05.30 น. วันที่ 3 กันยายน 2555 ซอยสุขุมวิท 47
เฟอรารี ทะเบียน ญญ 1111 กทม. พุ่งชนมอร์เตอร์ไซด์ออกมาจากซอยเสียชีวิต
ชนแล้วลากศพพร้อมจักรยานยนต์ไปไกลเกือบ 200 เมตร แล้วหลบหนีเข้าบ้านพักเลขที่ 9 ภายในซอยสุขุมวิท 53
ต่อมาพบว่าบ้านพักหลังดังกล่าวเป็นของ “เฉลิม อยู่วิทยา” เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง
ผู้เสียชีวิตคือ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ป.ของ สน.ทองหล่อ
แรก ๆ ก็มีการเปลี่ยนตัวคนขับ แต่เมื่อเกรงว่าจะโดนข้อหาเพิ่ม
คนขับตัวจริงจึงได้ยอมเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงาน
แล้วความแปลกแปร่งแห่งคดีก็ค่อย ๆ ปรากฎขึ้น
เริ่มจากการทำสำนวนสรุปคดีล่าช้า จนความผิดบางกระทงขาดอายุความ
ตามด้วยตำรวจและอัยการไม่ฟ้องข้อหาขับรถเร็วเกินกว่ากำหนด และข้อหาเมาแล้วขับ
ขับเร็วเกิดกำหนดหรือไม่ ตำรวจก็เชื่อพยานว่า ขับไม่เร็ว
โดยไม่พิจารณาดูสภาพรถ เฟอรารีคันเกิดเหตุ หน้ารถยุบ กระโปรงรถโค้งงอ กระจกหน้าร้าวเกือบทั้งแผ่น
หากไม่ชนแรง ไม่เกิดร่องรอยขนาดนี้
หากไม่ขับเร็ว ไม่ชนแรงขนาดนี้
พยานหลายปาก ผู้เชี่ยวชาญ ต่างเห็นตรงกันว่า ขับมาเร็วไม่ต่ำกว่า 170 กม./ขม.
แต่สรุปในสำนวนหน้าตาเฉยว่า มีพยานบอกขับไม่เร็วเกิดกำหนด
เรื่องเมาหรือไม่
ตำรวจสรุปในสำนวนหลังการตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดว่า เป็นการ "เมาหลังขับ"
อ้างว่า ผู้ชน ชนแล้วตกใจ คิดมาก จึงดื่มสุราก่อนเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงาน
นี่ความผิดปกติอย่างยิ่งในการทำสำนวน
เพราะตามกฎหมาย หากผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี ไม่ยอมเข้าพบเจ้าพนักงาน
หรือมีพฤติการณ์บ่ายเบี่ยงในการตรวจสาเหตุ เจ้าพนักงานสามารถตั้งข้อหาตามข้อเท็จจริงที่สันนิษฐานได้ทันที
กรณีนี้ สามารถตั้งข้อหาเมาแล้วขับได้อย่างชิว ๆ เพราะองค์ประกอบทางคดีครบสมบูรณ์
แต่ดันทำสำนวนว่า "เมาหลังขับ"
ไม่ฟ้องข้อหาขับเร็ว ไม่ฟ้องข้อหาเมาแล้วขับ แต่ฟ้องข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต..........
ความย้อนแย้งก็ปรากฎทันที
ไม่เร็ว ไม่เมา ก็กลายเป็นเหตุสุดวิสัย
ชนแล้วลากไปไกลสองร้อยเมตร อ้างได้ว่าตกใจ ไม่รู้มีรถมีคนตอดอยู่
เรียกว่า สำนวนอ่อนยวบ เหมือนช่วยผู้ต้องหาให้ได้รับโทษน้อยที่สุด นั่นคือ รอลงอาญา
(คดีแบบนี้ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ ไม่เมา มีการแสดงความรับผิดชอบตามความเหมาะสม รอลงอาญาทั้งนั้น)
เยียวยา 3 ล้าน เหมาะสมหรือไม่ ?
ตำรวจผู้ตาย อายุ 47 ปี เหลืออายุราชการอีก 13-14 ปี
หลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ตีว่าเงินเดือน+เบี้ยเลี้ยง เดือนละ 30,000 บาท ก็ตกปีละ 360,000 บาท
14 ปี ก็ห้าล้านกว่าบาท !!!
มากกว่า 3 ล้านไปเยอะแล้ว !!!
