นี่เป็นกระทู้แรกเลยที่ได้เขียนที่นี่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยยังคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เท่าไหร่
จึงเลยอยากจะแบ่งปัน เพราะตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเสียงเล็กๆของคนที่เป็นโรคนี้
Major Depressive Disorder หรือที่เราๆเรียกกันว่า "โรคซึมเศร้า"
อาการสำคัญของมันก็มีได้หลายอย่าง เช่น ไม่อยากทำอะไร ไม่หิว ไม่นอน พูดน้อย ซึม เหม่อลอย
รู้สึกตนเองไม่มีค่า ไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ และเริ่มทำร้ายตัวเอง
ซึ่งในเคสของ จขกท นี้ ต้องเริ่มเล่าก่อนว่า
เมื่อสมัยประถมและมัธยม จขกทเป็นประเภท ตัวตลก ตัวยิงมุข ตัวสร้างสีสันให้กับเพื่อนๆ เป็นคนที่ทุกคนนบ้านรักใคร่
เป็นช่วงชีวิตที่ดีและมีความสุข การเรียนแทบจะไม่ต้องเครียดมาก คะแนนก็อยู่ในระดับต้นๆมาตลอด
จขกท อยากเรียนพยาบาล จึงได้ไปสมัครที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งบอกเลยว่า ไม่อ่านหนังสือไปเลย
ไม่คิดเลยว่าจะติด แต่แล้วก็ติด แล้วเรื่องมันก็เริ่มต้นจากตรงนี้
เมื่อเข้ามหาลัยมา ทุกสิ่งทุกอย่งเหมือนเริ่มใหม่ทั้งหมด ทั้งเพื่อน ทั้งที่อยู่อาศัยการเรียน
ซึ่ง จขกท อาศัยอยู่ในกทมมาตลอด การที่จะไปไหนเองคนเดียว กินข้าวคนเดียว นั่นคือความปกติของคนกทม แต่กับที่นี่ มันไม่ใช่
ทุกคนเริ่มจับกลุ่มกันแล้ว แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็เฉยๆ ก็เรียนๆไป ปรับพื้นฐานก็คุยกับเพื่อนได้ แต่ก็ไม่มีใครสนิท
เราก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไปกินข้าวคนเดียว ไปไหนคนเดียว รับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว แต่เวลาเพื่อนชวนไปกินข้าวก็ไปนะ
เราก็คิดว่าเราปกติมาตลอด แต่เปล่าเลย ผ่านมาสองปี เราเริ่มที่จะเครียด จากกการเรียน จากสภาพสังคมที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
การบริหารเงิน ที่บางทีก็ไม่พอใช้ เมื่อโทรไปคุยกับที่บ้าน ก็ได้รับคำที่บอกว่า "เหนื่อยแล้วนะ หยุดเอาเรื่องมาทำให้เหนื่อยอีกได้ไหม"
นั่นคือประโยคที่จำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ และอีกหลายๆอย่าง เราเริ่มโดดเรียนเนื่องจากเราไม่อยากที่จะไป อยากนอนอยู่เฉยๆ
บางทีก็ออกมานอนเล่นกลางลานบาสมืดๆเป็นชั่วโมงแล้วนอนมองท้องฟ้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เราได้ออกมาอยู่หอนอกกับเมท
ตอนแรกๆมันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ จนกระทั่งเมทพาผู้ชายมานอนห้องเราโดยที่ไม่ได้บอกหรือขอเราเลย
จึงแยกห้องกันไป เราเริ่มขึ้นฝึกปฏิบัติบนรพ ซึ่งอาจารย์จะค่อนข้างดุมากพอสมควร ซึ่งเราก็เข้าใจนะ ว่ามันคือการสอนของอาจารย์
แต่การสอนของอาจารย์บางท่าน ก็ทำให้เราต้องกดดันจนเราทนไม่ไหว กลับมาร้องไห้อยู่หลายครั้งก็มี
ชีวิตประจำวันราเริ่มเปลี่ยน ห้องเราเริ่มที่จะไม่เก็บ ผ้าเริ่มจะไม่ซัก ผมเริ่มจะไม่สระ อาบน้ำบางทีแค่วันละครั้ง
มันหนักมาก สะสมมาเรื่อยๆ แต่ดีหน่อยที่เราคุยกับพี่สาวคนนึงในแชททุกวัน ซึ่งเราก็รักเขามาก เขาขออะไรมาเราก้พยายามทำให้ได้
เพราะก่อนหน้านี้มันเคยเกิดประมาณว่า ไม่อยากกินข้าวอยู่ สามวัน แล้วพอจะกินก็กินไม่ได้ อ้วกออกตลอด แค่น้ำแดงเฉยๆ ก็ยังกินไม่ได้
เราก็ไปหารพมหาลัย ซึ่งเขาจ่ายยาโรคซึเศร้ามาด้วย แต่เราก็ไปปรึกษาอาจารย์ ท่านก็ไม่อยากให้กิน
อาการเริ่มหนักขึ้นตอนขึ้นวอร์ดในช่วงเดือนนี้ ที่เคสจะหนักขึ้น แต่ขีดความอดทนของเรามันน้อยลงทุกที เรียนก็ไกลบ้าน วันหยุดแทบไม่มี
ที่น่าตกใจคือ เขียนงานเอกสารไม่ได้มือสั่นไปหมด ฝืนมากๆบางทีก็วูบไปเลย หรือถึงขั้นหัวใจมันเต้นแรงแบบกระตุกเลยก็มี
เราเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ความคิดฆ่าตัวตายมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เราแยกตัวออกมาหนักกกว่าเดิม
