การที่เราเหมารวมคนๆหนึ่ง ด้วยศาสนาหนึ่ง หรือเชื้อชาติหนึ่งนั้น
เป็น ปัญหาทางสภาพจิตใจอย่างหนึ่ง
เพราะอะไร ?
เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างกัน
คุณคิดว่าคนพุทธคนหนึ่งคิดเหมือนๆกับคนพุทธอีกคนหนึ่งหรือเปล่า
คนมุสลิม หนึ่งคน คิดไม่เหมือนกัน เช่นกัน .แม้จะคิดเหมือนกันสิบเรื่อง
แต่อาจมีเรื่องที่คิดไม่เหมือนกันอีก ยี่สิบเรื่อง นั่นเพราะ มนุษย์ ล้วนมีความแตกต่างกัน
การตัดสินปัจเจกบุคคลหนึ่งไปก่อน โดยยังไม่ได้เห็น กรรมทาง กาย วาจา ใจนั้น
เราจึงเรียกว่า อคติ -- โดยเฉพาะอคติที่เกิดจากความเกลียด จนนำไปสู่ วจีกรรมนั้น เรามักจะเรียกว่า "การเหยียด"
ผมเฝ้าดู อาการเกลียดอิสลาม แล้ว สาเหตุหลักๆ มาจาก ข้อเท็จจริง ของความไม่ดีของมุสลิมจริงๆ นั่นแหละ จริงๆ...
แต่มันมีปัญหาต่อจากนั้นคือ คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเกลียดอิสลามนั้น มักไม่มีเพื่อนมุสลิมเป็นตัวเป็นตน
จึงมักจะนำเอา ความไม่ดีของมุสลิมทั้งโลก มารวมอยู่ ใน "ตัวตนสมมุติเดียว"
มันจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าคุณเอาข่าวไม่ดีทุกอย่างมารวมๆใน"คนสมมุติเพียงคนเดียว"
เหมือนคนต่างศาสนา เอา พระวิฑุร เนรคำ ธรรมชโย พุทธอิสระ มารวมในคนๆ เดียว แล้วเรียกว่า "คนพุทธสมมุติ"
นึกภาพตามนะครับว่า มันจะน่ากลัวขนาดไหน "คนพุทธสมมุติทีว่านี้" มันยิ่งกว่าการรวมร่างของซุปเปอร์ไซย่าซะอีก
แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเสพข่าวด้านลบของมุสลิม(จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง) และเอาทุกข่าวมารวมๆกันในคนๆเดียว
ซึ่งมันขัดกับ ความจริงของมนุษย์ ที่ว่า เราล้วนแตกต่างกัน คิด พูด กระทำ ไม่เหมือนกัน
เมื่อเราทำสิ่งที่ขัดกับธรรมาชาติของความจริงเราก็ป่วย ป่วยไม่พอยังกระจายความป่วยไข้ไปในสังคมต่อไปด้วย
และเรียกอาการป่วยแบบนี้ว่าป่วยจากอคติ
ทางแก้ แก้ยังไง?
เราต้องมาทำความเข้าใจอาการป่วยจากอคติของทางพุทธก่อน
อคติในทางพุทธศาสนา นี่มันจะทำให้เรา เรารู้ความจริง วิปลาสไป
คือ ฟังอย่างหนึ่ง ไปแปลเอาเป็นอย่างหนึ่ง จิตจะแปล สิ่งที่รับเข้ามาให้เป็นสิ่งที่อยากให้เป็น
ดังนั้คนที่ป่วยจากอคติ มักจะ มีปัญหาการรับรู้ด้านข้อเท็จจริง
แม้จะใส่ความจิรงเข้าไปเท่าไหร่ ความจริงก็ไม่สามารถแก้ไขอาการป่วยได้เลย
เพราะต่อให้ใส่ความจริงเข้าไปเท่าไหร่ จิตก็จะแปลไปตามที่จิตพอใจ เท่านั้นเอง
และอคติ ตัวนี้ก็ขยายผลต่อไป การกระทำทางวาจา และ กายในระดับความรุนแรงถัดไป
เมื่อวิเคราะห์ได้ดังนี้
แล้วเราจะแก้อคติยังไง?