ไม่นับว่าเงินเดือนต้องขึ้นทุกปี ไม่นับผลประโยชน์อื่น ๆ ไม่คิดเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และอื่น ๆ
ด้วยหลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ อย่างนี้ การเยียวยาควรไม่น้อยกว่า 8 ล้านบาท
ซึ่ง 8 ล้านบาทสำหรับมหาเศรษฐี ไม่มากเลย ไม่ใช่แค่เศษเงิน 3 ล้านบาท
เรื่องทางคดี
มีการทำสำนวนล่าช้า จนเป็นเหตุให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานสอบสวนหลายคน
ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือไม่ เป็นการ "ค้าสำนวน" หรือไม่
เพราะสำนวนอ่อนเหลือเกิน เป็นการสรุปสำนวนทางคดีเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาเกินไป
ไม่คัดค้านการประกัน ทั้งที่ชนแล้วลากหนี ชนแล้วหนี
ไม่คัดค้านการเดินทางไปต่างประเทศ
เลื่อนสั่งคดี เลื่อนส่งฟ้องหลายครั้ง โดยการอ้างว่าผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม
จริงอยู่ การขอความเป็นธรรม การต่อสู้ทางคดี เป็นสิทธิอันชอบธรรมของผู้ต้องหา
แต่เหตุแห่งการเลื่อนคดีสร้างความเคลือบแคลงให้สังคมเหลือเกิน
ร้องขอความเป็นธรรมได้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องให้โอกาสเสมอไป หรือสามารถดำเนินการเรื่องที่ขอความเป็นธรรมอย่างรวดเร็วได้
ไม่ใช่เลื่อนซ้ำซาก ร้องอะไรมา รับฟังหมด
คดีมีอายุความ 15 ปี นี่หมดไปแล้ว 5 ปี แต่คดียังไม่ถึงศาล
(เทียบกับคดีสามสี่วันก่อน ชนแล้วลากสาววัยรุ่นล่าสุดที่ลำพูน ตำรวจบอกจะส่งฟ้องภายในสามวัน)
คดีนี้ มองมุมไหน พิจารณาอย่างไร ก็มองไม่เห็นความปกติ
ชนแล้วลาก หนีเข้าบ้าน ขับไม่เร็ว เมาหลังขับ เลื่อนคดีซ้ำซาก เยียวยาไม่เหมาะสม
(การเยียวยาในคดีอื่น ๆ ที่ไม่เรียกร้องกันมาก แค่หลักหมื่นหลักแสน นั่นก็เพราะความเมตตาเห็นอกเห็นใจกัน
ผู้ชนก็ไม่มีฐานะ ญาติผู้ตายก็เห็นใจ ไม่เรียกร้องมากเกินไป - อย่างคดีแพรวา ไม่เยียวยาสักบาท อยากได้ฟ้องเอา)
มีบางคนเถียงว่า เป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิด จะอะไรนักหนา
จะมาร่ำไรอะไรกับทายาทกระทิงแดง ทีทักษิณที่หลอกคนมาตาย ที่หนีไปต่างประเทศ ทำไมไม่ตามจี้บ้าง
มันคนละเรื่องเลย คนละเหตุ คนละกรณีเลย
เป็นการใช้ตรรกะพิการมาเถียงแบบเด็กเถียงเอาชนะเท่านั้นเอง
เป็นอุบัติเหตุจริง เพราะไม่มีใครหรอกจะขับรถชนคนตายโดยเจตนา
แต่เมื่อเกิดเหตุแล้ว ควรกล้ารับผิดชอบ รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ไม่ใช่หนี ไม่ใช่อ้างบ๊วย ๆ ว่า อุบัติเหตุจะเอาอะไรนักหนา
ที่สำคัญ คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่สังคมเขาตำหนิ ไม่ได้ตำหนิผู้ต้องหา
เรื่องนี้ หากชน แล้วแค่จอดรถ ลงมาดู แจ้งความ แสดงความกล้าหาญรับผิดชอบ
เป็นเรื่องพูดคุยกันได้ สังคมก็จะเห็นใจ ไม่เพ่งเล็งเรื่องสองมาตรฐานทางกฎหมาย
หากเจ้าพนักงานจะทำสำนวนว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่เมา เยียวยาแล้วตามสมควร
เรื่องจบไปนานแล้ว
เพราะเรื่องแบบนี้ เกิดอยู่ทุกวัน เป็นคดีทุกวัน ไม่เห็นมีใครติดคุก ยกเว้นเหลือรับจริง ๆ
คดีนี้ สังคมไม่ได้ตำหนิผู้ต้องหาเท่าไรหรอกครับ แต่ตำหนิเจ้าพนักงาน
ซึ่ง สตช. และ สำนักงานอัยการ ควรมีคำตอบให้สังคม นั่นคือดำเนินการทางคดีอย่างเป็นธรรมซะที
จะห้าปี แต่ไม่ถึงไหนอยู่อย่างนี้ เกินไปครับ
คดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นอุบ้ติเหตุอันสุดวิสัย เป็นการต่อสู้ทางคดีอย่างปกติและเป็นธรรมจริงหรือ ?
