หุ้น BEC กำลังจะตาย?

สำหรับผู้ลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้น
คงสังเกตเห็นแล้วว่าหุ้น BEC หรือ ไทยทีวีสีช่อง3 ตกเอาตกเอา จากราคา สูงสุดเกือบ80 บาท วันนี้ เหลือแค่ 10 กว่าบาท ราคาหุ้นตกลงมากกว่า 90%

หากเราดูงบการเงินจะพบว่า ช่วง4ปีย้อนหลังมา รายได้และกำไรสุทธิก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ปั่นผลยังคงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้

คำถามคือ ธุรกิจโทรทัศน์ วันนี้จะไปในทิศทางไหน?

วันนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ช่อง3 ไม่มีใครไม่รู้จัก มาลีนนท์ เพราะบริษัทแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้าใหญ่ของธุรกิจโทรทัศน์ในประเทศไทย
แต่พักหลังความนิยมดูเหมือนว่าจะลดลงจริงหรือ?

ไม่นานมานี้ รายการดังอย่าง
the mask singer  
I can see your voice thailand
ปริศนาฟ้าแล่บ

โดงดังอย่างพลุแตก แทบจะพูดได้ว่าแย่งความสนใจจากคู่แข่งทุกเจ้าเลยก็ว่าได้

ที่สำคัญรายการทั้งหมดนี้มาจากค่ายเดียวกันคือ workpoint ของคุณ ปัญญา นิรันดร์กุล

แน่นอนว่าหากย้อนดูงบการเงินของ workpoint สวนทางกับ BEC อย่างชัดเจน

ข้อสังเกตตรงนี้บอกได้ว่า
1. ธุรกิจโทรทัศน์ยังไม่ได้ตายจากไปเพราะ workpoint ไม่ได้เละตาม
2. รายใหญ่ไม่สำคัญ แต่ content ของรายการหรือละคร สำคัญกว่า

หลายคนพูดว่า ทุกวันนี้ online เข้ามาฆ่า วิถีทางแบบเก่าๆ

โฆษณาออนไลน์ ถูก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ กว่า การโฆษณาในรายการโทรทัศน์อย่างมาก

คนไม่ดูทีวี คนดูlive facebook เสพสื่อจาก youtube net idol คนดัง เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน

ใครๆ ก็เป็นดาราได้ง่ายๆ

เรื่องเหล่านี้ ฆ่า ธุรกิจโทรทัศน์ จริงหรือ?

สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่เลย

เพราะ การที่คนไม่ดูทีวีหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ "ช่องทางการรับรู้"
หมายความว่า คนแค่เปลี่ยนช่องทางการรับรู้เท่านั้น ไม่ได้เลิกติดตามรายการหรือละครซะหน่อย

คนไม่ได้เลิกติดตาม ณเดช ญาญ่า ชมพู เคน ภูภูมิ บอย ปกรณ์ คิมเบอร์ลี่ หรือใครหลายๆคนซะหน่อย

แต่ที่จะตายไป คือ ทีวี หรือ television ต่างหาก (ถ้าจะเกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ) เพราะคนไม่ดูทีวีไง ดังนั้นพวกทีวีจอแบน จอโค้ง ความชัดเท่านั้นเท่านี้ ไม่มีประโยชน์555

ดังนั้นปัจจัยเรื่องช่องทางการรับรู้จึงอาจไม่ได้ทำให้ธุรกิจรายการโทรทัศน์ตายไป

หัวใจของวงการธุรกิจนี้คือ ผู้ติดตาม หรือก็คือ คนดู คนที่จะfollow รายการ ดารา ละคร

เมื่อมีคนติดตามมากพอ ก็ส่งผลให้ ผู้ประกอบการ บริษัทชั้นนำ ธุรกิจ ต่างๆ พาเรดกันเข้ามาขอโฆษณาสินค้าและบริการของตนเอง ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นๆ (ได้ค่าโฆษณา)

ดังนั้นแน่นอน ว่า หากความนิยมลดลง ยอมทำให้ ผู้ลงโฆษณาน้อยลง และหันไปหาช่องทางโฆษณาที่ดีกว่านั้นเอง

หากย้อนไปดู10ปีก่อนหน้านี้ ผมจำได้ว่า ผมยังอยู่มัธยมอยู่เลย ช่อง3 ดึงดาราดังจากช่อง7 เข้ามามากพอสมควร มีดาราหน้าใหม่ที่เกิดใหม่ภายใต้ช่อง3 อย่างมาก ทั้งหมดนี้เขาทำเพื่ออะไร?
คำตอบคือ เพื่อ "ดึง" หรือ "สร้าง" ผู้ติดตามของดาราๆคนนั้น มาดูรายการของช่อง3 เพื่อเปลี่ยนสายตาของคน ให้หันมาดูช่อง3 นั้นเอง

ผมกำลังจะบอกว่า สิ่งที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ "ความนิยม" คำถามคือ ช่อง3 จะเรียกความนิยมกลับมาได้อย่างไร รวมถึง คู่แข่งที่ต้องเรียกความนิยมของตนเองเช่นกัน เมื่อทำได้ ย่อมเรียกผู้ลงโฆษณากลับมามากขึ้นได้เช่นกัน

การเปลี่ยนช่องทางการรับรู้ จาก ทีวี สู่ ออนไลน์ ไม่ได้ทำให้ธุรกิจช่องโทรทัศน์ตายจากไป เพราะ ธุรกิจเองก็สามารลงแข่งในyoutube  facebookหรืออื่นๆ ได้ (facebook youtube ไม่ได้ห้ามช่อง3 อัพโหลดรายการซะหน่อย)

ปัจจุบันดาราช่อง3มีล้นมาก(จนอาจจะเยอะเกินไป55) แต่ละคนมีแฟนคลับติดตามเป็นแสน เป็นล้าน ความชื่นชอบตรงนี้ยังคงได้เปรียบอยู่บ้าง ถ้าดาราเหล่านั้นยังอยู่ภายใต้ช่อง3อยู่

สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ คือ content ของรายการ/ละคร ที่เป็นโจทย์ใหญ่ว่า จะทำอย่างไรให้คนพูดถึงกันทั่วบ้านเมือง เพราะระยะหลังมานี้ ส่วนตัวผมเอง รู้สึกว่าช่อง3 ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่น่าติดตาม ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจรายการโทรทัศน์ซะด้วย

ดังนั้น หาก เทียบ ความแปลก สด ใหม่ ของรายการโทรทัศน์ปัจจุบัน ต้องยกให้คุณ ปัญญา นิรันดร์กุล
ที่การันตี คุณภาพ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่า รายการของเขา ออกมาทีไร ดังทุกที แปลกใหม่ทุกครั้ง

สรุปแล้ว ช่อง3ไม่ได้แพ้ เพราะ trend เปลี่ยน หรือ เพราะคนไม่ดูทีวี เหมือนที่คนพูดๆ กัน
แต่ช่อง3 แพ้ที่ content ของรายการโทรทัศน์

อย่างไรก็ตามอย่าว่าแต่ช่อง3อย่างเดียว
เราลองส่องงบการเงิน ช่องอื่นๆ หรือ คู่แข่งที่กระโดดเข้ามาในธุรกิจช่องโทรทัศน์ หลายเจ้า เละกว่าช่อง3 ซะอีก . . .

ขอบคุณครับ
โลกตรงข้าม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่