สวัสดีค่ะน้องๆ และผู้ที่สนใจจนหลวมตัวกดเข้ามาในกระทู้นี้ทุกท่านนะคะ
ขอเรียกแทนตัวเองว่า พี่ เนอะ
ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวพี่เองคร่าวๆ ก่อนละกัน
ปัจจุบัน พี่เรียนจบปริญญาตรีมาได้ 4 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ทั้งทำงานไปด้วย เรียนปริญญาโทไปด้วย หนักเอาการอยู่แหละ
แต่ช่วงหยุดยาวนี้ พี่เกิดอาการ ว่างงงงงงง (มากกกก ก.ไก่ล้านตัว)
เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เมื่อ 4 ปีก่อน พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปเผชิญโลกกว้าง
ไปเหยียบประเทศมหาอำนาจอีกซีกโลกที่ที่ผ่านมาเห็นข่าวคราวตามหน้าโทรทัศน์ทุกวัน
และที่นั่นก็เป็นเหมือนประตูบานใหญ่ที่ทำให้พี่ได้ประสบการณ์ที่ยากจะหาได้จากที่อื่น
และอะไรก็ตามที่พี่ได้รับจากที่นั่นล้วนติดตัวพี่มาจนถึงทุกวันนี้
แม้จะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว...ก็ยังคิดถึงมันเสมอ
ใช่แล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นเอง
และน้องหลายๆ คนที่หลงมาอ่านกระทู้นี้อยู่ก็คงจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ที่กำลังจะมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในประเทศที่ได้ชื่อว่า 'ดินแดนแห่งเสรีภาพ' ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
บางคนคงเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมตัว เตรียมทำวีซ่า แพลนการเดินทาง
และหลายคนคงกำลังหาข้อมูลเที่ยวกันอยู่ใช่ม้าาาาา
พี่เลยคิดว่า เอาล่ะ คงดีไม่น้อยถ้าพี่จะได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ตรงของพี่ และยังเป็นการรำลึกความหลังของพี่ไปในตัวด้วย
เผื่อแก่กว่านี้จะได้ยังเปิด Pantip กลับมาอ่านได้ หรือเอาไว้โม้ชาวบ้านได้ว่า นี่นะๆ ประสบการณ์ตรงของฉ้านนนนนนน หุหุ //><//
อารัมภบทจบแล้ว เริ่มเลยแล้วกันนะ
พี่ไป Work and Travel in USA มา 2 รอบ (ปี 2011 และ 2013)
เนื่องจากการที่ไปรอบแรกรู้สึกดีต่อใจมาก....
บวกกับความรู้สึกเสียดายหลายๆ อย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเต็มที่ในการไปเวิร์คครั้งแรก จึงได้ตัดสินใจไปในรอบที่ 2 อีกครั้ง
เพื่อเติมเต็มสิ่งที่พี่ยังรู้สึกไม่สุดในครั้งแรก
เอาล่ะ...
เริ่มต้นที่การไปเวิร์คครั้งแรกในปี 2011 ก่อนละกัน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
WORK AND TRAVEL in USA 2011 : WILLISTON, ND
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Chapter 1 : รัฐชนบท 3 ฤดู
ในครั้งแรกนี้ พี่เลือกงาน Housekeeping ในโรงแรมนึงของเมือง Williston รัฐ North Dakota (ND) เป็นรัฐชนบทรัฐนึงของสหรัฐฯ
แถมเมือง Williston ที่ไปนี้ ยังเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในรัฐชนบทนี้อีก........
บ้านนอกไปอี้กกกกกก
ฝากให้คิดภาพในหัวก่อนละกันว่าคำว่าชนบทของสหรัฐฯ เป็นแบบไหน
เดี๋ยวค่อยโชว์ภาพทีหลัง...
