลื้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตาหรี่เล็กภายใต้กรอบแว่นหนาไร้อารมณ์ใดๆ ตอบสนอง
“ขอให้พวกเธอทุกคนดูไว้เป็นตัวอย่าง หากตั้งใจเรียนและมุมานะอย่างวิวัฒน์ สักวันพวกเธอก็จะประสบความสำเร็จได้”
ถ้อยคำอบรมและแสดงความยินดียังคงถูกขับออกมาจากเครื่องขยายเสียงอีกครู่ใหญ่ก่อนที่บรรยากาศเดิมๆ ในโรงเรียนประถมแห่งนี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ตั้งแต่สามปีที่แล้วที่เด็กชายวิวัฒน์เข้าศึกษายังสถานศึกษาแห่งนี้ ห้องเรียนของเด็กชายก็กลายเป็นที่จับตาดูจากบรรดานักเรียนและครูห้องอื่นๆ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะเกินวัยที่ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน
และจากเรื่องนั้นเองก็ทำให้ครูประจำชั้นและบรรดาเพื่อนร่วมห้องของเด็กชายกลายเป็นที่จับตามองและชื่นชมจากห้องอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน
ห้องเรียนที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของโรงเรียน ครูประจำชั้นของเด็กอัจฉริยะ เพื่อนร่วมห้องของผู้มีสมองปราดเปรื่อง ความคิดเหล่านี้ทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มเข้าห้อมล้อมเด็กชาย เขากลายเป็นที่รักของคนอื่นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่หากจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเด็กชายไม่ทำอะไร แต่เขาไม่สนใจจะทำอะไรเลยต่างหากนอกจากเรื่องเรียนเพียงเรื่องเดียว เขาไม่เคยแสดงความสามารถอื่นใดนอกเหนือจากนี้ให้ใครเห็นเลยแม้สักครั้ง
“เฮ้ย วัฒน์ เย็นนี้เจอกันที่สนามบอลนะโว้ย”
“อือ”
เด็กชายทำเสียงในลำคอเป็นการตอบรับสั้นๆ สายตาไม่ละออกจากตัวหนังสือบนกระดานดำ ทั้งๆ ที่ใครต่อใครต่างก็ยินดีและให้การสนับสนุนเด็กอัจฉริยะอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเขาเองจะขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิตประจำวัน
ใบหน้าเรียบเฉย ไม่เคยยิ้มแย้ม ไม่เคยร้องไห้ การแสดงออกอื่นๆ แทบจะเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง
“เมื่อวานเราดูวิดีโอมา ท่าจักรยานอากาศโคตรเจ๋งเลย เย็นนี้ข้าจะใช้ท่านี้แหละยิงประตู”
“นี่ นายป๋อง”
เสียงตวาดจากหน้าชั้นทำเอานักเรียนทั้งห้องสะดุ้ง โดยเฉพาะเจ้าของชื่อที่กำลังเจี้อยแจ้วอยู่เมื่อสักครู่ เขาเงียบเสียงลงฉับพลันเหมือนมีใครกดปุ่มหยุดเล่น ใบหน้าทะเล้นเมื่อสักครู่ก้มงุดลงกับพื้นโต๊ะในทันที
“ถ้าได้ยินเสียงเธออีกครั้ง ออกไปยืนนอกห้องได้เลยนะ”
.......................................
