สวัสดีทุกคนนะคะ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า"นี่เป็นกระทู้แรกที่เขียน" จริงๆแล้วได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ที่บ้านจะไปไหว้พระที่พม่า โดยว่างกันแค่ 2 วันเท่านั้น แล้วเราต้องเป็นคนจัดทริปตามที่คุณแม่อยากไป แล้วตอนแรกรู้สึก blank มากในหัว (เคยไปพม่ากับทัวร์มา 1 รอบตอนกลางปีที่แล้ว แต่ก็อย่างว่านะ ไปกับทัวร์เราไม่ต้องจัดการอะไรเลย ทัวร์เขาจัดการทุกอย่างให้เรา) ไม่รู้จะเริ่มจากอะไร ก็เลย seach google ว่า "ทริปพม่า/ไปพม่าด้วยตัวเอง" ประมาณนี้ แล้วก็รู้สึกว่า การรีวิวนี่มันช่วยอยากจะไปที่ไหนสักที่แต่ไม่มีข้อมูลที่ได้เยอะเลยนะ ก็เลยตั้งใจว่าไปพม่าครั้งนี้ กลับมาจะเขียนรีวิว เพื่อคนอื่นๆจะได้มาอ่าน แล้วเป็นประโยชน์แล้วก็เป็นการแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวไปในตัวด้วย โอเคค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ ไปเริ่มกันเลย Let's Go...
อันนี้เป็นแพลนคร่าวๆว่าได้เดินทางไปไหนมาไหนบ้างในเวลา 2 วัน
แผนการไปเที่ยวคร่าวๆ
เริ่มจาก พอลงจากสนามบินย่างกุ้งก็ไป เยเลพญา (เมืองสิเรียม) เลยเพราะต้องออกตัวเมืองย่างกุ้งไปสักพัก ประมาณ 1-2 ชม. เดินทางโดยการเช่ารถพร้อมคนขับ จาก EuropCar *ถ้าเป็นลูกค้าที่พักที่โรงแรม ibis Styles Yangon Stadium ก็จะได้ราคาพิเศษกว่าปกติ* หลังจากนั้นก็กลับมาที่ ย่างกุ้ง เพื่อไปเจดีย์โบตะทาวน์และเจดีย์ชเวดากอง
สำหรับวันที่ 2 ก็จะเป็นวันสบายๆ ออกจากโรงแรมสายหน่อย แล้วไปไหว้พระนอนตาหวาน หาที่เที่ยวง่ายๆโดยการไปเดินห้างก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ
เริ่มทริปกันเลยละกัน
วันที่ 1
เริ่มเดินทางออกจาก กทม. ด้วยสายการบิน MAI (Myanmar Airways International) ที่เป็นสายการบินของพม่า ที่เลือกสายการบินนี้เนี่ยเพระาว่าค่อนข้างถูกแล้วก็จองเป็น package โรงเเรม+เที่ยวบิน ของ Expedia มา
ตอนแรกมีความกลัวนิดๆ แต่จริงๆแล้วเป็นสายการบินที่ค่อนข้างดีเลยนะ
นี่คือ ใบผ่าน ตม.ประเทศพม่า ที่พี่แอร์โฮสเตสเขาจะมาแจกบนเครื่อง (อันล่างสุดคือผ้าเย็นที่สายการบินแจกค่ะ)
อาหารเครื่องบิน อร่อยใช้ได้เลย
ถึงสนามบินย่างกุ้ง แล้วก็จัดการไปเอากระเป๋า ผ่าน ตม.อะไรเรียบร้อย พอเดินออกมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของ EuropCar ถือป้ายมารอรับ (เพราะเราได้อีเมลไปบอกรายละเอียดเขาเรียบร้อยแล้ว) ปล.ลืมถ่ายรูปไว้55555 โอเคค่ะ ทีนี่เราก็ออกเดินทางจากสนามบินไปเยเลพญา ที่เมืองสิเรียมกันเลย เพื่อจุดประสงค์หลักที่จะไปไหว้พระอุปคุตกลางน้ำนั้นเอง