เฟอรารี ทะเบียน ญญ 1111 กทม. พุ่งชนมอร์เตอร์ไซด์ออกมาจากซอยเสียชีวิต
ชนแล้วลากศพพร้อมจักรยานยนต์ไปไกลเกือบ 200 เมตร แล้วหลบหนีเข้าบ้านพักเลขที่ 9 ภายในซอยสุขุมวิท 53
ต่อมาพบว่าบ้านพักหลังดังกล่าวเป็นของ “เฉลิม อยู่วิทยา” เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง
ผู้เสียชีวิตคือ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ป.ของ สน.ทองหล่อ
แรก ๆ ก็มีการเปลี่ยนตัวคนขับ แต่เมื่อเกรงว่าจะโดนข้อหาเพิ่ม
คนขับตัวจริงจึงได้ยอมเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงาน
แล้วความแปลกแปร่งแห่งคดีก็ค่อย ๆ ปรากฎขึ้น
เริ่มจากการทำสำนวนสรุปคดีล่าช้า จนความผิดบางกระทงขาดอายุความ
ตามด้วยตำรวจและอัยการไม่ฟ้องข้อหาขับรถเร็วเกินกว่ากำหนด และข้อหาเมาแล้วขับ
ขับเร็วเกิดกำหนดหรือไม่ ตำรวจก็เชื่อพยานว่า ขับไม่เร็ว
โดยไม่พิจารณาดูสภาพรถ เฟอรารีคันเกิดเหตุ หน้ารถยุบ กระโปรงรถโค้งงอ กระจกหน้าร้าวเกือบทั้งแผ่น
หากไม่ชนแรง ไม่เกิดร่องรอยขนาดนี้
หากไม่ขับเร็ว ไม่ชนแรงขนาดนี้
พยานหลายปาก ผู้เชี่ยวชาญ ต่างเห็นตรงกันว่า ขับมาเร็วไม่ต่ำกว่า 170 กม./ขม.
แต่สรุปในสำนวนหน้าตาเฉยว่า มีพยานบอกขับไม่เร็วเกิดกำหนด
เรื่องเมาหรือไม่
ตำรวจสรุปในสำนวนหลังการตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดว่า เป็นการ "เมาหลังขับ"
อ้างว่า ผู้ชน ชนแล้วตกใจ คิดมาก จึงดื่มสุราก่อนเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงาน
นี่ความผิดปกติอย่างยิ่งในการทำสำนวน
เพราะตามกฎหมาย หากผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี ไม่ยอมเข้าพบเจ้าพนักงาน
หรือมีพฤติการณ์บ่ายเบี่ยงในการตรวจสาเหตุ เจ้าพนักงานสามารถตั้งข้อหาตามข้อเท็จจริงที่สันนิษฐานได้ทันที
กรณีนี้ สามารถตั้งข้อหาเมาแล้วขับได้อย่างชิว ๆ เพราะองค์ประกอบทางคดีครบสมบูรณ์
แต่ดันทำสำนวนว่า "เมาหลังขับ"
ไม่ฟ้องข้อหาขับเร็ว ไม่ฟ้องข้อหาเมาแล้วขับ แต่ฟ้องข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต..........
ความย้อนแย้งก็ปรากฎทันที
ไม่เร็ว ไม่เมา ก็กลายเป็นเหตุสุดวิสัย
ชนแล้วลากไปไกลสองร้อยเมตร อ้างได้ว่าตกใจ ไม่รู้มีรถมีคนตอดอยู่
เรียกว่า สำนวนอ่อนยวบ เหมือนช่วยผู้ต้องหาให้ได้รับโทษน้อยที่สุด นั่นคือ รอลงอาญา
(คดีแบบนี้ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ ไม่เมา มีการแสดงความรับผิดชอบตามความเหมาะสม รอลงอาญาทั้งนั้น)
เยียวยา 3 ล้าน เหมาะสมหรือไม่ ?
ตำรวจผู้ตาย อายุ 47 ปี เหลืออายุราชการอีก 13-14 ปี
หลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ตีว่าเงินเดือน+เบี้ยเลี้ยง เดือนละ 30,000 บาท ก็ตกปีละ 360,000 บาท
14 ปี ก็ห้าล้านกว่าบาท !!!
มากกว่า 3 ล้านไปเยอะแล้ว !!!
