[หนังโรงเรื่องที่ 183] โอเวอร์ไซส์...ทลายพุง ; (ชานนท์ ยิ่งยง, ภูวนิตย์ ผลดี, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญแน่นอน
เรื่องย่อ : "แคน หยอย โอ ปลื้ม" 4 โปลิศหุ่นใหญ่ไซส์ 100 กิโลอัพ แห่ง สภ.สะพานชัน ผู้พลาดการจับโจรปล้นทองด้วยเหตุผลสุดตะเตือนไต "รถตำรวจไล่ผู้ร้ายไม่ทัน เพราะน้ำหนักเกิน" ทำให้ทั้งสี่ต้องเจอบทลงโทษด้วยการลดน้ำหนัก ให้ได้ 30 โลใน 3 เดือน ตามคำสั่งของผู้กำกับจอมเฮี๊ยบ ... ร้อนถึง "ผู้กองเจตน์" หมวดหนุ่มหุ่นดีมาดกวน หัวหน้าของ 4 จ่า ที่อาสามาเป็นเทรนเนอร์จำเป็น เคี่ยวเข็ญให้ทั้งสี่ต้องฟิตเพื่อความเฟิร์มกับสารพัดตำราที่งัดมาช่วย
ถือว่าเป็นหนังกระแสดีอีกเรื้องที่ได้รับกระแสอวยอย่างดีจากบรรดาเพจใหญ่ๆทั้งหลายทั่วฟ้าเมืองไทย จนมีความเป็น talk of the town อยู่นิดๆ จนจากตอนแรกไม่อยากดูเลยก็ต้องดั้นด้นเข็นตัวเองไปพิสูจน์กระแส "ความฮา" ที่เขาล่ำลือกันจนได้ ...
1.คิวบู๊
บอกตามตรงว่าเซอไพรส์ที่สุดเมื่อรู้ตัวว่าสิ่งที่ชอบที่สุดของหนังคือเรื่องนี้ ... ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่านี่แหละเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังแล้วจริงๆ ชอบที่หนังให้ความจริงจังกับการ 'ออกแบบคิวแอคชั่น' (choreography) ที่ทำให้ฉากปะทะมือต่อมือนั้นดูขึงขัง แข็งแรง และสวยงามมากขึ้น (ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึง John Wick) ไม่ว่าจะเป็นการเรียกน้ำย่อยในฉากสังเวียนชกมวยก็ดีหรือการตะลุมบอนครั้งสุดท้ายก็ดี ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หนังมันแตกต่างจากหนังคอเมดี้เรื่องอื่นที่มักเลือกให้ฉากแอคชั่นพวกนี้เป็นเรื่องตลก-สู้แบบฟลุกๆไปเสียฉิบ ดังนั้นผู้เขียนเลยโอเคกับพัฒนาการตรงนี้มาก แต่ก็ขอตินิดหน่อยในการเลือกใช้ 'มุมกล้องสั่นๆ-ชุลมุน' แบบไท๊ยไทยนี่แหละ เสียราคาหนังเปล่าๆ
2.ตัวละคร
ตัวละครเอกทั้ง 4 นั้นถือว่าทำผลงานได้ดีพอสมควร อาจจะไม่ได้โดดเด่นหรือน่าจดจำมากเนื่องจากการเกลี่ยฉากให้ตัวเอกหลายคน แต่ทีมนักแสดงมันก็เวิร์กได้จากการ 'แบ่งบท' ที่ค่อนข้างชัดเจน อย่างเช่นตัว "โอ" (ศุภชัย ทรัพย์ประเสริฐ) ที่มีจุดยืนในฐานะตลกหน้าตายและตัวตบมุก ในขณะที "แคน" (ศรัณย์ ชินสุวพลา)เองนั้นก็จะมีหน้าที่ดึงพรรคพวกให้กลับเข้ามาในโหมดจริงจัง เป็นต้น