*เพิ่มเติมเรื่องการจองรถกับ EuropCar*
นี่คือราคาการเช่ารถพร้อมคนขับ rate การอยู่ในเมืองกับนอกเมืองก็ต่างกัน ขนาดรถต่างๆมีให้เลือกค่ะ แต่การเช่ารถเขาจะคิดเป็น US dollar แล้วก็ถ้าจะไปสำคัญมากคือ ต้อง e mail ไปบอกเขาก่อน จะบอกผ่านทางโรงแรม Ibis หรือ บอกทาง Europcar ก็ได้(แต่เราต้องบอกว่าเป็นลูกค้าที่ Ibis) ถึงจะได้ rate ที่ถูกกว่าปกตินะคะ
นี่คือระหว่างทางไปสิเรียม
กับพี่คนขับรถ
เวลาขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำของที่พม่า เขาจะต้องเสียค่าผ่านทาง แต่ไม่ได้เป็นป้อมเก็บเงินเหมือนบ้านเรา เพราะของเขาเป็น คนตัวเป็นๆมายืนระหว่างเลนถนนเพื่อเก็บตัง แล้วรถทุกคันจะขับผ่านไปแบบเร็วมาก ประหนึ่งต้องมีสกิลอย่างสูงที่จะยื่นมือพร้อมเงินค่าผ่านทางออกไปให้พอดีจุดกับแขนคนรับเงิน 55555 แต่คนที่นู้นสกิลดีมากจริงๆค่ะ ขอปรบมือให้
และเราก็ถึงเป้าหมายของเรา "เยเลพญา" แต่ว่าระหว่างที่จอดรถกับท่าน้ำต้องใช้ระยะทางในการเดินไปประมาณ 5 นาที ก็เลยได้เห็นอะไรแปลกใหม่หลายอย่าง เช่น
ร้านขายของกินเล่นข้างทาง
พระสงฆ์และแม่ชีของพม่า
พระสงฆ์ของพม่าจะใส่จีวรสีน้ำตาลแดงเข้มอย่างเดียว แม่ชีห่มผ้าสีชมพู
อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน อันนี้คล้ายๆการกินชาบูบ้านเรา แต่หม้อที่พม่าจะเป็นเตาถ่าน
ถึงแล้ววววววววว
เจดีย์กลางน้ำ"เยเลพญา"
เจดีย์ที่นี่สามารถเดินได้แบบเดียวก็คือ นั่งเรือข้ามน้ำไป
*การเข้าวัดของพม่าจะต้องทำใจกันสักนิดเพราะมีความต่างจากบ้านเรา คือต้องเดินเข้าด้วยเท้าเปล่า ทุกคนต้องถอดรองเท้าและถุงเท้า*
ดอกไม้สำหรับไหว้พระ
ที่พม่าเขามีความเชื่อว่าถ้าไหว้พระเสร็จแล้ว ให้เราเด็ดยอดใบไม้มาทัดหูไว้แล้วจะเป็นสิริมงคล
องค์นี้เหมือนเป็นพระประธานของวัดเยเลพญา
พระอุปคุต
หินสีขาวๆ มีไว้ให้ยกหลังจากขอพรเสร็จ เราต้องยก 3 ครั้ง (เหมือนพูดคำว่า "สาธุ" 3 ครั้งนั่นเอง)
มุมให้อาหารปลาของเจดีย์กลางน้ำ
สามารถซื้ออาหารปลาได้ก่อนขึ้นเรือข้ามมา (จะมีคนมาขายอาหารปลาเยอะมากๆๆๆๆ แบบมะรุมมะตุ้มกันอยู่ตรงนั้น) แต่ตรงนั้นพื้นค่อนข้างร้อนนิดนึง ต้องหาที่ร่มๆยืนจะได้ยืนให้อาหารปลากันได้นานๆนะคะ
ก่อนจะเดินไปขึ้นเรือกลับ เดินผ่านสิ่งนี้
คาดว่าอันนี้มีไว้ให้ จุดเทียน ขอพร ลอยไปในน้ำ ตอนกลางคืน
หลังจากนี้เราก็ได้เดินทางกลับจากสิเรียมโดยเเวะทานข้าวที่ร้านอาหารง่ายๆแถวนั้นและเดินทางต่อมายัง ย่างกุ้ง (จำชื่อร้านไม่ได้+ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย T-T)
สถานที่ต่อไปที่ไปก็คือ เจดีย์โบตะทาวน์ สิ่งเป็นที่ๆคนไทยส่วนใหญ่จะมาเวลามาพม่าเพราะว่าที่นี่มี เทพทันใจ นั่นเอง