“กรี๊ง...งงง”
“เฮ้ เลิกเรียนแล้ว พวกเราไปสนามบอลกันเลย วันนี้ข้าทีทีเด็ดมาอวด”
เป็นเรื่องปกติที่ความโกลาหลเล็กๆ ของเหล่าเด็กนักเรียนจะเกิดขึ้นหลังเสียงกริ่งเลิกเรียน เด็กชายเดินเอื่อยเฉื่อยตามเพื่อนๆ ออกไปยังสนามทรายโล่งๆ หน้าอาคารเรียน แสงจากดวงอาทิตย์เจิดจ้าจนต้องหรี่ตา
“เอ็งห้าคนอยู่ด้วยกัน ส่วนที่เหลืออยู่ข้างข้า”
เกมการแข่งขันเริ่มขึ้นหลังแบ่งข้างเสร็จ เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนโหวกเหวกของสมาชิกทั้งหมดในสนามดังไม่ขาดสาย บางคนสีหน้าจริงจังในขณะที่บางคนหัวเราะไม่หยุด
แต่วิวัฒน์ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขาหายใจหอบถี่ วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที มีเพียงสายตาของเขาเท่านั้นที่ตามลูกฟุตบอลทัน พรสวรรค์ด้านกีฬาของเด็กชายเป็นศูนย์ ความสามารถด้านร่างกายก็เช่นกัน ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้ แต่เพราะความหัวดีทำให้พวกเขาอยากเข้าใกล้อยากเล่นด้วย
เด็กชายหยุดวิ่ง หน้าอกกระเพื่อมเข้าออกหนักหน่วง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงสีส้มสุดท้ายเริ่มเข้าปกคลุม จิตใจล่องลอยออกนอกสนามไปสู่ห้องสมุดและกองหนังสือที่บ้าน
“เห้ย ไอ้วัฒน์ ระวัง”
ไม่ทันที่จะมีการตอบสนองใดๆ วิวัฒน์รู้สึกเพียงถูกอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับศีรษะอย่างจังก่อนที่การรับรู้ทุกอย่างจะหมดไป
..................................................
ในห้องทดลองสีขาวสะอาดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมือแปลกตา ชายชราและชายหนุ่มในเสื้อกาวน์ยืนอยู่หน้าเตียงที่ร่างไม่ได้สติของเด็กชายวิวัฒน์นอนอยู่ ผู้ปฏิบัติงานอีกจำนวนหนึ่งยืนอยู่ประจำตำแหน่งที่ตนเองรับผิดชอบ
“วิวัฒน์เป็นอย่างไรบ้างครับ ด๊อกเตอร์”
ชายหนุ่มถามอาการของเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างที่สุด ชายชราละสายตาจากร่างเล็กบนเตียงหันกลับมาตามเสียง สีหน้าไม่ฉายความกังวลใดๆ ออกมา
“ไม่ต้องห่วง ลูกของคุณไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่แรงกระทบกระเทือนจากลูกฟุตบอลทำให้ชิพความทรงจำตรงตำแหน่งท้ายทอยขัดข้องนิดหน่อย ก็เลยทำให้การทำงานในส่วนอื่นๆ พลอยสะดุดไปด้วยเท่านั้น”
ชายชราอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองไปยังชายหนุ่มอย่างคาดคะเน ถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นห่วงแก คนที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มานานอย่างคุณยังไงซะก็คงจะเกิดความผูกพันมากกว่าที่ผมคิดล่ะนะ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากร่างเล็ก มองชายชราที่กำลังสื่อสารกับเขา
“เด็กคนนี้ควรจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แล้วตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีของเรา เราสร้างสมองกลให้กับแก พร้อมทั้งติดตั้งหน่วยความจำและดาวน์โหลดความรู้ต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ระดับพิโคเทคโนโลยีให้”
ชายชราเดินเข้ามาใกล้ ตบเบาๆ บนบ่าชายหนุ่มเพื่อแสดงความเห็นใจและสร้างความมั่นใจไปพร้อมๆ กัน
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก หากโครงการนี้ของเราราบรื่นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ชื่อเสียงเงินทองก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใคร ไม่ว่าความสำเร็จไหนก็ไม่อาจเทียบเท่าได้ และ...”
