ผมไปงานศพคนพุทธที่ปาราวณาเป็นอุบาสก อุบาสิกา ถือศีล5 ศีล8
ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อตายลง ก็จะทำพิธีศพแล้วก็เผาเลย
แม้แต่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมบริจาคอวัยวะด้วย
เลยไม่เข้าใจว่า เป็นเพราะเหตุใด ?
ซาบซึ้งน้ำตาซึม!!"แม่น้องบิว"ย้อนนาทีบริจาคอวัยวะลูกเพื่ออีก7ชีวิต บอกทุกคนให้นึกถึงในหลวง ร.9 ทรงเสียสละเพื่อคนไทย พูดจบหัวใจน้องก็แผ่วลง!?
Publish 2017-03-27 18:47:22
ยังคงเป็นเรื่องราวที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สำหรับ "น้องบิว" หรือด.ช.สมเดช ฆ้องน้อย อายุ 14 ปี ที่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนและมีภาวะสมองตาย ทำให้ร่างกายของน้องบิวไม่ตอบสนอง ทำให้เสียชีวิตลง ทางคุณแม่และครอบครัวของน้องบิว จึงตัดสินใจบริจาคอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้แก่ผู้ป่วยหนักที่ยังมีหวัง โดยเป็นการบริจาคอวัยวะ เช่น หัวใจ ดวงตา ตับ ไต เพื่อต่อชีวิตให้ใครอีกหลายคนได้ถึง 7 ชีวิต พร้อมทั้งมีเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกด้วย
โดย นางยง ศิริสุข คุณแม่ของน้องบิว ได้เล่าถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องบิวว่า ตนได้ตามน้องบิวกลับบ้านโดยขับขี่รถจยย.ตามกันมา แต่เมื่อมาถึงบริเวณ 3 แยก ซึ่งเป็นทางสามแพร่งใกล้กับวัดแห่งหนึ่ง ได้มีรถจยย.พุ่งขึ้นมาแล้วชนเข้ากับรถของน้องบิวเข้าเต็มแรง ก่อนจะมีการนำตัวน้องบิวส่งโรงพยาบาล ขณะนั้นน้องมีอาการหนักมาก มีเปอร์เซ็นต์รอดเพียง 50/50
ซึ่งทางแพทย์ได้บอกให้ครอบครัวทำใจ ทางแพทย์เองจะพยายามช่วยเหลือน้องบิวให้ถึงที่สุดและเต็มกำลังที่มี แต่ผ่านไปประมาณ 7 วัน ทางแพทย์ที่ทำการรักษาน้องบิวได้แจ้งว่าน้องบิวเสียชีวิตแล้ว พร้อมทั้งมีอาการสมองตายเนื่องจากไม่มีการตอบสนองในการรักษา แต่หัวใจของน้องบิวยังคงเต้นอยู่ หากถอดเครื่องช่วยหายใจ น้องบิวก็จะเสียชีวิตทันที จึงได้เชิญคุณแม่และญาติพี่น้องไปสอบถามว่าอยากจะบริจาคอวัยวะให้กับทางศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยหรือไม่
ก่อนหน้านี้ไม่รู้มาก่อนว่ามีการบริจาคอวัยวะได้ เพราะเรียนไม่สูง แต่ตนก็ยินดีและได้บอกคุณยายและญาติๆ ว่าน้องจะไม่เจ็บปวดหรอก เพราะน้องเสียชีวิตแล้ว เมื่อเราเผาร่างน้องไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ซึ่งชาติหน้าเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร แต่ชาตินี้อยากให้ลูกชายได้ทำบุญครั้งสุดท้าย ช่วยคนอื่นที่เขาเดือดร้อนหรือทุกข์มากกว่าเราเท่าที่จะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต หัวใจ และดวงตาทั้งสองข้าง จึงได้ตัดสินใจอนุญาตให้ลูกชายเป็นผู้บริจาคอวัยวะในวันนั้น
"ตอนนั้นตนได้ยกเรื่องราวของในหลวง ร.9 ที่ทรงเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อประชาชนชาวไทย แต่ตนเองเป็นเพียงสามัญชนทำไมจะช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้ ตนขอแค่ให้ผู้ที่ได้รับบริจาคไปนั้นดูแลอวัยวะที่ได้ไปให้ดี"
