ว่าไงนะ! ญี่ปุ่นไป-กลับ 6,500 / ฮ่องกง 4,900 / สิงคโปร์ 1,900 /
ลอนดอน 16,000 / มาเก๊า 3,500 / ไป-กลับ 0 บาท /
หลังจากได้รับรู้ข่าวสารพวกนี้ ในหัวของนักเดินทาง และนักช้อปทั้งหลาย
หัวใจคุณคงเต้นระรัว ในหัวจะได้ยินเสียงเรียกร้องจากห้วงลึกในจิตใจว่า
“อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ได้เที่ยวนานละ (ได้ข่าวว่าหล่อนเพิ่งกลับจากเกาหลีนะ/เพื่อนกล่าวในใจ)”
“อยากไปชาร์จพลัง ทำงานเหนื่อยมาทั้งปี ขอให้ของขวัญตัวเองได้ไปเที่ยวบ้างเถอะ?”
“จะไปไหนดีน้า? คิดสิ คิด”
“เออ...จองๆ ไปเหอะ ที่ไหนก็ได้ให้มันได้ถูกๆ ไว้ก่อน”
“จะมีใครไปบ้างนะ เอาให้ชัวร์ ซื้อแล้วเปลี่ยนวันไม่ได้นะเว้ย”
จากปฏิทินของปีหน้าที่แทบจะไม่ได้แกะออกจากม้วนหรือวางสุมๆ ไว้ในลิ้นชัก ก็เป็นที่ต้องการในทันที “เฮ้ย! ปีหน้าเดือนไหนมีวันหยุดติดกันบ้าง จะได้ใช้วันลาน้อยๆ” และเมื่อได้บรรลุจุดประสงค์กันถ้วนหน้าแล้ว ในวันเดินทางคุณจะต้องพบกับสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เร้นลับ บ้างก็สงสัย บ้างก็ปล่อยผ่านไม่สนใจ แต่ทุกคนต้องผ่าน ณ จุดๆ นี้ นั่นคือ King Power Duty Free พื้นที่ขายสินค้าปลอดภาษีอากร หรือเรียกได้ว่าด่านดูดวิญญาณนักช้อปนั่นเอง
Duty Free คืออัลไร ?
ก่อนอื่นขอเล่าประสบการณ์ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างผมที่แต่ก่อน ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ไปต่างประเทศเลย ตัวผมเองถูกเลี้ยงด้วยการกระโดดโหม่ง เห็ดกินแล้วโต กระสุนปืน F ยิงแล้วม้วนๆ (คนสร้างช่างคิดเนอะ อ่านถึงตรงนี้เพื่อนๆ คงเดาอายุผมออกละ ถ้างั้นคุณก็ไม่ห่างจากผมหรอก) เพียงแค่ฝันว่าชีวิตนี้ก่อนตายขอไปญี่ปุ่นสักครั้ง ในตอนนั้นค่าตั๋วไป-กลับโตเกียวก็ราวๆ 3 หมื่นบาท และในที่สุด การเดินทางข้ามประเทศครั้งแรกของผมก็มาถึงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมเป็น 1 ที่ได้รับเลือกให้ไปทำงานที่ลอนดอน แต่เหมือนไปเที่ยวซะมากกว่า เพราะการทำงานมันสนุก และตื่นเต้นมาก(หลังจากทริปนั้นผมก็เป็นเด็กใจแตก เที่ยวมันทุกปี)
ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้จักคำว่า Duty Free แปลว่า ปราศจากหน้าที่! “ใช่เหรอออออ???” จริงๆ แล้วหมายถึง ปลอดภาษีครับ แล้วยังไง... คือแบบ... ไม่มีภาษี = ราคาถูก? ใช่แล้วครับ สินค้าที่ขายในนี้ก็จะราคาถูกกว่าข้างนอก