ชายชราหยุดเว้นวรรคหน่อยหนึ่งเพื่อกระตุ้นผู้ร่วมสนทนา
“โครงการนี้จะพามวลมนุษยชาติไปสู่การต่อยอดทางความรู้อย่างแท้จริง ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากศูนย์อีกต่อไป เราเพียงดาวน์โหลดข้อมูลลงไปในชิพและให้สมองดึงออกมาใช้เท่านั้น”
“และต่อจากนี้ ความรู้ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นทุกวัน ความสามารถของสมองทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เท่านั้น โลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างก้าวกระโดดกว่าที่ผ่านมา”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเหี่ยวย่น ชายชรายื่นมือลูบหัวเด็กชายวิวัฒน์ที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าในสายตาของเขา
“เพื่อมวลมนุษยชาตินะครับ ขอให้คุณคิดถึงเรื่องนี้ไว้ เอาล่ะ ผมขอตัวไปเตรียมการรักษาลูกของคุณและดาวน์โหลดข้อมูลชุดใหม่ให้เขาก่อนนะ”
ชายชราเดินจากไป ชายหนุ่มมองร่างกายผอมแห้งของเด็กชายที่เรียกตัวเขาว่าพ่อ เดิมทีโครงการนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเอาไว้ช่วยชีวิตคนที่สมองได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้
เด็กชายที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าเด็กอัจฉริยะ เด็กผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง
สายตาเลื่อนมองไปทั่วร่างกาย ใบหน้าซีดตอบ ลำตัวผ่ายผอม แขนขาเล็กไร้กล้ามเนื้ออันเนื่องจากการขาดการออกกำลังกาย
ชายหนุ่มหลับตา จิตใจล่องลอยไปไกลถึงโลกในวันข้างหน้า โลกที่คนทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ โลกที่เด็กเกิดมาพร้อมๆ กับความรู้ทุกสิ่งของเหล่ามวลมนุษย์
โลกที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องค้นหาแบบนี้จะสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆ ได้จริงหรือ โลกที่ไร้ปฏิสัมพันธ์ ไร้อารมณ์ มันดีจริงๆ หรือ
วันที่เด็กอัจฉริยะผู้บกพร่องทางพัฒนาการด้านอารมณ์ถือกำเนิดขึ้นมา อาจจะดีกว่านี้ก็ได้หากวันนั้นเขาปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น ชายหนุ่มนึกไปถึงมนุษย์โลกในวันข้างหน้า วันที่มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย วันที่มนุษย์อาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
หากวันนั้นมาถึง ความผิดบาปทั้งหมดคงจะตราตรึงอยู่ในใจของเขาตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตอย่างแน่นอน
โลกในอุดมคติอันวิปริตผิดเพี้ยนนั้น
โลกแห่งความว่างเปล่า : กลาย
“...และปีนี้ นักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ด้วยระดับคะแนนร้อยเปอร์เซ็นต์ ติดต่อกันเป็นปีที่สามนับตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ได้แก่ เด็กชายวิวัฒน์”
หลังเสียงประกาศ เด็กชายตัวน้อยผอมแห้งเคลื่อนตัวโดดเด่นออกมาจากแถวท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่านักเรียนทั้งโรงเรียน ครูบาอาจารย์ต่างแสดงสีหน้าพอใจและยินดีไปกับเด็กชายวิวัฒน์ เด็กอัจฉริยะเท่าที่เคยมีมาในโรงเรียนแห่งนี้
“ดีใจด้วยนะจ๊ะ รับไปสิ รางวัลสำหรับความมุมานะของเธอ เอ้า นักเรียน ปรบมือแสดงความยินดีกับเพื่อนของเราอีกครั้งนะคะ”
ครูใหญ่มอบของขวัญให้เด็กชาย เขารับกล่องนั้นไว้ในมือ เสียงปรบมือดังกระหึ่มไม่ขาดสาย เด็กชายมองบรรยากาศอันน่าปลาบปลื้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตาหรี่เล็กภายใต้กรอบแว่นหนาไร้อารมณ์ใดๆ ตอบสนอง
“ขอให้พวกเธอทุกคนดูไว้เป็นตัวอย่าง หากตั้งใจเรียนและมุมานะอย่างวิวัฒน์ สักวันพวกเธอก็จะประสบความสำเร็จได้”