ก่อนที่ประเทศไทยเราจะเปลี่ยนช่วงเวลาการปิดเทอมมาเป็นแบบ Summer (ช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม) เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างที่เป็นทุกวันนี้
ชีวิตมหาวิทยาลัยของเราจะปิดเทอมกันช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายนโดยประมาณ ซึ่งเป็นช่วงฤดู Spring ของสหรัฐฯ
(ไม่ใช่เป็น Summer ฤดูร้อนจริงๆ แบบที่น้องๆ ไปกันในทุกวันนี้นะ)
Spring ของที่สหรัฐฯ เป็นยังไง???
ใครเป็นเด็กเวิร์ครุ่นเดอะอย่างพี่จะรู้ดี
ไปแรกๆ ช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน จะเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ใครได้ไปรัฐช่วงตอนบน - ตอนกลางของประเทศ จะเจอหิมะตกหนาเตอะเหมือนที่เราพบเจอในฉากหนังวันคริสมาสต์ยังไงยังงั้น เด็กเวิร์คก็จะได้ใส่เสื้อโค้ทถ่ายรูปกับหิมะกันสวยๆ
ต่อมาช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน จะเป็นช่วงเริ่มอุ่นขึ้น ใบไม้เริ่มผลิ แต่อากาศก็ยังเย็นๆ อยู่ ใส่แขนยาวบางๆ หรือ cardigan ก็ได้แล้ว
ปลายๆ มิถุนาก็จะเริ่มร้อนขึ้น
ถ้าเด็กปี 4 ที่อยู่ยาวได้ถึงเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้อากาศจะร้อนแล้ว ใส่แขนสั้นขาสั้นกันได้สบาย ร้านค้าต่างๆ ก็จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เริ่มมี vacation มาพักผ่อน เด็กนักเรียนก็ปิดเทอมในช่วงเดือนนี้พอดี
เป็นไงล่ะ เด็กเวิร์ครุ่นเดอะอย่างสมัยพวกพี่ ไปรอบเดียวเจออากาศ 3 ฤดู 3 สไตล์เลย คุ้มสุดๆ
แต่ถ้าอย่างเด็ก Work and Travel รุ่นปัจจุบัน บินไปถึงก็จะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนมิถุนายนแล้ว จะเจอแค่ช่วงปลายอากาศเย็น จนถึงเริ่มร้อนแล้วล่ะ พออยู่ถึงเดือนสิงหาคม - กันยายน ทีนี้ล่ะร้อนเต็มที่ระดับน้องๆ ประเทศไทย
พูดถึงตรงนี้แล้ว พอจะนึกภาพเมืองบ้านนอกของ Williston (ND) ในสภาพอากาศที่เล่าไปออกกันไหม
ถึงเวลาโชว์ภาพได้ละเนอะ
ปล. ขอปิดหน้านายแบบนางแบบหน่อยนะ
ไปถึงแรกๆ กลางเดือนมีนาคม 2011
หิมะตกบางวัน วันไหนหิมะตกนายจ้างจะให้รถของโรงแรมมารับไปทำงาน เพราะเดินไปไม่ไหวแน่ๆ
ช่วงปลายพฤษภาคม ปลาย Spring ใกล้เข้า Summer แล้ว บรรยากาศแตกต่างกับแรกๆ มาก
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Chapter 2 : การเดินทาง
เนื่องจากการเดินทางจากไทยมารัฐชนบทอย่าง North Dakota และเมืองที่ชนบท(กว่า) อย่าง Williston เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสาหัสสากัน
จากไทยต้องเปลี่ยนเครื่องถึง 3 Flight
- BKK - Narita
- Narita - St.Paul (เมือง Minneapolis รัฐ Minnesota) และ
- St. Paul - เมือง Minot รัฐ North Dakota)
เราใช้บริการ สายการบิน Delta Airline สายการบินสัญชาติอเมริกัน เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่ไปยังรัฐนี้ได้
ตัวเลือกที่จะมาได้จึงน้อย และราคาตั๋วเครื่องบินสูง เพราะไม่ใช่เมืองหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันบ่อย
นั่งๆ นอนๆ กินๆ บนเครื่องทั้งหมดร่วม 27 ชั่วโมง (6 + 19 + 2 ชั่วโมงในแต่ละ Flight)
อยู่บนเครื่องกินเวลาวันกว่า ขอบอก ว่าน่าเบื่อมากกกกก ขยับไปไหนก้ไม่ได้มาก
ต่างคนต่างก็หาวิธีการแก้เบื่อกันยาวปายยยยยยยยย
ถึง สนามบิน St. Paul รัฐ Minnesota แล้ว
Flight จาก Minnesota ไป Minot จะใช้เครื่องบินเล็ก ที่นั่งแถวละ 2-2 มีทางเดินคั่นตรงกลาง
ก็บอกแล้วว่าคนไม่ค่อยจะมารัฐนี้กันเท่าไหร่
ถึง Minot แล้ว...