ในส่วนของตัวละครเสริมไม่ว่าจะเป็นนางเอกอย่าง "มีน" (เชอรีน-ณัฐจารี หรเวชกุล) ที่ลำพังออกมาแจกยิ้มหวานๆกระชากใจคนดูไปวันๆก็คุ้มค่าตัวแล้ว หรือจะเป็น "ผู้กองเจตน์" (ศุภวิชญ์ มีเปรมวัฒนา)และผู้กำกับสุดเข้มผู้ไม่มีชื่อ (จตุพล ชมภูนิช) ก็ถือว่าเป็นส่วนเติมแต่งของหนังที่ดี คือถึงแม้จะไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก แต่การที่นานๆทีออกมาแย่งซีนซักทีก็ถือเป็นการพักเบรกจากตัวละครหลักที่ไม่เลวเหมือนกัน
3.ความฮา
น่าแปลกใจที่จุดขายที่หนังพยายามกระพือหนักมากในฐานะ "หนังฮา" นั้นกลับเป็นประเด็นที่เราชอบน้อยที่สุด คือด้วยความที่เอาจริงๆแล้วหนังมันก็ไม่ได้ตลกขนาดนั้น มุกตลกก็ไม่ได้เป็นนวัตกรรมใหม่อะไรอย่างที่คนเขาล่ำลือกัน คือโดยส่วนมากกว่า 60% ของหนังจะเป็นเสียงหัวเราะหึๆเสียมากกว่า แล้วก็มีส่วนน้อยที่มุกดับตายคาหนังไปเลย (เช่นฉากเหยียบหลังเป็นต้น เงียบกริบทั้งโรง) .. แต่ก็ต้องให้คะแนนความพยายามในการยิงมุกของหนังด้วย คือยอมรับจริงๆว่าเป็นการกราดยิงมุกที่ดุดันมาก ซีนนึงต้องได้เล่นไม่ต่ำกว่า 5 โจ๊ก ก็เลยได้ผลประโยชน์นิดหน่อยจากการที่ว่า "ถ้ายิงร้อย มันต้องได้ซักสิบล่ะวะ"
แต่มุกที่พีคจริงๆก็มีอยู่บ้างนะ อย่างในจริตของผู้เขียนจะรู้สึกชื่นชอบมุกที่ 'กระชากบรรยากาศ' เอามากๆ อาทิเช่นฉากปืนตกท่อ, ฉากผู้กำกับเปิดประตู และฉากดริฟท์รถ เป็นต้น ซึ่งมุกแบบนี้มันเป็นความฮาแบบที่มาแบบ 'เหนือความคาดหมาย' จนทำให้เกิดเสียงฮาลั่นโรงประสบความสำเร็จไปตามๆกัน แน่นอนว่าในจุดนี้คงต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับและทีมงานจริงๆที่สามารถตัดต่อให้คิวมุกพวกนี้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบนี้
นอกเหนือจากมุกตลกแล้ว ก็ต้องยอมใจให้กับ 'ความเล่นใหญ่' ของหนังจริงๆ มันมีความเล่นคิวอยู่ในหนังเรื่องนี้เยอะมาก ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือการใช้สโลวโมชั่นที่ไม่รู้ว่าพี่แกไปเก็บสะสมมาจากไหนเยอะแยะ ถึงได้หนืดมันทั้งเรื่องขนาดนี้ (หัวเราะ) นี่ยังแอบคิดอยู่เลยว่าลำพังถ้าเปลี่ยนฉากสโลว์ทั้งเรื่องให้กลายเป็นฉากปกติ อาจจะร่นเวลาหนังไปได้เกือบ 15 นาทีเลยมั้ง
.
..