คำตอบคือต้อง ไปสลายตัวตนสมมุติ ที่ว่านั้น
ตัวตนสมมุติ นี้ คือ ทฤษฏีด้านปัจเจกชนผิดๆ ที่ คนที่เกลียดอิสลามตั้งขึ้น ว่ามุสลิมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ซึ่งก็คือ มิจฉาทิฐิ (ตั้งทฤษฏีผิดๆว่ามุสลิมทุกคนต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้)
ที่เกิดจาก ปรโตโฆสะ (เกิดจากการฟังเอาโฆษณาแต่บุคคลอื่น เสียงจากผู้อื่น ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น)
ปรโตโฆสะ ทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ และ ทำให้มีอคติ ตามมา ซึ่งอคตินี่แหละที่เป็นรากฐานของการเหยียดทั้งปวง
ดังนั้นทางแก้คือ ต้องไปหยุด ปรโตโฆสะ คือ หยุดหูเบา นั่นแหละ
หยุดยังไง? ยาสองตัวที่ช่วยได้ก็คือ โยนิโสมนสิการ , กาลามสูตร คือ ใช้ปัญญาพิจารณาข้อมูลที่รับเข้ามา
อย่างเป็นระบบ และ ไตร่ตรองที่มาที่ไป ก่อนที่จะรับเข้าไป
ถ้ามี โยนิโสมนสิการ , กาลามสูตร มาก ปรโตโฆสะ ก็จะหายไป ปรโตโฆสะ หายไป มิจฉาทิฐิ ก็หายไป
มิจฉาทิฐิ ก็หายไป อคติก็หายไป อคติก็หายไป ความป่วยก็หายไป
เพื่อนมุสลิมสมมติหายไป ก็เหลือ เพียงปัจเจกมุสลิที่คุณยังไม่เคยรู้จัก
เมื่ออาการป่วยหายไป คนก็จะแยกแยะได้ว่า มุสลิมก็เป็นปัจเจกบุคคล เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ซึ่งไม่ควรถูกตัดสิน เพียงจากข่าวทีคุณเสพเท่านั้นเอง
มนุษย์แต่ละคนนั้น แตกต่างกัน กรรมทางกายวาจาใจ ไม่เหมือนกัน
แม้จะอยู่ศาสนาเดียวกัน และ แม้จะต่างศาสนากัน
ดังนั้น ถ้าเราก้าวข้าวความแตกต่างทางศาสนาได้ เราอาจจะได้พบเพื่อนที่มีศีลเสมอ กัน
แม้จะต่างศาสนากันก็ได้ บางครั้งเจอเยอะกว่าศาสนาเดียวกันที่เรารายล้อมเราอีก
ทั้งหมดที่เขียนมาสรุปสั้นสองบรรทัด
เลิกมีเพื่อนมุสลิมสมมุติ หาเพื่อนจริงๆ เลิกหูเบา คิดก่อนเชื่อ
แล้วจะพบเพื่อนดีๆ ศีลเสมอกันอยู่ในทุกศาสนา เท่านั้นเอง
โรคเกลียดอิสลาม แก้ได้ด้วยคำสอนในพุทธศาสนา
เป็น ปัญหาทางสภาพจิตใจอย่างหนึ่ง
เพราะอะไร ?
เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างกัน
คุณคิดว่าคนพุทธคนหนึ่งคิดเหมือนๆกับคนพุทธอีกคนหนึ่งหรือเปล่า
คนมุสลิม หนึ่งคน คิดไม่เหมือนกัน เช่นกัน .แม้จะคิดเหมือนกันสิบเรื่อง
แต่อาจมีเรื่องที่คิดไม่เหมือนกันอีก ยี่สิบเรื่อง นั่นเพราะ มนุษย์ ล้วนมีความแตกต่างกัน
การตัดสินปัจเจกบุคคลหนึ่งไปก่อน โดยยังไม่ได้เห็น กรรมทาง กาย วาจา ใจนั้น
เราจึงเรียกว่า อคติ -- โดยเฉพาะอคติที่เกิดจากความเกลียด จนนำไปสู่ วจีกรรมนั้น เรามักจะเรียกว่า "การเหยียด"
ผมเฝ้าดู อาการเกลียดอิสลาม แล้ว สาเหตุหลักๆ มาจาก ข้อเท็จจริง ของความไม่ดีของมุสลิมจริงๆ นั่นแหละ จริงๆ...
แต่มันมีปัญหาต่อจากนั้นคือ คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเกลียดอิสลามนั้น มักไม่มีเพื่อนมุสลิมเป็นตัวเป็นตน
จึงมักจะนำเอา ความไม่ดีของมุสลิมทั้งโลก มารวมอยู่ ใน "ตัวตนสมมุติเดียว"
มันจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าคุณเอาข่าวไม่ดีทุกอย่างมารวมๆใน"คนสมมุติเพียงคนเดียว"
เหมือนคนต่างศาสนา เอา พระวิฑุร เนรคำ ธรรมชโย พุทธอิสระ มารวมในคนๆ เดียว แล้วเรียกว่า "คนพุทธสมมุติ"
นึกภาพตามนะครับว่า มันจะน่ากลัวขนาดไหน "คนพุทธสมมุติทีว่านี้" มันยิ่งกว่าการรวมร่างของซุปเปอร์ไซย่าซะอีก
แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเสพข่าวด้านลบของมุสลิม(จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง) และเอาทุกข่าวมารวมๆกันในคนๆเดียว
ซึ่งมันขัดกับ ความจริงของมนุษย์ ที่ว่า เราล้วนแตกต่างกัน คิด พูด กระทำ ไม่เหมือนกัน
เมื่อเราทำสิ่งที่ขัดกับธรรมาชาติของความจริงเราก็ป่วย ป่วยไม่พอยังกระจายความป่วยไข้ไปในสังคมต่อไปด้วย
และเรียกอาการป่วยแบบนี้ว่าป่วยจากอคติ
ทางแก้ แก้ยังไง?