ไม่นับว่าเงินเดือนต้องขึ้นทุกปี ไม่นับผลประโยชน์อื่น ๆ ไม่คิดเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และอื่น ๆ
ด้วยหลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ อย่างนี้ การเยียวยาควรไม่น้อยกว่า 8 ล้านบาท
ซึ่ง 8 ล้านบาทสำหรับมหาเศรษฐี ไม่มากเลย ไม่ใช่แค่เศษเงิน 3 ล้านบาท
เรื่องทางคดี
มีการทำสำนวนล่าช้า จนเป็นเหตุให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานสอบสวนหลายคน
ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือไม่ เป็นการ "ค้าสำนวน" หรือไม่
เพราะสำนวนอ่อนเหลือเกิน เป็นการสรุปสำนวนทางคดีเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาเกินไป
ไม่คัดค้านการประกัน ทั้งที่ชนแล้วลากหนี ชนแล้วหนี
ไม่คัดค้านการเดินทางไปต่างประเทศ
เลื่อนสั่งคดี เลื่อนส่งฟ้องหลายครั้ง โดยการอ้างว่าผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม
จริงอยู่ การขอความเป็นธรรม การต่อสู้ทางคดี เป็นสิทธิอันชอบธรรมของผู้ต้องหา
แต่เหตุแห่งการเลื่อนคดีสร้างความเคลือบแคลงให้สังคมเหลือเกิน
ร้องขอความเป็นธรรมได้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องให้โอกาสเสมอไป หรือสามารถดำเนินการเรื่องที่ขอความเป็นธรรมอย่างรวดเร็วได้
ไม่ใช่เลื่อนซ้ำซาก ร้องอะไรมา รับฟังหมด
คดีมีอายุความ 15 ปี นี่หมดไปแล้ว 5 ปี แต่คดียังไม่ถึงศาล
(เทียบกับคดีสามสี่วันก่อน ชนแล้วลากสาววัยรุ่นล่าสุดที่ลำพูน ตำรวจบอกจะส่งฟ้องภายในสามวัน)
คดีนี้ มองมุมไหน พิจารณาอย่างไร ก็มองไม่เห็นความปกติ
ชนแล้วลาก หนีเข้าบ้าน ขับไม่เร็ว เมาหลังขับ เลื่อนคดีซ้ำซาก เยียวยาไม่เหมาะสม
(การเยียวยาในคดีอื่น ๆ ที่ไม่เรียกร้องกันมาก แค่หลักหมื่นหลักแสน นั่นก็เพราะความเมตตาเห็นอกเห็นใจกัน
ผู้ชนก็ไม่มีฐานะ ญาติผู้ตายก็เห็นใจ ไม่เรียกร้องมากเกินไป - อย่างคดีแพรวา ไม่เยียวยาสักบาท อยากได้ฟ้องเอา)
มีบางคนเถียงว่า เป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิด จะอะไรนักหนา
จะมาร่ำไรอะไรกับทายาทกระทิงแดง ทีทักษิณที่หลอกคนมาตาย ที่หนีไปต่างประเทศ ทำไมไม่ตามจี้บ้าง
มันคนละเรื่องเลย คนละเหตุ คนละกรณีเลย
เป็นการใช้ตรรกะพิการมาเถียงแบบเด็กเถียงเอาชนะเท่านั้นเอง
เป็นอุบัติเหตุจริง เพราะไม่มีใครหรอกจะขับรถชนคนตายโดยเจตนา
แต่เมื่อเกิดเหตุแล้ว ควรกล้ารับผิดชอบ รับผิดชอบอย่างเต็มที่ ไม่ใช่หนี ไม่ใช่อ้างบ๊วย ๆ ว่า อุบัติเหตุจะเอาอะไรนักหนา
ที่สำคัญ คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่สังคมเขาตำหนิ ไม่ได้ตำหนิผู้ต้องหา
เรื่องนี้ หากชน แล้วแค่จอดรถ ลงมาดู แจ้งความ แสดงความกล้าหาญรับผิดชอบ
เป็นเรื่องพูดคุยกันได้ สังคมก็จะเห็นใจ ไม่เพ่งเล็งเรื่องสองมาตรฐานทางกฎหมาย
หากเจ้าพนักงานจะทำสำนวนว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่เมา เยียวยาแล้วตามสมควร
เรื่องจบไปนานแล้ว
เพราะเรื่องแบบนี้ เกิดอยู่ทุกวัน เป็นคดีทุกวัน ไม่เห็นมีใครติดคุก ยกเว้นเหลือรับจริง ๆ
คดีนี้ สังคมไม่ได้ตำหนิผู้ต้องหาเท่าไรหรอกครับ แต่ตำหนิเจ้าพนักงาน
ซึ่ง สตช. และ สำนักงานอัยการ ควรมีคำตอบให้สังคม นั่นคือดำเนินการทางคดีอย่างเป็นธรรมซะที
จะห้าปี แต่ไม่ถึงไหนอยู่อย่างนี้ เกินไปครับ