คุณแม่ของน้องบิว ได้กล่าวต่ออีกว่า เมื่อคุณยายยินยอม ตนจึงเดินไปหาน้องบิวที่เตียงและบอกกับลูกว่า "ขออวัยวะของลูกนะ เอาไปบริจาคให้คนอื่นต่อ" ปรากฏว่าชีพจรของน้องก็ค่อยๆ อ่อนลงและสิ้นสุดลงในที่สุด จากไปอย่างสงบ จากนั้นทางแพทย์โรงพยาบาลพุทธโสธรจึงรีบประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราชให้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บดวงตา หัวใจ ตับ และไตของน้อง เพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่ยังรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอยู่อีก 7 คน นับเป็นการต่อลมหายใจให้กับผู้อื่นซึ่งนับเป็นกุศลครั้งใหญ่
"น้องบิวเป็นเด็กดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นและช่วยงานบ้านอยู่เสมอ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตนก็เสียใจมาก แต่ก็ดีใจที่ลูกได้ทำบุญช่วยเหลือคนอื่นถึง 7 คน ซึ่งสำหรับความเชื่อเรื่องการบริจาคอวัยวะที่ว่า เกิดชาติหน้าร่างกายจะไม่สมบูรณ์ต่างๆ นั้น ตนคิดแต่ว่าเมื่อเราให้ด้วยใจ ช่วยอะไรได้ก็ช่วย เพราะชาติหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้เมื่อมีโอกาสได้มอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่นก็ควรจะทำ" นางยง แม่ของน้องบิวกล่าว.
ทั้งนี้ คุณแม่ของน้องบิว ยังเปิดเผยความบังเอิญที่เกิดขึ้นว่า น้องบิวเสียชีวิตเวลาประมาณ 06.37 น. ในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งน้องบิวเกิดในวันที่ 6 และนอนรักษาตัวที่เตียงหมายเลข 6 อีกด้วย.
http://www.tnews.co.th/contents/bg/307067 
คนไมคนพุทธ ที่ปฎิบัติธรรม ไม่นิยมบริจาคอวัยวะ ให้เป็นกุศลกับคนอื่น ?
ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อตายลง ก็จะทำพิธีศพแล้วก็เผาเลย
แม้แต่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมบริจาคอวัยวะด้วย
เลยไม่เข้าใจว่า เป็นเพราะเหตุใด ?
ซาบซึ้งน้ำตาซึม!!"แม่น้องบิว"ย้อนนาทีบริจาคอวัยวะลูกเพื่ออีก7ชีวิต บอกทุกคนให้นึกถึงในหลวง ร.9 ทรงเสียสละเพื่อคนไทย พูดจบหัวใจน้องก็แผ่วลง!?
Publish 2017-03-27 18:47:22
ยังคงเป็นเรื่องราวที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สำหรับ "น้องบิว" หรือด.ช.สมเดช ฆ้องน้อย อายุ 14 ปี ที่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนและมีภาวะสมองตาย ทำให้ร่างกายของน้องบิวไม่ตอบสนอง ทำให้เสียชีวิตลง ทางคุณแม่และครอบครัวของน้องบิว จึงตัดสินใจบริจาคอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้แก่ผู้ป่วยหนักที่ยังมีหวัง โดยเป็นการบริจาคอวัยวะ เช่น หัวใจ ดวงตา ตับ ไต เพื่อต่อชีวิตให้ใครอีกหลายคนได้ถึง 7 ชีวิต พร้อมทั้งมีเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกด้วย
โดย นางยง ศิริสุข คุณแม่ของน้องบิว ได้เล่าถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องบิวว่า ตนได้ตามน้องบิวกลับบ้านโดยขับขี่รถจยย.ตามกันมา แต่เมื่อมาถึงบริเวณ 3 แยก ซึ่งเป็นทางสามแพร่งใกล้กับวัดแห่งหนึ่ง ได้มีรถจยย.พุ่งขึ้นมาแล้วชนเข้ากับรถของน้องบิวเข้าเต็มแรง ก่อนจะมีการนำตัวน้องบิวส่งโรงพยาบาล ขณะนั้นน้องมีอาการหนักมาก มีเปอร์เซ็นต์รอดเพียง 50/50