แต่!!! ยัง ยังไม่ถึง Williston
นายจ้างต้องให้รถมารับที่สนามบิน Minot นั่งรถปุเลงๆ กันมาอีกกว่า 3 ชั่วโมง
ระหว่างทาง รถที่มารับเราก็จอดแวะ Supermarket ให้ เพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว
กว่าจะถึงบ้านพักที่นายจ้างจัดให้ก็เกือบ 5 ทุ่ม เข้าบ้านได้ กระเป๋ายังไม่จัดเข้าที่เข้าทางดี รีบหาที่นอน เพราะเกิด Jet lag และอากาศหนาวกว่าที่คิดไว้มาก (กลางคืน อุณหภูมิติดลบ 10 องศา)
บวกกับสับสนเรื่องเวลา เพราะรัฐนี้ขนาด 2 ทุ่ม ท้องฟ้ายังสว่างจ้า พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย
นายจ้างจึงอนุญาตให้พักวันรุ่งขึ้น 1 วัน และค่อยเริ่มทำงานวันถัดไป
วันถัดมา
เนื่องจากเป็นวันพักจากการเดินทางไกล เราจึงใช้วันนี้ในการ 'เดิน' สำรวจเมือง
เน้น ว่า 'เดิน' จริงๆ เพราะเมืองเล็กมากกกกกกกกกกกก
เดินแป๊บเดียวยังไม่เหนื่อยดีก็ทั่วแล้ว (ยกเว้น Walmart ที่อยู่ห่างไปไกลอีกเกือบ 2 km. ซึ่งนั่นถือเป็นสถานที่ที่ไกลมากแล้วสำหรับเราในเมืองเล็กๆ นี่)
จากการเดินทัวร์เมืองในวันแรกของเรานี้ พบว่า เมืองนี้มีสถานีรถไฟ (Amtrak) โรงหนัง Supermarket เล็กๆ (ขนาดประมาณ Tesco Lotus ตลาดบ้านเรา) ร้านไอติม (ทั้ง Dairy Queen และไอติมโฮมเมด) ร้าน Fastfood (เช่น Mc's, KFC, Taco John, Arby's, Hardee's, Pizza Hut, Domino's) ร้านอาหาร สนามบินเล็กๆ ชื่อ Sloulin Field Int'l Airport
ที่สำคัญ มี Walmart ที่อยู่ออกนอกเมืองไปประมาณ 2 km. สามารถปั่นจักรยานไปได้
แต่ตอนที่เราไปอากาศยังหนาวอยู่และหิมะตก เราจึงใช้ Taxi กันเวลาไป แล้วหารค่ารถกันกับเพื่อนหลายๆ คน คุ้มกว่า
แค่มี Walmart เราก็รอดตายแล้ว
Taxi ที่เมืองนี้ (และคงเช่นเดียวกันกับเมืองชนบทอื่นๆ) คือต้องโทรเรียกให้มารับ ไม่มีจอดทั่วไปตามจุดต่างๆ เหมือนบ้านเรา
เนื่องจากคนชนบทบ้านเค้าต่างมีรถส่วนตัวกันหมด ไม่พึ่ง Public Transport เท่าไหร่ ดังนั้นต่างด้าวอย่างเราจึงต้องเอาตัวรอดให้ได้
ภาพริมสองข้างทางเวลานั่งรถผ่าน
** สรุปว่า**
โดยรวมสำหรับพี่ สามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ให้อยู่นานกว่านั้นก็มีเบื่อนะ
เพราะเมืองมันไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจ อากาศกลางคืนหนาว หัวค่ำก็ต่างคนต่างเข้าบ้าน
คนเมืองที่มีรถเค้าก็อาจจะขับรถไปเที่ยวไหนต่อไหนได้
แต่เด็กเวิร์คอย่างเราไม่มีรถ ไปไหนก็ลำบากหน่อย เท่านั้นเอง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Chapter 3 : Housing บ้านเช่า
บ้านเช่าของพี่นายจ้างเป็นผู้จัดหาให้ เราเป็นผู้จ่ายค่าเช่า (นายจ้างจะแจ้งราคากับเราก่อนเดินทางไป)
ลักษณะเป็น Apartment แบ่งเช่า แยกชั้นบน - ล่าง
เด็กเวิร์คหญิง 5 คนเช่าเพียง 2 ห้องนอนในชั้นล่าง