สรุปแล้ว "โอเวอร์ไซส์...ทลายพุง" ก็เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่เวิร์กในโจทย์ของตัวเอง ตัวหนังมีความสดใหม่ในเรื่องสไตล์การถ่ายทำและคิวตัวละคร มีคิวบู๊ที่โดดเด่น สวยงาม และหนักแน่นแม้ในความเป็นหนังคอเมดี้ และมีมุกตลกที่พอถูไถไปได้จนจบเรื่อง ... แต่ถามว่ามันดีเท่าที่เขาอวย-ชื่นชมกันทั่วบ้านทั่วเมืองมั้ย? ก็ต้องตอบว่าไม่. เกรงว่ามันจะเป็นแค่กระแสโปรโมตโดยใช้สื่อใหญ่ๆมาล้อมกรอบคนดูเสียมากกว่า
แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องความตลก-ความบันเทิงนั้นมันก็เป็นเรื่องของปัจเจกที่ไม่สามารถมองให้เหมือนกันได้ ดังนั้นโปรดอ่านและพิจารณาอย่างมีวิจารณญานนะจ๊ะ!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 183] โอเวอร์ไซส์...ทลายพุง - มหกรรมโปรโมทแห่งสื่อหนังไทย? by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 183] โอเวอร์ไซส์...ทลายพุง ; (ชานนท์ ยิ่งยง, ภูวนิตย์ ผลดี, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญแน่นอน
เรื่องย่อ : "แคน หยอย โอ ปลื้ม" 4 โปลิศหุ่นใหญ่ไซส์ 100 กิโลอัพ แห่ง สภ.สะพานชัน ผู้พลาดการจับโจรปล้นทองด้วยเหตุผลสุดตะเตือนไต "รถตำรวจไล่ผู้ร้ายไม่ทัน เพราะน้ำหนักเกิน" ทำให้ทั้งสี่ต้องเจอบทลงโทษด้วยการลดน้ำหนัก ให้ได้ 30 โลใน 3 เดือน ตามคำสั่งของผู้กำกับจอมเฮี๊ยบ ... ร้อนถึง "ผู้กองเจตน์" หมวดหนุ่มหุ่นดีมาดกวน หัวหน้าของ 4 จ่า ที่อาสามาเป็นเทรนเนอร์จำเป็น เคี่ยวเข็ญให้ทั้งสี่ต้องฟิตเพื่อความเฟิร์มกับสารพัดตำราที่งัดมาช่วย
ถือว่าเป็นหนังกระแสดีอีกเรื้องที่ได้รับกระแสอวยอย่างดีจากบรรดาเพจใหญ่ๆทั้งหลายทั่วฟ้าเมืองไทย จนมีความเป็น talk of the town อยู่นิดๆ จนจากตอนแรกไม่อยากดูเลยก็ต้องดั้นด้นเข็นตัวเองไปพิสูจน์กระแส "ความฮา" ที่เขาล่ำลือกันจนได้ ...
1.คิวบู๊
บอกตามตรงว่าเซอไพรส์ที่สุดเมื่อรู้ตัวว่าสิ่งที่ชอบที่สุดของหนังคือเรื่องนี้ ... ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วคิดว่านี่แหละเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังแล้วจริงๆ ชอบที่หนังให้ความจริงจังกับการ 'ออกแบบคิวแอคชั่น' (choreography) ที่ทำให้ฉากปะทะมือต่อมือนั้นดูขึงขัง แข็งแรง และสวยงามมากขึ้น (ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึง John Wick) ไม่ว่าจะเป็นการเรียกน้ำย่อยในฉากสังเวียนชกมวยก็ดีหรือการตะลุมบอนครั้งสุดท้ายก็ดี ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หนังมันแตกต่างจากหนังคอเมดี้เรื่องอื่นที่มักเลือกให้ฉากแอคชั่นพวกนี้เป็นเรื่องตลก-สู้แบบฟลุกๆไปเสียฉิบ ดังนั้นผู้เขียนเลยโอเคกับพัฒนาการตรงนี้มาก แต่ก็ขอตินิดหน่อยในการเลือกใช้ 'มุมกล้องสั่นๆ-ชุลมุน' แบบไท๊ยไทยนี่แหละ เสียราคาหนังเปล่าๆ
2.ตัวละคร
ตัวละครเอกทั้ง 4 นั้นถือว่าทำผลงานได้ดีพอสมควร อาจจะไม่ได้โดดเด่นหรือน่าจดจำมากเนื่องจากการเกลี่ยฉากให้ตัวเอกหลายคน แต่ทีมนักแสดงมันก็เวิร์กได้จากการ 'แบ่งบท' ที่ค่อนข้างชัดเจน อย่างเช่นตัว "โอ" (ศุภชัย ทรัพย์ประเสริฐ) ที่มีจุดยืนในฐานะตลกหน้าตายและตัวตบมุก ในขณะที "แคน" (ศรัณย์ ชินสุวพลา)เองนั้นก็จะมีหน้าที่ดึงพรรคพวกให้กลับเข้ามาในโหมดจริงจัง เป็นต้น