ก็คงมีคำถามต่อมาว่า แล้วจะซื้ออะไร? มีอะไรขาย? มีอะไรน่าซื้อ? คือสินค้าในส่วนนี้ก็เป็นของที่มีขายตามห้างนั่นแหละครับ สินค้ามีหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ เป็นของที่นักเดินทางมักซื้อหามาใช้เอง หรือมาฝากคนที่บ้าน ในตอนนั้นเองตัวผมเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ ได้ทำงานไม่นาน ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินออมสำหรับเที่ยว จึงไม่ได้แลกเงินปอนด์ติดตัว(ณ ตอนนั้นปอนด์ละ 70 บาท) แถมเงินบาทก็มีไว้สำหรับโบกแท๊กซี่กลับบ้านเท่านั้น
แล้วทำไมสินค้าปลอดภาษีถึงมีราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไป
ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้หากว่าผมไม่ได้เขียนบทความนี้ ผมก็คงไม่ได้หาข้อมูลว่าจริงๆ แล้ว Duty Free ทำไมถึงตั้งราคาได้ถูกกว่าสินค้าทั่วไป ถ้าจะตอบว่า “ก็มันไม่คิดภาษี” มันก็ถูก แต่ก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่กระจ่าง ผมได้ใช้สมองอันน้อยนิดค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งอโคจร เอ้ย! แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือก็ได้ความว่าสินค้าในพื้นที่ Duty Free เป็นพื้นที่เขตเฉพาะที่ยกเว้น 1.ภาษีศุลกากร 2.ภาษีสรรพสามิต 3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ยกตัวอย่างน้ำหอม Davidoff Cool Water ที่ผมชอบแล้วกัน
จะเห็นว่าราคาในห้างแพงกว่า duty free 740 บาท แต่ราคาจากเว็บขายของถูกกว่าก็จริง แต่คุณต้องรับความเสี่ยงที่ว่า สินค้าอาจจะเป็นของเลียนแบบ รวมถึงการโอนเงินซื้อของ และการขนส่ง ไม่แน่คุณอาจจะได้น้ำหอมกลิ่นก้อนหินบรรจุกล่องพัสดุมาแทนก็ได้
แต่ใช่ว่าสินค้าใน Duty Free จะถูกกว่าเสมอไป เพราะสินค้าที่นำมาขายยังคงมีส่วนของกำไร เพราะ Duty free ไม่ได้แปลว่าปลอดกำไร แค่ปลอดภาษีเท่านั้น เพราะฉะนั้น King Power จึงมีโปรโมชั่นที่ลดราคาโน่นนี่นั่นจนดึงดูด(เงิน)อยู่ตลอด
บางคนคงมีคำถามในใจว่า
“แล้วทำไมถึงต้องช้อปที่ King Power”
ผมวิเคราะห์เอาเอง และแบ่งได้ดังนี้ครับ แหม...อย่างกับทำรายงานส่งอาจารย์
1. มีสินค้าพิเศษที่ขายเฉพาะ (Exclusive) ใน King Power Duty Free
ในตอนที่ผมไปลอนดอนนั้นขากลับเข้ามาในประเทศไทย ผมซื้อน้ำหอม Estee Lauder Emerald Dream แพ็คคู่ เป็นกลิ่นที่หอมถูกใจ(ไม่ได้ใช้เองนะ) พอหมดก็จะซื้ออีก แต่ไปถามหาในห้างก็ไม่เจอรุ่นนี้ ไม่คิดว่ามันจะควบคุมให้ขายได้เฉพาะใน Duty Free ได้จริงๆ (ความคิดในตอนซื้อคือ ถ้าของดีมีคนซื้อมันก็น่าจะมีขายอยู่ตามห้างสิ) จนบัดนี้หาเท่าไรก็ไม่มีครับ ราคาแพ๊คคู่ถูกลงเกือบ 50% ยังไม่หมดเท่านั้น ยังมีแถมกระเป๋าหนังพร้อม eye cream และอีกสารพัดในนั้น เหมือนเป็น Travel set แถมให้อีก วันนั้นไม่มีเงินซื้อ ต้องยืมเงินหัวหน้า คุ้มจริงครับ
2. มีส่วนลดและของแถมแต่ละยี่ห้อ ร่วมกับ King Power และบัตรเครดิต รวมเป็น Super Combo