ตัวบ้านชั้นล่างมีห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง (Ensuite ห้องน้ำในตัว) เช่าโดย roommate ชาวมาเลย์ที่มาทำงานอยู่ที่นี่นานแล้ว
และมีห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง (Share Bathroom กัน) เป็นของเราเด็กเวิร์คผู้หญิง 5 คนเช่าอยู่
และยังมีครัวใหญ่และส่วนนั่งเล่นกลาง ที่ต้องแชร์กันระหว่างเด็กเวิร์คและ roommate ชาวมาเลย์ที่อยู่ห้อง ensuite ด้วย
ค่าเช่าตกคนละ 75 $/week
ส่วนชั้นบน มีบันไดแยกขึ้นได้ภายนอกตัวบ้าน แยกกับที่เราอยู่อย่างชัดเจน เจ้าของก็แบ่งเช่าเป็นห้องๆ แบบชั้นล่างเช่นกัน
/// ต่อใน Comment ///
[CR] Review ประสบการณ์ Work and Travel in USA - 2 ปี 2 รัฐ 2 สไตล์ [[Williston, ND 2011]] [[Avalon, CA 2013]]
ขอเรียกแทนตัวเองว่า พี่ เนอะ
ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวพี่เองคร่าวๆ ก่อนละกัน
ปัจจุบัน พี่เรียนจบปริญญาตรีมาได้ 4 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ทั้งทำงานไปด้วย เรียนปริญญาโทไปด้วย หนักเอาการอยู่แหละ
แต่ช่วงหยุดยาวนี้ พี่เกิดอาการ ว่างงงงงงง (มากกกก ก.ไก่ล้านตัว)
เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เมื่อ 4 ปีก่อน พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปเผชิญโลกกว้าง
ไปเหยียบประเทศมหาอำนาจอีกซีกโลกที่ที่ผ่านมาเห็นข่าวคราวตามหน้าโทรทัศน์ทุกวัน
และที่นั่นก็เป็นเหมือนประตูบานใหญ่ที่ทำให้พี่ได้ประสบการณ์ที่ยากจะหาได้จากที่อื่น
และอะไรก็ตามที่พี่ได้รับจากที่นั่นล้วนติดตัวพี่มาจนถึงทุกวันนี้
แม้จะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว...ก็ยังคิดถึงมันเสมอ
ใช่แล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นเอง
และน้องหลายๆ คนที่หลงมาอ่านกระทู้นี้อยู่ก็คงจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ที่กำลังจะมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในประเทศที่ได้ชื่อว่า 'ดินแดนแห่งเสรีภาพ' ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
บางคนคงเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมตัว เตรียมทำวีซ่า แพลนการเดินทาง
และหลายคนคงกำลังหาข้อมูลเที่ยวกันอยู่ใช่ม้าาาาา
พี่เลยคิดว่า เอาล่ะ คงดีไม่น้อยถ้าพี่จะได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ตรงของพี่ และยังเป็นการรำลึกความหลังของพี่ไปในตัวด้วย
เผื่อแก่กว่านี้จะได้ยังเปิด Pantip กลับมาอ่านได้ หรือเอาไว้โม้ชาวบ้านได้ว่า นี่นะๆ ประสบการณ์ตรงของฉ้านนนนนนน หุหุ //><//
อารัมภบทจบแล้ว เริ่มเลยแล้วกันนะ
พี่ไป Work and Travel in USA มา 2 รอบ (ปี 2011 และ 2013)
เนื่องจากการที่ไปรอบแรกรู้สึกดีต่อใจมาก....