ด้านในจะมีทางเข้าให้เดินเข้าไปดูพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
ทางเดินเข้าไปหา เป้าหมายหลักในการมาที่เจดีย์นี้
เทพทันใจ
ทพทันใจ | นัตโบโบยี (ชื่อเรียกของชาวพม่า)
วิธีการขอพร
เตรียมธนบัตร 2 ใบที่เหมือนกันไว้ ม้วนซ้อนกัน (จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและบอกเป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา เป็นคนพม่าที่พูดภาษาไทยได้) หลังจากนั้นก็ยกของถวาย อธิษฐาน (มีทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ แล้วแต่จะเลือก) เข้าไปยืนให้หน้าผากของเราติดกับนิ้วมือของท่าน สำหรับใครที่กลัวว่าจะตัวเตี้ยแล้วยืนไม่ถึง ที่วัดเขามีแท่นให้ขึ้นไปยืนได้ค่ะ
จากนั้นก็เดินอ้อมไปอีกด้าน ไปจับไม้เท้าแล้วลูบ 3 รอบ
**สำคัญมาก คือ ขอได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนใจ**
ข้างๆกันจะเป็น เทพที่ให้ขอพรเรื่องการศึกษาและสติปัญญา
วิธีขอพร ก็ง่ายมากๆ (มีคนคอยบอกทุกขั้นตอนเหมือนกัน)
คือมีดอกไม้ให้ถวายและก็นำเงินพับแล้วใส่ไปใต้หนังสือ
เจดีย์โบตะทาวน์แบบชัดๆ
เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเป็น "เทพกระซิบ"
สำหรับเทพกระซิบนั้น เราสามารถขอพรท่านได้ โดยการกระซิบสิ่งที่อยากได้แบบเบาๆ ส่วนของที่ถวายก็จะมีคนมาเดินขายเป็นชุด เรียบร้อย
พอขอพรจากเทพกระซิบเสร็จแล้ว อย่าลืมไปขอพรจากพญานาค (มีความเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน) ที่อยู่ข้างๆด้วยนะคะ
พอออกจากที่เจดีย์โบตะทาวน์ เพื่อไปต่อที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองก็เป็นเวลาเย็นๆแล้ว ท้องฟ้าค่อยข้างจะสวยเลยเก็บรูปมาฝากกันด้วย
แล้วเอาก็เห็นยอดเจดีย์ริบๆ
ทางขึ้นไปพระมหาธาตุชเวดากองนั้น เป็นบันไดเลื่อนประมาณ 2 สเตปให้ขึ้นไป พอขึ้นไปถึงแล้วก็ต้องไปจ่ายเงินค่าเข้าชมพร้อมกับเขาจะเอาสติกเกอร์กลมๆสีเขียวมาติดไว้ให้เราที่เสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่า เราจ่ายค่าเข้าชมเรียบร้อยแล้ว
*เราต้องถอดรองเท้า ทางที่ดีถอดไว้บนรถจะสะดวกสุดค่ะ จะได้ไม่ต้องถือ แต่ถ้าอยากใส่ลงไปเพราะต้องเดินไกล ก็ไปซื้อถุงได้จากด้านหน้าค่ะ เขาจะมีให้บริจาคค่าถุงอยู่และเราก็เอารองเท้าใส่ถุงถือขึ้นไปข้างบน*
ลืมบอกไปว่า วันที่ไปตรงกับวันพระและวันอาทิตย์พอดี เลยมีคนพม่าจำนวนมากไปที่วัดและเจดีย์ทุกๆที่
บนนั้นจะมีเป็นจุดเสาแยกกันแต่งละวัน เพื่อให้คนที่เกิดวันนั้นๆไปรดน้ำพระพุทธรูปประจำวันเกิด
เป็นจุดที่ไว้ให้สรงน้ำพระประจำวันเกิด
การสรงน้ำเริ่มจาก
1.พระพุทธรูปประจำวัน
2.เทวดาประจำวัน