ผมเห็นแทบทุกยี่ห้อ มีทั้งของแถม + ส่วนลดเมื่อซื้อเท่านั้นเท่านี้เต็มไปหมด ราวกับสนามรบที่ลูกค้าเป็นทรัพยากรณ์ที่ทุกแบรนด์ต้องแย่งชิงมาให้ได้ ต่อด้วยโปรฯ จากบัตรสมาชิก King Power 5 สี และปิดท้ายด้วยโปรฯ จากบัตรเครดิต ผมถึงเรียกว่า Super Combo ถ้าคำนวณเงินกันจริงๆ ลดเยอะมาก เยอะจนของบางชิ้นเหมือนได้มาฟรีๆ
3. สินค้าแบรนด์ชั้นนำของแท้ไม่ต้องสืบ
ไม่มีใครไม่เคยเจ็บจากการหาสินค้าของแท้ราคาถูก ก่อนที่จะดูเป็นว่าของแท้มั้ย ก็เคยโดนหลอกกันมาทั้งนั้น แล้วราคาของปลอมก็ไม่ได้ต่างจากของแท้มากมายอะไร เพิ่มเงินอีกนิดเดียวไม่ต้องกังวลสบายใจสิวๆ
ถ้าหากคุณมีโอกาสไปเที่ยว เตรียมตัวเพื่อไปช้อป ลองไปเดินเล่น King Power ก่อนออกเดินทางก็ได้ครับ สาขาที่ไม่ใช่สนามบินก็จะมีที่ ดาวทาวน์ คอมเพล็กซ์(ซอยรางน้ำ), ศรีวารี คอมเพล็กซ์ ต่างจังหวัดก็จะมี พัทยา คอมเพล็กซ์, กับคิงเพาเวอร์ ภูเก็ต เผลอๆ อาจจะถูกกว่าซื้อของจากประเทศที่คุณกำลังจะบินไปด้วยซ้ำ
ผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะช่วยให้นักเดินทางทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่าได้เข้าใจในเรื่องข้อกำหนดนี้ กลับจากทริปครั้งต่อไป เวลาซื้อของกลับมาจะได้มีแนวทางปฏิบัติ และได้ซื้อของถูกราคา ถูกใจกลับมาฝากให้คนที่คุณรักนะครับ กิ้วๆ
[SR] เพราะอะไรของใน Duty Free ถึงถูก แล้วทำไมต้องที่ King Power ???
ลอนดอน 16,000 / มาเก๊า 3,500 / ไป-กลับ 0 บาท /
หลังจากได้รับรู้ข่าวสารพวกนี้ ในหัวของนักเดินทาง และนักช้อปทั้งหลาย
หัวใจคุณคงเต้นระรัว ในหัวจะได้ยินเสียงเรียกร้องจากห้วงลึกในจิตใจว่า
“อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ได้เที่ยวนานละ (ได้ข่าวว่าหล่อนเพิ่งกลับจากเกาหลีนะ/เพื่อนกล่าวในใจ)”
“อยากไปชาร์จพลัง ทำงานเหนื่อยมาทั้งปี ขอให้ของขวัญตัวเองได้ไปเที่ยวบ้างเถอะ?”
“จะไปไหนดีน้า? คิดสิ คิด”
“เออ...จองๆ ไปเหอะ ที่ไหนก็ได้ให้มันได้ถูกๆ ไว้ก่อน”
“จะมีใครไปบ้างนะ เอาให้ชัวร์ ซื้อแล้วเปลี่ยนวันไม่ได้นะเว้ย”
จากปฏิทินของปีหน้าที่แทบจะไม่ได้แกะออกจากม้วนหรือวางสุมๆ ไว้ในลิ้นชัก ก็เป็นที่ต้องการในทันที “เฮ้ย! ปีหน้าเดือนไหนมีวันหยุดติดกันบ้าง จะได้ใช้วันลาน้อยๆ” และเมื่อได้บรรลุจุดประสงค์กันถ้วนหน้าแล้ว ในวันเดินทางคุณจะต้องพบกับสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เร้นลับ บ้างก็สงสัย บ้างก็ปล่อยผ่านไม่สนใจ แต่ทุกคนต้องผ่าน ณ จุดๆ นี้ นั่นคือ King Power Duty Free พื้นที่ขายสินค้าปลอดภาษีอากร หรือเรียกได้ว่าด่านดูดวิญญาณนักช้อปนั่นเอง
Duty Free คืออัลไร ?