ถ้อยคำอบรมและแสดงความยินดียังคงถูกขับออกมาจากเครื่องขยายเสียงอีกครู่ใหญ่ก่อนที่บรรยากาศเดิมๆ ในโรงเรียนประถมแห่งนี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ตั้งแต่สามปีที่แล้วที่เด็กชายวิวัฒน์เข้าศึกษายังสถานศึกษาแห่งนี้ ห้องเรียนของเด็กชายก็กลายเป็นที่จับตาดูจากบรรดานักเรียนและครูห้องอื่นๆ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะเกินวัยที่ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน
และจากเรื่องนั้นเองก็ทำให้ครูประจำชั้นและบรรดาเพื่อนร่วมห้องของเด็กชายกลายเป็นที่จับตามองและชื่นชมจากห้องอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน
ห้องเรียนที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของโรงเรียน ครูประจำชั้นของเด็กอัจฉริยะ เพื่อนร่วมห้องของผู้มีสมองปราดเปรื่อง ความคิดเหล่านี้ทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มเข้าห้อมล้อมเด็กชาย เขากลายเป็นที่รักของคนอื่นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่หากจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเด็กชายไม่ทำอะไร แต่เขาไม่สนใจจะทำอะไรเลยต่างหากนอกจากเรื่องเรียนเพียงเรื่องเดียว เขาไม่เคยแสดงความสามารถอื่นใดนอกเหนือจากนี้ให้ใครเห็นเลยแม้สักครั้ง
“เฮ้ย วัฒน์ เย็นนี้เจอกันที่สนามบอลนะโว้ย”
“อือ”
เด็กชายทำเสียงในลำคอเป็นการตอบรับสั้นๆ สายตาไม่ละออกจากตัวหนังสือบนกระดานดำ ทั้งๆ ที่ใครต่อใครต่างก็ยินดีและให้การสนับสนุนเด็กอัจฉริยะอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเขาเองจะขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิตประจำวัน
ใบหน้าเรียบเฉย ไม่เคยยิ้มแย้ม ไม่เคยร้องไห้ การแสดงออกอื่นๆ แทบจะเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง
“เมื่อวานเราดูวิดีโอมา ท่าจักรยานอากาศโคตรเจ๋งเลย เย็นนี้ข้าจะใช้ท่านี้แหละยิงประตู”
“นี่ นายป๋อง”
เสียงตวาดจากหน้าชั้นทำเอานักเรียนทั้งห้องสะดุ้ง โดยเฉพาะเจ้าของชื่อที่กำลังเจี้อยแจ้วอยู่เมื่อสักครู่ เขาเงียบเสียงลงฉับพลันเหมือนมีใครกดปุ่มหยุดเล่น ใบหน้าทะเล้นเมื่อสักครู่ก้มงุดลงกับพื้นโต๊ะในทันที
“ถ้าได้ยินเสียงเธออีกครั้ง ออกไปยืนนอกห้องได้เลยนะ”
.......................................
“กรี๊ง...งงง”
“เฮ้ เลิกเรียนแล้ว พวกเราไปสนามบอลกันเลย วันนี้ข้าทีทีเด็ดมาอวด”
เป็นเรื่องปกติที่ความโกลาหลเล็กๆ ของเหล่าเด็กนักเรียนจะเกิดขึ้นหลังเสียงกริ่งเลิกเรียน เด็กชายเดินเอื่อยเฉื่อยตามเพื่อนๆ ออกไปยังสนามทรายโล่งๆ หน้าอาคารเรียน แสงจากดวงอาทิตย์เจิดจ้าจนต้องหรี่ตา
“เอ็งห้าคนอยู่ด้วยกัน ส่วนที่เหลืออยู่ข้างข้า”
เกมการแข่งขันเริ่มขึ้นหลังแบ่งข้างเสร็จ เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนโหวกเหวกของสมาชิกทั้งหมดในสนามดังไม่ขาดสาย บางคนสีหน้าจริงจังในขณะที่บางคนหัวเราะไม่หยุด
แต่วิวัฒน์ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขาหายใจหอบถี่ วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที มีเพียงสายตาของเขาเท่านั้นที่ตามลูกฟุตบอลทัน พรสวรรค์ด้านกีฬาของเด็กชายเป็นศูนย์ ความสามารถด้านร่างกายก็เช่นกัน ใครๆ ในโรงเรียนต่างก็รู้ แต่เพราะความหัวดีทำให้พวกเขาอยากเข้าใกล้อยากเล่นด้วย
เด็กชายหยุดวิ่ง หน้าอกกระเพื่อมเข้าออกหนักหน่วง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงสีส้มสุดท้ายเริ่มเข้าปกคลุม จิตใจล่องลอยออกนอกสนามไปสู่ห้องสมุดและกองหนังสือที่บ้าน
“เห้ย ไอ้วัฒน์ ระวัง”
ไม่ทันที่จะมีการตอบสนองใดๆ วิวัฒน์รู้สึกเพียงถูกอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับศีรษะอย่างจังก่อนที่การรับรู้ทุกอย่างจะหมดไป
..................................................
ในห้องทดลองสีขาวสะอาดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมือแปลกตา ชายชราและชายหนุ่มในเสื้อกาวน์ยืนอยู่หน้าเตียงที่ร่างไม่ได้สติของเด็กชายวิวัฒน์นอนอยู่ ผู้ปฏิบัติงานอีกจำนวนหนึ่งยืนอยู่ประจำตำแหน่งที่ตนเองรับผิดชอบ
“วิวัฒน์เป็นอย่างไรบ้างครับ ด๊อกเตอร์”
ชายหนุ่มถามอาการของเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างที่สุด ชายชราละสายตาจากร่างเล็กบนเตียงหันกลับมาตามเสียง สีหน้าไม่ฉายความกังวลใดๆ ออกมา
“ไม่ต้องห่วง ลูกของคุณไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่แรงกระทบกระเทือนจากลูกฟุตบอลทำให้ชิพความทรงจำตรงตำแหน่งท้ายทอยขัดข้องนิดหน่อย ก็เลยทำให้การทำงานในส่วนอื่นๆ พลอยสะดุดไปด้วยเท่านั้น”
ชายชราอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองไปยังชายหนุ่มอย่างคาดคะเน ถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นห่วงแก คนที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มานานอย่างคุณยังไงซะก็คงจะเกิดความผูกพันมากกว่าที่ผมคิดล่ะนะ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากร่างเล็ก มองชายชราที่กำลังสื่อสารกับเขา
“เด็กคนนี้ควรจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แล้วตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีของเรา เราสร้างสมองกลให้กับแก พร้อมทั้งติดตั้งหน่วยความจำและดาวน์โหลดความรู้ต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ระดับพิโคเทคโนโลยีให้”
ชายชราเดินเข้ามาใกล้ ตบเบาๆ บนบ่าชายหนุ่มเพื่อแสดงความเห็นใจและสร้างความมั่นใจไปพร้อมๆ กัน
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก หากโครงการนี้ของเราราบรื่นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ชื่อเสียงเงินทองก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใคร ไม่ว่าความสำเร็จไหนก็ไม่อาจเทียบเท่าได้ และ...”
ชายชราหยุดเว้นวรรคหน่อยหนึ่งเพื่อกระตุ้นผู้ร่วมสนทนา
“โครงการนี้จะพามวลมนุษยชาติไปสู่การต่อยอดทางความรู้อย่างแท้จริง ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากศูนย์อีกต่อไป เราเพียงดาวน์โหลดข้อมูลลงไปในชิพและให้สมองดึงออกมาใช้เท่านั้น”
“และต่อจากนี้ ความรู้ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นทุกวัน ความสามารถของสมองทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เท่านั้น โลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างก้าวกระโดดกว่าที่ผ่านมา”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเหี่ยวย่น ชายชรายื่นมือลูบหัวเด็กชายวิวัฒน์ที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าในสายตาของเขา
“เพื่อมวลมนุษยชาตินะครับ ขอให้คุณคิดถึงเรื่องนี้ไว้ เอาล่ะ ผมขอตัวไปเตรียมการรักษาลูกของคุณและดาวน์โหลดข้อมูลชุดใหม่ให้เขาก่อนนะ”
ชายชราเดินจากไป ชายหนุ่มมองร่างกายผอมแห้งของเด็กชายที่เรียกตัวเขาว่าพ่อ เดิมทีโครงการนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเอาไว้ช่วยชีวิตคนที่สมองได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้
เด็กชายที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าเด็กอัจฉริยะ เด็กผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง
สายตาเลื่อนมองไปทั่วร่างกาย ใบหน้าซีดตอบ ลำตัวผ่ายผอม แขนขาเล็กไร้กล้ามเนื้ออันเนื่องจากการขาดการออกกำลังกาย
ชายหนุ่มหลับตา จิตใจล่องลอยไปไกลถึงโลกในวันข้างหน้า โลกที่คนทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ โลกที่เด็กเกิดมาพร้อมๆ กับความรู้ทุกสิ่งของเหล่ามวลมนุษย์
โลกที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องค้นหาแบบนี้จะสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆ ได้จริงหรือ โลกที่ไร้ปฏิสัมพันธ์ ไร้อารมณ์ มันดีจริงๆ หรือ
วันที่เด็กอัจฉริยะผู้บกพร่องทางพัฒนาการด้านอารมณ์ถือกำเนิดขึ้นมา อาจจะดีกว่านี้ก็ได้หากวันนั้นเขาปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น ชายหนุ่มนึกไปถึงมนุษย์โลกในวันข้างหน้า วันที่มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย วันที่มนุษย์อาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
หากวันนั้นมาถึง ความผิดบาปทั้งหมดคงจะตราตรึงอยู่ในใจของเขาตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตอย่างแน่นอน
โลกในอุดมคติอันวิปริตผิดเพี้ยนนั้น