3.เสาประจำวัน
4.สัตว์ประจำวัน
หลังจากนั้น เราก็เดินทางจะกลับโรงแรม และเราก็หิวกันมาก แบบระดับ 10 เลย search google หาร้านทานข้าวเย็นกัน ซึ่งก็เจอร้านๆนึงที่เป็นทางกลับโรงแรมพอดี แล้วเป็นร้านพิซซ่าชื่อว่า "Parami" มีความน่ากินสูงมาก เราก็เลยจัดเลย บอกพี่คนขับรถให้พาไปโดยเปิด google map ให้เขา
นี่คือสิ่งที่เสิชเจอในเว็บ (ขอเอารูปมาจาก www.tripadvisor.com นะคะ)
[CR] รีวิวทริปไปพม่า (ย่างกุ้ง-สิเรียม) ทริปง่ายๆ ไหว้พระเบาๆ 2 วัน 1 คืน
อันนี้เป็นแพลนคร่าวๆว่าได้เดินทางไปไหนมาไหนบ้างในเวลา 2 วัน
แผนการไปเที่ยวคร่าวๆ
เริ่มจาก พอลงจากสนามบินย่างกุ้งก็ไป เยเลพญา (เมืองสิเรียม) เลยเพราะต้องออกตัวเมืองย่างกุ้งไปสักพัก ประมาณ 1-2 ชม. เดินทางโดยการเช่ารถพร้อมคนขับ จาก EuropCar *ถ้าเป็นลูกค้าที่พักที่โรงแรม ibis Styles Yangon Stadium ก็จะได้ราคาพิเศษกว่าปกติ* หลังจากนั้นก็กลับมาที่ ย่างกุ้ง เพื่อไปเจดีย์โบตะทาวน์และเจดีย์ชเวดากอง
สำหรับวันที่ 2 ก็จะเป็นวันสบายๆ ออกจากโรงแรมสายหน่อย แล้วไปไหว้พระนอนตาหวาน หาที่เที่ยวง่ายๆโดยการไปเดินห้างก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ
เริ่มทริปกันเลยละกัน
วันที่ 1
เริ่มเดินทางออกจาก กทม. ด้วยสายการบิน MAI (Myanmar Airways International) ที่เป็นสายการบินของพม่า ที่เลือกสายการบินนี้เนี่ยเพระาว่าค่อนข้างถูกแล้วก็จองเป็น package โรงเเรม+เที่ยวบิน ของ Expedia มา
ตอนแรกมีความกลัวนิดๆ แต่จริงๆแล้วเป็นสายการบินที่ค่อนข้างดีเลยนะ
นี่คือ ใบผ่าน ตม.ประเทศพม่า ที่พี่แอร์โฮสเตสเขาจะมาแจกบนเครื่อง (อันล่างสุดคือผ้าเย็นที่สายการบินแจกค่ะ)
อาหารเครื่องบิน อร่อยใช้ได้เลย
ถึงสนามบินย่างกุ้ง แล้วก็จัดการไปเอากระเป๋า ผ่าน ตม.อะไรเรียบร้อย พอเดินออกมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของ EuropCar ถือป้ายมารอรับ (เพราะเราได้อีเมลไปบอกรายละเอียดเขาเรียบร้อยแล้ว) ปล.ลืมถ่ายรูปไว้55555 โอเคค่ะ ทีนี่เราก็ออกเดินทางจากสนามบินไปเยเลพญา ที่เมืองสิเรียมกันเลย เพื่อจุดประสงค์หลักที่จะไปไหว้พระอุปคุตกลางน้ำนั้นเอง
*เพิ่มเติมเรื่องการจองรถกับ EuropCar*
นี่คือราคาการเช่ารถพร้อมคนขับ rate การอยู่ในเมืองกับนอกเมืองก็ต่างกัน ขนาดรถต่างๆมีให้เลือกค่ะ แต่การเช่ารถเขาจะคิดเป็น US dollar แล้วก็ถ้าจะไปสำคัญมากคือ ต้อง e mail ไปบอกเขาก่อน จะบอกผ่านทางโรงแรม Ibis หรือ บอกทาง Europcar ก็ได้(แต่เราต้องบอกว่าเป็นลูกค้าที่ Ibis) ถึงจะได้ rate ที่ถูกกว่าปกตินะคะ
นี่คือระหว่างทางไปสิเรียม
กับพี่คนขับรถ
เวลาขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำของที่พม่า เขาจะต้องเสียค่าผ่านทาง แต่ไม่ได้เป็นป้อมเก็บเงินเหมือนบ้านเรา เพราะของเขาเป็น คนตัวเป็นๆมายืนระหว่างเลนถนนเพื่อเก็บตัง แล้วรถทุกคันจะขับผ่านไปแบบเร็วมาก ประหนึ่งต้องมีสกิลอย่างสูงที่จะยื่นมือพร้อมเงินค่าผ่านทางออกไปให้พอดีจุดกับแขนคนรับเงิน 55555 แต่คนที่นู้นสกิลดีมากจริงๆค่ะ ขอปรบมือให้
และเราก็ถึงเป้าหมายของเรา "เยเลพญา" แต่ว่าระหว่างที่จอดรถกับท่าน้ำต้องใช้ระยะทางในการเดินไปประมาณ 5 นาที ก็เลยได้เห็นอะไรแปลกใหม่หลายอย่าง เช่น
ร้านขายของกินเล่นข้างทาง
พระสงฆ์และแม่ชีของพม่า
พระสงฆ์ของพม่าจะใส่จีวรสีน้ำตาลแดงเข้มอย่างเดียว แม่ชีห่มผ้าสีชมพู
อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน อันนี้คล้ายๆการกินชาบูบ้านเรา แต่หม้อที่พม่าจะเป็นเตาถ่าน
ถึงแล้ววววววววว
เจดีย์กลางน้ำ"เยเลพญา"
เจดีย์ที่นี่สามารถเดินได้แบบเดียวก็คือ นั่งเรือข้ามน้ำไป
*การเข้าวัดของพม่าจะต้องทำใจกันสักนิดเพราะมีความต่างจากบ้านเรา คือต้องเดินเข้าด้วยเท้าเปล่า ทุกคนต้องถอดรองเท้าและถุงเท้า*
ดอกไม้สำหรับไหว้พระ
ที่พม่าเขามีความเชื่อว่าถ้าไหว้พระเสร็จแล้ว ให้เราเด็ดยอดใบไม้มาทัดหูไว้แล้วจะเป็นสิริมงคล
องค์นี้เหมือนเป็นพระประธานของวัดเยเลพญา
พระอุปคุต
หินสีขาวๆ มีไว้ให้ยกหลังจากขอพรเสร็จ เราต้องยก 3 ครั้ง (เหมือนพูดคำว่า "สาธุ" 3 ครั้งนั่นเอง)
มุมให้อาหารปลาของเจดีย์กลางน้ำ
สามารถซื้ออาหารปลาได้ก่อนขึ้นเรือข้ามมา (จะมีคนมาขายอาหารปลาเยอะมากๆๆๆๆ แบบมะรุมมะตุ้มกันอยู่ตรงนั้น) แต่ตรงนั้นพื้นค่อนข้างร้อนนิดนึง ต้องหาที่ร่มๆยืนจะได้ยืนให้อาหารปลากันได้นานๆนะคะ
ก่อนจะเดินไปขึ้นเรือกลับ เดินผ่านสิ่งนี้
คาดว่าอันนี้มีไว้ให้ จุดเทียน ขอพร ลอยไปในน้ำ ตอนกลางคืน
หลังจากนี้เราก็ได้เดินทางกลับจากสิเรียมโดยเเวะทานข้าวที่ร้านอาหารง่ายๆแถวนั้นและเดินทางต่อมายัง ย่างกุ้ง (จำชื่อร้านไม่ได้+ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย T-T)
สถานที่ต่อไปที่ไปก็คือ เจดีย์โบตะทาวน์ สิ่งเป็นที่ๆคนไทยส่วนใหญ่จะมาเวลามาพม่าเพราะว่าที่นี่มี เทพทันใจ นั่นเอง
ด้านในจะมีทางเข้าให้เดินเข้าไปดูพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
ทางเดินเข้าไปหา เป้าหมายหลักในการมาที่เจดีย์นี้
เทพทันใจ
ทพทันใจ | นัตโบโบยี (ชื่อเรียกของชาวพม่า)
วิธีการขอพร