ก่อนอื่นขอเล่าประสบการณ์ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างผมที่แต่ก่อน ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ไปต่างประเทศเลย ตัวผมเองถูกเลี้ยงด้วยการกระโดดโหม่ง เห็ดกินแล้วโต กระสุนปืน F ยิงแล้วม้วนๆ (คนสร้างช่างคิดเนอะ อ่านถึงตรงนี้เพื่อนๆ คงเดาอายุผมออกละ ถ้างั้นคุณก็ไม่ห่างจากผมหรอก) เพียงแค่ฝันว่าชีวิตนี้ก่อนตายขอไปญี่ปุ่นสักครั้ง ในตอนนั้นค่าตั๋วไป-กลับโตเกียวก็ราวๆ 3 หมื่นบาท และในที่สุด การเดินทางข้ามประเทศครั้งแรกของผมก็มาถึงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมเป็น 1 ที่ได้รับเลือกให้ไปทำงานที่ลอนดอน แต่เหมือนไปเที่ยวซะมากกว่า เพราะการทำงานมันสนุก และตื่นเต้นมาก(หลังจากทริปนั้นผมก็เป็นเด็กใจแตก เที่ยวมันทุกปี)
ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้จักคำว่า Duty Free แปลว่า ปราศจากหน้าที่! “ใช่เหรอออออ???” จริงๆ แล้วหมายถึง ปลอดภาษีครับ แล้วยังไง... คือแบบ... ไม่มีภาษี = ราคาถูก? ใช่แล้วครับ สินค้าที่ขายในนี้ก็จะราคาถูกกว่าข้างนอก
ก็คงมีคำถามต่อมาว่า แล้วจะซื้ออะไร? มีอะไรขาย? มีอะไรน่าซื้อ? คือสินค้าในส่วนนี้ก็เป็นของที่มีขายตามห้างนั่นแหละครับ สินค้ามีหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ เป็นของที่นักเดินทางมักซื้อหามาใช้เอง หรือมาฝากคนที่บ้าน ในตอนนั้นเองตัวผมเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ ได้ทำงานไม่นาน ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินออมสำหรับเที่ยว จึงไม่ได้แลกเงินปอนด์ติดตัว(ณ ตอนนั้นปอนด์ละ 70 บาท) แถมเงินบาทก็มีไว้สำหรับโบกแท๊กซี่กลับบ้านเท่านั้น
แล้วทำไมสินค้าปลอดภาษีถึงมีราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไป
ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้หากว่าผมไม่ได้เขียนบทความนี้ ผมก็คงไม่ได้หาข้อมูลว่าจริงๆ แล้ว Duty Free ทำไมถึงตั้งราคาได้ถูกกว่าสินค้าทั่วไป ถ้าจะตอบว่า “ก็มันไม่คิดภาษี” มันก็ถูก แต่ก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่กระจ่าง ผมได้ใช้สมองอันน้อยนิดค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งอโคจร เอ้ย! แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือก็ได้ความว่าสินค้าในพื้นที่ Duty Free เป็นพื้นที่เขตเฉพาะที่ยกเว้น 1.ภาษีศุลกากร 2.ภาษีสรรพสามิต 3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ยกตัวอย่างน้ำหอม Davidoff Cool Water ที่ผมชอบแล้วกัน
จะเห็นว่าราคาในห้างแพงกว่า duty free 740 บาท แต่ราคาจากเว็บขายของถูกกว่าก็จริง แต่คุณต้องรับความเสี่ยงที่ว่า สินค้าอาจจะเป็นของเลียนแบบ รวมถึงการโอนเงินซื้อของ และการขนส่ง ไม่แน่คุณอาจจะได้น้ำหอมกลิ่นก้อนหินบรรจุกล่องพัสดุมาแทนก็ได้