เราต้องมาทำความเข้าใจอาการป่วยจากอคติของทางพุทธก่อน
อคติในทางพุทธศาสนา นี่มันจะทำให้เรา เรารู้ความจริง วิปลาสไป
คือ ฟังอย่างหนึ่ง ไปแปลเอาเป็นอย่างหนึ่ง จิตจะแปล สิ่งที่รับเข้ามาให้เป็นสิ่งที่อยากให้เป็น
ดังนั้คนที่ป่วยจากอคติ มักจะ มีปัญหาการรับรู้ด้านข้อเท็จจริง
แม้จะใส่ความจิรงเข้าไปเท่าไหร่ ความจริงก็ไม่สามารถแก้ไขอาการป่วยได้เลย
เพราะต่อให้ใส่ความจริงเข้าไปเท่าไหร่ จิตก็จะแปลไปตามที่จิตพอใจ เท่านั้นเอง
และอคติ ตัวนี้ก็ขยายผลต่อไป การกระทำทางวาจา และ กายในระดับความรุนแรงถัดไป
เมื่อวิเคราะห์ได้ดังนี้
แล้วเราจะแก้อคติยังไง?
คำตอบคือต้อง ไปสลายตัวตนสมมุติ ที่ว่านั้น
ตัวตนสมมุติ นี้ คือ ทฤษฏีด้านปัจเจกชนผิดๆ ที่ คนที่เกลียดอิสลามตั้งขึ้น ว่ามุสลิมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ซึ่งก็คือ มิจฉาทิฐิ (ตั้งทฤษฏีผิดๆว่ามุสลิมทุกคนต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้)
ที่เกิดจาก ปรโตโฆสะ (เกิดจากการฟังเอาโฆษณาแต่บุคคลอื่น เสียงจากผู้อื่น ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น)
ปรโตโฆสะ ทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ และ ทำให้มีอคติ ตามมา ซึ่งอคตินี่แหละที่เป็นรากฐานของการเหยียดทั้งปวง
ดังนั้นทางแก้คือ ต้องไปหยุด ปรโตโฆสะ คือ หยุดหูเบา นั่นแหละ
หยุดยังไง? ยาสองตัวที่ช่วยได้ก็คือ โยนิโสมนสิการ , กาลามสูตร คือ ใช้ปัญญาพิจารณาข้อมูลที่รับเข้ามา
อย่างเป็นระบบ และ ไตร่ตรองที่มาที่ไป ก่อนที่จะรับเข้าไป
ถ้ามี โยนิโสมนสิการ , กาลามสูตร มาก ปรโตโฆสะ ก็จะหายไป ปรโตโฆสะ หายไป มิจฉาทิฐิ ก็หายไป
มิจฉาทิฐิ ก็หายไป อคติก็หายไป อคติก็หายไป ความป่วยก็หายไป
เพื่อนมุสลิมสมมติหายไป ก็เหลือ เพียงปัจเจกมุสลิที่คุณยังไม่เคยรู้จัก
เมื่ออาการป่วยหายไป คนก็จะแยกแยะได้ว่า มุสลิมก็เป็นปัจเจกบุคคล เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ซึ่งไม่ควรถูกตัดสิน เพียงจากข่าวทีคุณเสพเท่านั้นเอง
มนุษย์แต่ละคนนั้น แตกต่างกัน กรรมทางกายวาจาใจ ไม่เหมือนกัน
แม้จะอยู่ศาสนาเดียวกัน และ แม้จะต่างศาสนากัน
ดังนั้น ถ้าเราก้าวข้าวความแตกต่างทางศาสนาได้ เราอาจจะได้พบเพื่อนที่มีศีลเสมอ กัน
แม้จะต่างศาสนากันก็ได้ บางครั้งเจอเยอะกว่าศาสนาเดียวกันที่เรารายล้อมเราอีก
ทั้งหมดที่เขียนมาสรุปสั้นสองบรรทัด
เลิกมีเพื่อนมุสลิมสมมุติ หาเพื่อนจริงๆ เลิกหูเบา คิดก่อนเชื่อ
แล้วจะพบเพื่อนดีๆ ศีลเสมอกันอยู่ในทุกศาสนา เท่านั้นเอง