บวกกับความรู้สึกเสียดายหลายๆ อย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเต็มที่ในการไปเวิร์คครั้งแรก จึงได้ตัดสินใจไปในรอบที่ 2 อีกครั้ง
เพื่อเติมเต็มสิ่งที่พี่ยังรู้สึกไม่สุดในครั้งแรก
เอาล่ะ...
เริ่มต้นที่การไปเวิร์คครั้งแรกในปี 2011 ก่อนละกัน
ในครั้งแรกนี้ พี่เลือกงาน Housekeeping ในโรงแรมนึงของเมือง Williston รัฐ North Dakota (ND) เป็นรัฐชนบทรัฐนึงของสหรัฐฯ
แถมเมือง Williston ที่ไปนี้ ยังเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในรัฐชนบทนี้อีก........
บ้านนอกไปอี้กกกกกก
ฝากให้คิดภาพในหัวก่อนละกันว่าคำว่าชนบทของสหรัฐฯ เป็นแบบไหน
เดี๋ยวค่อยโชว์ภาพทีหลัง...
ก่อนที่ประเทศไทยเราจะเปลี่ยนช่วงเวลาการปิดเทอมมาเป็นแบบ Summer (ช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม) เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างที่เป็นทุกวันนี้
ชีวิตมหาวิทยาลัยของเราจะปิดเทอมกันช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายนโดยประมาณ ซึ่งเป็นช่วงฤดู Spring ของสหรัฐฯ
(ไม่ใช่เป็น Summer ฤดูร้อนจริงๆ แบบที่น้องๆ ไปกันในทุกวันนี้นะ)
Spring ของที่สหรัฐฯ เป็นยังไง???
ใครเป็นเด็กเวิร์ครุ่นเดอะอย่างพี่จะรู้ดี
ไปแรกๆ ช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน จะเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ใครได้ไปรัฐช่วงตอนบน - ตอนกลางของประเทศ จะเจอหิมะตกหนาเตอะเหมือนที่เราพบเจอในฉากหนังวันคริสมาสต์ยังไงยังงั้น เด็กเวิร์คก็จะได้ใส่เสื้อโค้ทถ่ายรูปกับหิมะกันสวยๆ
ต่อมาช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน จะเป็นช่วงเริ่มอุ่นขึ้น ใบไม้เริ่มผลิ แต่อากาศก็ยังเย็นๆ อยู่ ใส่แขนยาวบางๆ หรือ cardigan ก็ได้แล้ว
ปลายๆ มิถุนาก็จะเริ่มร้อนขึ้น
ถ้าเด็กปี 4 ที่อยู่ยาวได้ถึงเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้อากาศจะร้อนแล้ว ใส่แขนสั้นขาสั้นกันได้สบาย ร้านค้าต่างๆ ก็จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เริ่มมี vacation มาพักผ่อน เด็กนักเรียนก็ปิดเทอมในช่วงเดือนนี้พอดี
เป็นไงล่ะ เด็กเวิร์ครุ่นเดอะอย่างสมัยพวกพี่ ไปรอบเดียวเจออากาศ 3 ฤดู 3 สไตล์เลย คุ้มสุดๆ
แต่ถ้าอย่างเด็ก Work and Travel รุ่นปัจจุบัน บินไปถึงก็จะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนมิถุนายนแล้ว จะเจอแค่ช่วงปลายอากาศเย็น จนถึงเริ่มร้อนแล้วล่ะ พออยู่ถึงเดือนสิงหาคม - กันยายน ทีนี้ล่ะร้อนเต็มที่ระดับน้องๆ ประเทศไทย