ซึ่งทางแพทย์ได้บอกให้ครอบครัวทำใจ ทางแพทย์เองจะพยายามช่วยเหลือน้องบิวให้ถึงที่สุดและเต็มกำลังที่มี แต่ผ่านไปประมาณ 7 วัน ทางแพทย์ที่ทำการรักษาน้องบิวได้แจ้งว่าน้องบิวเสียชีวิตแล้ว พร้อมทั้งมีอาการสมองตายเนื่องจากไม่มีการตอบสนองในการรักษา แต่หัวใจของน้องบิวยังคงเต้นอยู่ หากถอดเครื่องช่วยหายใจ น้องบิวก็จะเสียชีวิตทันที จึงได้เชิญคุณแม่และญาติพี่น้องไปสอบถามว่าอยากจะบริจาคอวัยวะให้กับทางศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยหรือไม่
ก่อนหน้านี้ไม่รู้มาก่อนว่ามีการบริจาคอวัยวะได้ เพราะเรียนไม่สูง แต่ตนก็ยินดีและได้บอกคุณยายและญาติๆ ว่าน้องจะไม่เจ็บปวดหรอก เพราะน้องเสียชีวิตแล้ว เมื่อเราเผาร่างน้องไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ซึ่งชาติหน้าเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร แต่ชาตินี้อยากให้ลูกชายได้ทำบุญครั้งสุดท้าย ช่วยคนอื่นที่เขาเดือดร้อนหรือทุกข์มากกว่าเราเท่าที่จะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต หัวใจ และดวงตาทั้งสองข้าง จึงได้ตัดสินใจอนุญาตให้ลูกชายเป็นผู้บริจาคอวัยวะในวันนั้น
"ตอนนั้นตนได้ยกเรื่องราวของในหลวง ร.9 ที่ทรงเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อประชาชนชาวไทย แต่ตนเองเป็นเพียงสามัญชนทำไมจะช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้ ตนขอแค่ให้ผู้ที่ได้รับบริจาคไปนั้นดูแลอวัยวะที่ได้ไปให้ดี"
คุณแม่ของน้องบิว ได้กล่าวต่ออีกว่า เมื่อคุณยายยินยอม ตนจึงเดินไปหาน้องบิวที่เตียงและบอกกับลูกว่า "ขออวัยวะของลูกนะ เอาไปบริจาคให้คนอื่นต่อ" ปรากฏว่าชีพจรของน้องก็ค่อยๆ อ่อนลงและสิ้นสุดลงในที่สุด จากไปอย่างสงบ จากนั้นทางแพทย์โรงพยาบาลพุทธโสธรจึงรีบประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราชให้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บดวงตา หัวใจ ตับ และไตของน้อง เพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่ยังรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอยู่อีก 7 คน นับเป็นการต่อลมหายใจให้กับผู้อื่นซึ่งนับเป็นกุศลครั้งใหญ่
"น้องบิวเป็นเด็กดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นและช่วยงานบ้านอยู่เสมอ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตนก็เสียใจมาก แต่ก็ดีใจที่ลูกได้ทำบุญช่วยเหลือคนอื่นถึง 7 คน ซึ่งสำหรับความเชื่อเรื่องการบริจาคอวัยวะที่ว่า เกิดชาติหน้าร่างกายจะไม่สมบูรณ์ต่างๆ นั้น ตนคิดแต่ว่าเมื่อเราให้ด้วยใจ ช่วยอะไรได้ก็ช่วย เพราะชาติหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้เมื่อมีโอกาสได้มอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่นก็ควรจะทำ" นางยง แม่ของน้องบิวกล่าว.
ทั้งนี้ คุณแม่ของน้องบิว ยังเปิดเผยความบังเอิญที่เกิดขึ้นว่า น้องบิวเสียชีวิตเวลาประมาณ 06.37 น. ในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งน้องบิวเกิดในวันที่ 6 และนอนรักษาตัวที่เตียงหมายเลข 6 อีกด้วย.
http://www.tnews.co.th/contents/bg/307067