เมื่ออยากได้คนเก่งมาเป็นครู คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

...ถ้าลองคำนวณต้นทุนค่าเสียโอกาส ของผู้ที่เรียนหลักสูตร 5 ปี คณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ ก็จะเข้าใจว่า
ทำไมผู้ที่เรียนหลักสูตรนี้จะต้องออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน...


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอโยงเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ดังข่าวต่อไปนี้
ที่มา http://www.matichon.co.th/news/503357

จากข่าวจะเห็นว่าเนื้อหา ที่ท่านอาจารย์ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้กล่าวนั้นสามารถสื่อความในใจของนักศึกษาวิชาชีพครูได้อย่างครบถ้วนชัดเจน

ถึงแม้จะกล่าวว่า “การเรียนครูประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลัก คือ เนื้อหาความรู้ วิธีการสอน เทคนิคการถ่ายทอดจิตวิทยาการถ่ายทอดองค์ความรู้ การประเมินผล และส่วนสำคัญที่สุดคือ จิตวิญญาณความเป็นครู”
แต่หลายคนอาจจะแย้งได้ว่า แม้จบการศึกษาจากคณะอื่นๆ ก็สามารถพัฒนาตนเอง และเรียนรู้ได้เทียบเท่าผู้ที่เรียนคณะที่ผลิตครูโดยตรง ส่วนประเด็นจิตวิญญาณความเป็นครูนั้น หากต้องการเป็นครูด้วยใจ ย่อมมีความรักและปรารถนาดีต่อศิษย์และไม่ทำสิ่งใดผิดจรรยาบรรณแน่นอน ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วยถ้าหากจะกล่าวดังที่ว่ามานี้  

ประเด็นที่ดิฉันจะขยายความต่อไปนี้คือเรื่องของต้นทุนค่าเสียโอกาส ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบข้างต้น

ต้นทุนค่าเสียโอกาสคืออะไร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

...ทำไมเราถึงคัดค้าน...

? : “คนเก่งไม่เรียนครู หรือ ครูเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สอบไม่ติดคณะอื่น”
ความเห็นส่วนตัว : สิ่งที่ท่านกล่าวอาจจะเคยเป็นความจริงในอดีตเมื่อนานมาแล้ว หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงเพียงบางส่วนเท่านั้นแต่
หากท่านสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารในการสอบ หรือการแอดมิชชั่นจะพบว่าคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ มีคะแนนแอดมิชชั่น และอัตราการแข่งขันสูงมาก แสดงให้เห็นว่ามีนักเรียนจำนวนมากต้องการเป็นครู และผู้ที่ได้ไปต่อคือคนเก่งที่มีคะแนนสูง ไม่ใช่สอบคณะอื่นไม่ติด แต่พวกเราเลือกที่จะเรียนคณะนี้
ท่านอย่าบอกว่าคนเก่งไปเรียนคณะอื่น ดิฉันเองสอบติดทุกคณะที่สมัคร แต่ได้ผ่านการไต่ตรองอย่างหนักจนเลือกเรียนในคณะนี้ ไม่ใช่ไร้ทางเลือกอย่างที่ถูกหลายๆ คนกล่าวหา มันน่าน้อยใจนะคะ

? :  “พวกที่เรียนครูจะดราม่าทำไม ถ้าเก่งจริงทำไมต้องกลัว แค่เปิดโอกาสให้คนอื่นมาสอบบ้าง อย่าใจแคบ”
ความเห็นส่วนตัว : ถ้าท่านได้อ่านเรื่องราวชีวิตของดิฉันก็จะทราบว่า ทำไมดิฉันซึ่งได้บรรจุเป็นข้าราชการครูแล้วต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อน หรืออธิบายยาวเหยียด ก็เพราะว่า นโยบายต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เว้นแต่ละวันนั้นทำให้ผู้ที่เรียนครู 5 ปีเสียสิทธิ หากใช้ระยะเวลาเรียนเท่ากัน ความคับแค้นใจของเหล่านักศึกษาครูคงจะน้อยกว่านี้ พวกเราเลือกเรียนครูด้วยหวังว่า คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ จะเป็นเบ้าที่จะหล่อหลอมเราให้เป็นครูที่สมบูรณ์ แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาถึง 5 ปี และที่สำคัญในช่วงเวลานั้นทุกคนที่จะสอบคัดเลือกเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาทราบดีว่า หากต้องการเป็นครู ก็ต้องเรียนคณะที่ผลิตครูเท่านั้น เรียนคณะอื่นๆ ไม่สามารถประกอบวิชาชีพครู (สังกัด สพฐ.) ได้ พวกเราจึงมุ่งมั่น ตั้งใจแข่งขันกับผู้สอบทั่วประเทศเพื่อเดินตามเส้นทางฝัน
ดังนั้นท่านที่เลือกเรียนคณะอื่นๆ แล้วอยากมาสอบครู หากจะว่าเราใจแคบดิฉันก็ยินดี เพราะตอนสอบเข้าท่านรู้และเลือกเส้นทางในสายงานอื่นไปแล้ว ในระยะเวลา 1 ปีที่ท่านเรียนจบออกไปหาประสบการณ์ ทำงาน หาเงิน แต่พวกเราฝึกสอน 1 ปี ไม่ได้รับเงินเดือน ในขณะที่ผู้เรียนคณะอื่นๆ ฝึกงานและได้ค่าตอบแทน แต่พวกเรานอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องจ่ายเงินเพื่อทำสื่อการสอนมากมาย หากจะพูดว่าการศึกษาคือการลงทุน แต่ในเมื่อถ้าเราเรียน 3 ปีครึ่ง / 4 ปี เหมือนท่านก็เป็นครูได้เหมือนกัน พวกเราจะมาเรียนทำไมตั้ง 5 ปี แล้วใครจะยังอยากเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ที่ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ในเมื่อเรียนสาขาวิชาเดียวกันในคณะอื่นก็เป็นครูได้ และใช้เวลาน้อยกว่าอีกด้วย

คำนวณดูสิคะ เราเสียโอกาสไปเท่าไหร่ ?


สุดท้ายอยากฝากถึงท่านทั้งหลายในกระทรวงค่ะ ขอความเห็นใจให้แก่ผู้ที่ถูกล่อเข้ามาติดกับด้วยนโยบายในอดีต แต่ถูกท่านหักอกด้วยนโยบายในปัจจุบัน แม้ว่าจะเปลี่ยนผู้บริหารบ่อยแต่ขอให้คำนึงถึงความต่อเนื่องของนโยบายหรือการดำเนินงาน เช่นกรณีของดิฉันที่มีข้อกำหนดว่าผู้ที่จะเป็นครูต้องเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ครูศาสตร์ หลักสูตรครู 5 ปี เท่านั้น ดิฉันจึงไม่เรียนคณะอักษรศาสตร์ที่เคยคาดว่าเป็นครูได้เช่นกัน แต่ไม่นานท่านกลับบอกว่าคณะไหนก็เป็นครูได้ ช่วยรับความเห็นนี้ไปพิจารณาด้วยเถอะค่ะ แม้จะเป็นหนึ่งเสียงเล็กๆ แต่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาต่อไปค่ะ

สิ่งที่เล่ามานี้ไม่ใช่ทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ แต่เนื่องจากกระทู้นี้ยาวมากแล้ว ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ ที่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นค่ะ แสดงความคิดเห็นได้นะคะ เพราะบางทีอาจมีมุมอื่นๆ ที่เจ้าของกระทู้ลืมกล่าวถึง

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่โทษโชคชะตาของตนเอง และโชคชะตาของเพื่อนร่วมชะตากรรม[/
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่