พูดถึงตรงนี้แล้ว พอจะนึกภาพเมืองบ้านนอกของ Williston (ND) ในสภาพอากาศที่เล่าไปออกกันไหม
ถึงเวลาโชว์ภาพได้ละเนอะ
ปล. ขอปิดหน้านายแบบนางแบบหน่อยนะ
ไปถึงแรกๆ กลางเดือนมีนาคม 2011
หิมะตกบางวัน วันไหนหิมะตกนายจ้างจะให้รถของโรงแรมมารับไปทำงาน เพราะเดินไปไม่ไหวแน่ๆ
ช่วงปลายพฤษภาคม ปลาย Spring ใกล้เข้า Summer แล้ว บรรยากาศแตกต่างกับแรกๆ มาก
เนื่องจากการเดินทางจากไทยมารัฐชนบทอย่าง North Dakota และเมืองที่ชนบท(กว่า) อย่าง Williston เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสาหัสสากัน
จากไทยต้องเปลี่ยนเครื่องถึง 3 Flight
- BKK - Narita
- Narita - St.Paul (เมือง Minneapolis รัฐ Minnesota) และ
- St. Paul - เมือง Minot รัฐ North Dakota)
เราใช้บริการ สายการบิน Delta Airline สายการบินสัญชาติอเมริกัน เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่ไปยังรัฐนี้ได้
ตัวเลือกที่จะมาได้จึงน้อย และราคาตั๋วเครื่องบินสูง เพราะไม่ใช่เมืองหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันบ่อย
นั่งๆ นอนๆ กินๆ บนเครื่องทั้งหมดร่วม 27 ชั่วโมง (6 + 19 + 2 ชั่วโมงในแต่ละ Flight)
อยู่บนเครื่องกินเวลาวันกว่า ขอบอก ว่าน่าเบื่อมากกกกก ขยับไปไหนก้ไม่ได้มาก
ต่างคนต่างก็หาวิธีการแก้เบื่อกันยาวปายยยยยยยยย
ถึง สนามบิน St. Paul รัฐ Minnesota แล้ว
Flight จาก Minnesota ไป Minot จะใช้เครื่องบินเล็ก ที่นั่งแถวละ 2-2 มีทางเดินคั่นตรงกลาง
ก็บอกแล้วว่าคนไม่ค่อยจะมารัฐนี้กันเท่าไหร่
ถึง Minot แล้ว...
แต่!!! ยัง ยังไม่ถึง Williston
นายจ้างต้องให้รถมารับที่สนามบิน Minot นั่งรถปุเลงๆ กันมาอีกกว่า 3 ชั่วโมง
ระหว่างทาง รถที่มารับเราก็จอดแวะ Supermarket ให้ เพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว
กว่าจะถึงบ้านพักที่นายจ้างจัดให้ก็เกือบ 5 ทุ่ม เข้าบ้านได้ กระเป๋ายังไม่จัดเข้าที่เข้าทางดี รีบหาที่นอน เพราะเกิด Jet lag และอากาศหนาวกว่าที่คิดไว้มาก (กลางคืน อุณหภูมิติดลบ 10 องศา)
บวกกับสับสนเรื่องเวลา เพราะรัฐนี้ขนาด 2 ทุ่ม ท้องฟ้ายังสว่างจ้า พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย
นายจ้างจึงอนุญาตให้พักวันรุ่งขึ้น 1 วัน และค่อยเริ่มทำงานวันถัดไป
วันถัดมา
เนื่องจากเป็นวันพักจากการเดินทางไกล เราจึงใช้วันนี้ในการ 'เดิน' สำรวจเมือง
เน้น ว่า 'เดิน' จริงๆ เพราะเมืองเล็กมากกกกกกกกกกกก