แต่ใช่ว่าสินค้าใน Duty Free จะถูกกว่าเสมอไป เพราะสินค้าที่นำมาขายยังคงมีส่วนของกำไร เพราะ Duty free ไม่ได้แปลว่าปลอดกำไร แค่ปลอดภาษีเท่านั้น เพราะฉะนั้น King Power จึงมีโปรโมชั่นที่ลดราคาโน่นนี่นั่นจนดึงดูด(เงิน)อยู่ตลอด
“แล้วทำไมถึงต้องช้อปที่ King Power”
ผมวิเคราะห์เอาเอง และแบ่งได้ดังนี้ครับ แหม...อย่างกับทำรายงานส่งอาจารย์
1. มีสินค้าพิเศษที่ขายเฉพาะ (Exclusive) ใน King Power Duty Free
ในตอนที่ผมไปลอนดอนนั้นขากลับเข้ามาในประเทศไทย ผมซื้อน้ำหอม Estee Lauder Emerald Dream แพ็คคู่ เป็นกลิ่นที่หอมถูกใจ(ไม่ได้ใช้เองนะ) พอหมดก็จะซื้ออีก แต่ไปถามหาในห้างก็ไม่เจอรุ่นนี้ ไม่คิดว่ามันจะควบคุมให้ขายได้เฉพาะใน Duty Free ได้จริงๆ (ความคิดในตอนซื้อคือ ถ้าของดีมีคนซื้อมันก็น่าจะมีขายอยู่ตามห้างสิ) จนบัดนี้หาเท่าไรก็ไม่มีครับ ราคาแพ๊คคู่ถูกลงเกือบ 50% ยังไม่หมดเท่านั้น ยังมีแถมกระเป๋าหนังพร้อม eye cream และอีกสารพัดในนั้น เหมือนเป็น Travel set แถมให้อีก วันนั้นไม่มีเงินซื้อ ต้องยืมเงินหัวหน้า คุ้มจริงครับ
2. มีส่วนลดและของแถมแต่ละยี่ห้อ ร่วมกับ King Power และบัตรเครดิต รวมเป็น Super Combo
ผมเห็นแทบทุกยี่ห้อ มีทั้งของแถม + ส่วนลดเมื่อซื้อเท่านั้นเท่านี้เต็มไปหมด ราวกับสนามรบที่ลูกค้าเป็นทรัพยากรณ์ที่ทุกแบรนด์ต้องแย่งชิงมาให้ได้ ต่อด้วยโปรฯ จากบัตรสมาชิก King Power 5 สี และปิดท้ายด้วยโปรฯ จากบัตรเครดิต ผมถึงเรียกว่า Super Combo ถ้าคำนวณเงินกันจริงๆ ลดเยอะมาก เยอะจนของบางชิ้นเหมือนได้มาฟรีๆ
3. สินค้าแบรนด์ชั้นนำของแท้ไม่ต้องสืบ
ไม่มีใครไม่เคยเจ็บจากการหาสินค้าของแท้ราคาถูก ก่อนที่จะดูเป็นว่าของแท้มั้ย ก็เคยโดนหลอกกันมาทั้งนั้น แล้วราคาของปลอมก็ไม่ได้ต่างจากของแท้มากมายอะไร เพิ่มเงินอีกนิดเดียวไม่ต้องกังวลสบายใจสิวๆ
ถ้าหากคุณมีโอกาสไปเที่ยว เตรียมตัวเพื่อไปช้อป ลองไปเดินเล่น King Power ก่อนออกเดินทางก็ได้ครับ สาขาที่ไม่ใช่สนามบินก็จะมีที่ ดาวทาวน์ คอมเพล็กซ์(ซอยรางน้ำ), ศรีวารี คอมเพล็กซ์ ต่างจังหวัดก็จะมี พัทยา คอมเพล็กซ์, กับคิงเพาเวอร์ ภูเก็ต เผลอๆ อาจจะถูกกว่าซื้อของจากประเทศที่คุณกำลังจะบินไปด้วยซ้ำ
ผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะช่วยให้นักเดินทางทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่าได้เข้าใจในเรื่องข้อกำหนดนี้ กลับจากทริปครั้งต่อไป เวลาซื้อของกลับมาจะได้มีแนวทางปฏิบัติ และได้ซื้อของถูกราคา ถูกใจกลับมาฝากให้คนที่คุณรักนะครับ กิ้วๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น