เตรียมธนบัตร 2 ใบที่เหมือนกันไว้ ม้วนซ้อนกัน (จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและบอกเป็นขั้นเป็นตอนตลอดเวลา เป็นคนพม่าที่พูดภาษาไทยได้) หลังจากนั้นก็ยกของถวาย อธิษฐาน (มีทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ แล้วแต่จะเลือก) เข้าไปยืนให้หน้าผากของเราติดกับนิ้วมือของท่าน สำหรับใครที่กลัวว่าจะตัวเตี้ยแล้วยืนไม่ถึง ที่วัดเขามีแท่นให้ขึ้นไปยืนได้ค่ะ
จากนั้นก็เดินอ้อมไปอีกด้าน ไปจับไม้เท้าแล้วลูบ 3 รอบ
**สำคัญมาก คือ ขอได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนใจ**
ข้างๆกันจะเป็น เทพที่ให้ขอพรเรื่องการศึกษาและสติปัญญา
วิธีขอพร ก็ง่ายมากๆ (มีคนคอยบอกทุกขั้นตอนเหมือนกัน)
คือมีดอกไม้ให้ถวายและก็นำเงินพับแล้วใส่ไปใต้หนังสือ
เจดีย์โบตะทาวน์แบบชัดๆ
เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเป็น "เทพกระซิบ"
สำหรับเทพกระซิบนั้น เราสามารถขอพรท่านได้ โดยการกระซิบสิ่งที่อยากได้แบบเบาๆ ส่วนของที่ถวายก็จะมีคนมาเดินขายเป็นชุด เรียบร้อย
พอขอพรจากเทพกระซิบเสร็จแล้ว อย่าลืมไปขอพรจากพญานาค (มีความเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน) ที่อยู่ข้างๆด้วยนะคะ
พอออกจากที่เจดีย์โบตะทาวน์ เพื่อไปต่อที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองก็เป็นเวลาเย็นๆแล้ว ท้องฟ้าค่อยข้างจะสวยเลยเก็บรูปมาฝากกันด้วย
แล้วเอาก็เห็นยอดเจดีย์ริบๆ
ทางขึ้นไปพระมหาธาตุชเวดากองนั้น เป็นบันไดเลื่อนประมาณ 2 สเตปให้ขึ้นไป พอขึ้นไปถึงแล้วก็ต้องไปจ่ายเงินค่าเข้าชมพร้อมกับเขาจะเอาสติกเกอร์กลมๆสีเขียวมาติดไว้ให้เราที่เสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่า เราจ่ายค่าเข้าชมเรียบร้อยแล้ว
*เราต้องถอดรองเท้า ทางที่ดีถอดไว้บนรถจะสะดวกสุดค่ะ จะได้ไม่ต้องถือ แต่ถ้าอยากใส่ลงไปเพราะต้องเดินไกล ก็ไปซื้อถุงได้จากด้านหน้าค่ะ เขาจะมีให้บริจาคค่าถุงอยู่และเราก็เอารองเท้าใส่ถุงถือขึ้นไปข้างบน*
ลืมบอกไปว่า วันที่ไปตรงกับวันพระและวันอาทิตย์พอดี เลยมีคนพม่าจำนวนมากไปที่วัดและเจดีย์ทุกๆที่
บนนั้นจะมีเป็นจุดเสาแยกกันแต่งละวัน เพื่อให้คนที่เกิดวันนั้นๆไปรดน้ำพระพุทธรูปประจำวันเกิด
เป็นจุดที่ไว้ให้สรงน้ำพระประจำวันเกิด
การสรงน้ำเริ่มจาก
1.พระพุทธรูปประจำวัน
2.เทวดาประจำวัน
3.เสาประจำวัน
4.สัตว์ประจำวัน
หลังจากนั้น เราก็เดินทางจะกลับโรงแรม และเราก็หิวกันมาก แบบระดับ 10 เลย search google หาร้านทานข้าวเย็นกัน ซึ่งก็เจอร้านๆนึงที่เป็นทางกลับโรงแรมพอดี แล้วเป็นร้านพิซซ่าชื่อว่า "Parami" มีความน่ากินสูงมาก เราก็เลยจัดเลย บอกพี่คนขับรถให้พาไปโดยเปิด google map ให้เขา
นี่คือสิ่งที่เสิชเจอในเว็บ (ขอเอารูปมาจาก www.tripadvisor.com นะคะ)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น