ในส่วนของตัวละครเสริมไม่ว่าจะเป็นนางเอกอย่าง "มีน" (เชอรีน-ณัฐจารี หรเวชกุล) ที่ลำพังออกมาแจกยิ้มหวานๆกระชากใจคนดูไปวันๆก็คุ้มค่าตัวแล้ว หรือจะเป็น "ผู้กองเจตน์" (ศุภวิชญ์ มีเปรมวัฒนา)และผู้กำกับสุดเข้มผู้ไม่มีชื่อ (จตุพล ชมภูนิช) ก็ถือว่าเป็นส่วนเติมแต่งของหนังที่ดี คือถึงแม้จะไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก แต่การที่นานๆทีออกมาแย่งซีนซักทีก็ถือเป็นการพักเบรกจากตัวละครหลักที่ไม่เลวเหมือนกัน
3.ความฮา
น่าแปลกใจที่จุดขายที่หนังพยายามกระพือหนักมากในฐานะ "หนังฮา" นั้นกลับเป็นประเด็นที่เราชอบน้อยที่สุด คือด้วยความที่เอาจริงๆแล้วหนังมันก็ไม่ได้ตลกขนาดนั้น มุกตลกก็ไม่ได้เป็นนวัตกรรมใหม่อะไรอย่างที่คนเขาล่ำลือกัน คือโดยส่วนมากกว่า 60% ของหนังจะเป็นเสียงหัวเราะหึๆเสียมากกว่า แล้วก็มีส่วนน้อยที่มุกดับตายคาหนังไปเลย (เช่นฉากเหยียบหลังเป็นต้น เงียบกริบทั้งโรง) .. แต่ก็ต้องให้คะแนนความพยายามในการยิงมุกของหนังด้วย คือยอมรับจริงๆว่าเป็นการกราดยิงมุกที่ดุดันมาก ซีนนึงต้องได้เล่นไม่ต่ำกว่า 5 โจ๊ก ก็เลยได้ผลประโยชน์นิดหน่อยจากการที่ว่า "ถ้ายิงร้อย มันต้องได้ซักสิบล่ะวะ"
แต่มุกที่พีคจริงๆก็มีอยู่บ้างนะ อย่างในจริตของผู้เขียนจะรู้สึกชื่นชอบมุกที่ 'กระชากบรรยากาศ' เอามากๆ อาทิเช่นฉากปืนตกท่อ, ฉากผู้กำกับเปิดประตู และฉากดริฟท์รถ เป็นต้น ซึ่งมุกแบบนี้มันเป็นความฮาแบบที่มาแบบ 'เหนือความคาดหมาย' จนทำให้เกิดเสียงฮาลั่นโรงประสบความสำเร็จไปตามๆกัน แน่นอนว่าในจุดนี้คงต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับและทีมงานจริงๆที่สามารถตัดต่อให้คิวมุกพวกนี้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบนี้
นอกเหนือจากมุกตลกแล้ว ก็ต้องยอมใจให้กับ 'ความเล่นใหญ่' ของหนังจริงๆ มันมีความเล่นคิวอยู่ในหนังเรื่องนี้เยอะมาก ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือการใช้สโลวโมชั่นที่ไม่รู้ว่าพี่แกไปเก็บสะสมมาจากไหนเยอะแยะ ถึงได้หนืดมันทั้งเรื่องขนาดนี้ (หัวเราะ) นี่ยังแอบคิดอยู่เลยว่าลำพังถ้าเปลี่ยนฉากสโลว์ทั้งเรื่องให้กลายเป็นฉากปกติ อาจจะร่นเวลาหนังไปได้เกือบ 15 นาทีเลยมั้ง
.
..
สรุปแล้ว "โอเวอร์ไซส์...ทลายพุง" ก็เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่เวิร์กในโจทย์ของตัวเอง ตัวหนังมีความสดใหม่ในเรื่องสไตล์การถ่ายทำและคิวตัวละคร มีคิวบู๊ที่โดดเด่น สวยงาม และหนักแน่นแม้ในความเป็นหนังคอเมดี้ และมีมุกตลกที่พอถูไถไปได้จนจบเรื่อง ... แต่ถามว่ามันดีเท่าที่เขาอวย-ชื่นชมกันทั่วบ้านทั่วเมืองมั้ย? ก็ต้องตอบว่าไม่. เกรงว่ามันจะเป็นแค่กระแสโปรโมตโดยใช้สื่อใหญ่ๆมาล้อมกรอบคนดูเสียมากกว่า
แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องความตลก-ความบันเทิงนั้นมันก็เป็นเรื่องของปัจเจกที่ไม่สามารถมองให้เหมือนกันได้ ดังนั้นโปรดอ่านและพิจารณาอย่างมีวิจารณญานนะจ๊ะ!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้