เดินแป๊บเดียวยังไม่เหนื่อยดีก็ทั่วแล้ว (ยกเว้น Walmart ที่อยู่ห่างไปไกลอีกเกือบ 2 km. ซึ่งนั่นถือเป็นสถานที่ที่ไกลมากแล้วสำหรับเราในเมืองเล็กๆ นี่)
จากการเดินทัวร์เมืองในวันแรกของเรานี้ พบว่า เมืองนี้มีสถานีรถไฟ (Amtrak) โรงหนัง Supermarket เล็กๆ (ขนาดประมาณ Tesco Lotus ตลาดบ้านเรา) ร้านไอติม (ทั้ง Dairy Queen และไอติมโฮมเมด) ร้าน Fastfood (เช่น Mc's, KFC, Taco John, Arby's, Hardee's, Pizza Hut, Domino's) ร้านอาหาร สนามบินเล็กๆ ชื่อ Sloulin Field Int'l Airport
ที่สำคัญ มี Walmart ที่อยู่ออกนอกเมืองไปประมาณ 2 km. สามารถปั่นจักรยานไปได้
แต่ตอนที่เราไปอากาศยังหนาวอยู่และหิมะตก เราจึงใช้ Taxi กันเวลาไป แล้วหารค่ารถกันกับเพื่อนหลายๆ คน คุ้มกว่า
แค่มี Walmart เราก็รอดตายแล้ว
Taxi ที่เมืองนี้ (และคงเช่นเดียวกันกับเมืองชนบทอื่นๆ) คือต้องโทรเรียกให้มารับ ไม่มีจอดทั่วไปตามจุดต่างๆ เหมือนบ้านเรา
เนื่องจากคนชนบทบ้านเค้าต่างมีรถส่วนตัวกันหมด ไม่พึ่ง Public Transport เท่าไหร่ ดังนั้นต่างด้าวอย่างเราจึงต้องเอาตัวรอดให้ได้
ภาพริมสองข้างทางเวลานั่งรถผ่าน
** สรุปว่า**
โดยรวมสำหรับพี่ สามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ให้อยู่นานกว่านั้นก็มีเบื่อนะ
เพราะเมืองมันไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจ อากาศกลางคืนหนาว หัวค่ำก็ต่างคนต่างเข้าบ้าน
คนเมืองที่มีรถเค้าก็อาจจะขับรถไปเที่ยวไหนต่อไหนได้
แต่เด็กเวิร์คอย่างเราไม่มีรถ ไปไหนก็ลำบากหน่อย เท่านั้นเอง
บ้านเช่าของพี่นายจ้างเป็นผู้จัดหาให้ เราเป็นผู้จ่ายค่าเช่า (นายจ้างจะแจ้งราคากับเราก่อนเดินทางไป)
ลักษณะเป็น Apartment แบ่งเช่า แยกชั้นบน - ล่าง
เด็กเวิร์คหญิง 5 คนเช่าเพียง 2 ห้องนอนในชั้นล่าง
ตัวบ้านชั้นล่างมีห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง (Ensuite ห้องน้ำในตัว) เช่าโดย roommate ชาวมาเลย์ที่มาทำงานอยู่ที่นี่นานแล้ว
และมีห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง (Share Bathroom กัน) เป็นของเราเด็กเวิร์คผู้หญิง 5 คนเช่าอยู่
และยังมีครัวใหญ่และส่วนนั่งเล่นกลาง ที่ต้องแชร์กันระหว่างเด็กเวิร์คและ roommate ชาวมาเลย์ที่อยู่ห้อง ensuite ด้วย
ค่าเช่าตกคนละ 75 $/week
ส่วนชั้นบน มีบันไดแยกขึ้นได้ภายนอกตัวบ้าน แยกกับที่เราอยู่อย่างชัดเจน เจ้าของก็แบ่งเช่าเป็นห้องๆ แบบชั้นล่างเช่นกัน
/// ต่อใน Comment ///