เริ่มเตรียมอุปกรณ์ที่จะฉีดยาเข้าเส้นเลือดพร้อม แต่ก้ยังมีสติเดินไปหาอาจารย์ที่ตึกสำนัก ซึ่งอาจารย์สอนจิตเวชก็บอกว่า
ไปหาหมอกันเถอะนะ เราก็แบบ ขนาดนั้นเลยหรอ? รู้สึกเหมือนรับตัวเองไม่ได้เท่าไหร่ว่าเราเป็นหนักขนาดนั้นเลยหรอ
จนได้ไปหาหมอ กับพบนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งก็ยอมรับว่าดีขึ้นหน่อย เพราะเรามีอาการเฉยชากับทุกอย่งไปแล้ว เหมือนแบบไม่รู้สึกอะไรเลย
ณ เวลานั้นคือ อยากหลุด อยากออกไปจากที่นี่ อยากไป ความรู้สึกผิดมันถาโถมมากๆ มันทรมาณมากๆเลยนะ
อยากกินก็กินไม่ได้ อยากนอนก็นอนไม่ได้ น้ำตาไหลทั้งๆที่ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีการสะอื้น ทำอะไรไม่ได้เลย หลังจากไปหาหมอ
ก็ขึ้นฝึกปกติ แล้วน้าก็โทรมาตอนเที่ยง กลับกลายเป็นว่า มันไปสะกิดปมหลักในใจของเรา ทำให้เราร้องงไห้ชนิดกรีดร้อง จนอาจารย์ต้องอยู่ด้วยไม่ห่าง
อาจารย์จึงพาไปหาหมออีกครั้ง และเราโดนปรับยา และโดนสั่งให้พักงานไปเลย ช่วงนีเราก็ยังอยู่ในช่วงพัก เพราะอาจารย์ทุกท่านยังไม่ให้ไปฝึก
สุดท้าย สิ่งที่คนเป็นโรคนี้ ที่เขากำลังป่วย สิ่งที่เขาต้องการคือ "ความเข้าใจ" ในตัวของจริงๆ
อยากให้คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องพูดปลอบหรืออะไร ขอแค่อยู่ข้างๆ เปิดใจ ฟัง สิ่งที่เขาบอก สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
อย่าไปคิดแทนเขา เพราะเขาจะรู้สึกต่อต้านในใจ และเขาจะไม่ฟังคุณอีก
เวลาคนเป็นโรคนี้ เขาคิดจะฆ่าตัวตาย ส่วนนึง อยากแนะนำว่า
"อย่าให้เขาคิดถึงครอบครัวขนาดนั้น" สำหรับบางคนและจขกทเอง หากอยากตาย แล้วมีคนมาพูดแบบนี้
เราจะ Guilty หรือรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก และเราอาจจะช่วยเขาได้ไม่ทันแล้วก็ได้
หากใครมีคนรอบข้าง เป็นโรคนี้ หรือกำลังป่วย ก็ขอให้อยู่ข้างๆเขาก็พอค่ะ ดูแลเขาทางด้านจิตใใจให้มาก
ฟังเขา เข้าใจเขา ในสิ่งที่เขาคิด ที่เขาเป็น แค่นั้นก็เพียงพอค่ะ
เมื่อฉันเสพติดการอยู่คนเดียว จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า
จึงเลยอยากจะแบ่งปัน เพราะตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเสียงเล็กๆของคนที่เป็นโรคนี้
Major Depressive Disorder หรือที่เราๆเรียกกันว่า "โรคซึมเศร้า"
อาการสำคัญของมันก็มีได้หลายอย่าง เช่น ไม่อยากทำอะไร ไม่หิว ไม่นอน พูดน้อย ซึม เหม่อลอย
รู้สึกตนเองไม่มีค่า ไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ และเริ่มทำร้ายตัวเอง
ซึ่งในเคสของ จขกท นี้ ต้องเริ่มเล่าก่อนว่า
เมื่อสมัยประถมและมัธยม จขกทเป็นประเภท ตัวตลก ตัวยิงมุข ตัวสร้างสีสันให้กับเพื่อนๆ เป็นคนที่ทุกคนนบ้านรักใคร่
เป็นช่วงชีวิตที่ดีและมีความสุข การเรียนแทบจะไม่ต้องเครียดมาก คะแนนก็อยู่ในระดับต้นๆมาตลอด
จขกท อยากเรียนพยาบาล จึงได้ไปสมัครที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งบอกเลยว่า ไม่อ่านหนังสือไปเลย
ไม่คิดเลยว่าจะติด แต่แล้วก็ติด แล้วเรื่องมันก็เริ่มต้นจากตรงนี้
เมื่อเข้ามหาลัยมา ทุกสิ่งทุกอย่งเหมือนเริ่มใหม่ทั้งหมด ทั้งเพื่อน ทั้งที่อยู่อาศัยการเรียน
ซึ่ง จขกท อาศัยอยู่ในกทมมาตลอด การที่จะไปไหนเองคนเดียว กินข้าวคนเดียว นั่นคือความปกติของคนกทม แต่กับที่นี่ มันไม่ใช่
ทุกคนเริ่มจับกลุ่มกันแล้ว แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็เฉยๆ ก็เรียนๆไป ปรับพื้นฐานก็คุยกับเพื่อนได้ แต่ก็ไม่มีใครสนิท
เราก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไปกินข้าวคนเดียว ไปไหนคนเดียว รับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว แต่เวลาเพื่อนชวนไปกินข้าวก็ไปนะ
เราก็คิดว่าเราปกติมาตลอด แต่เปล่าเลย ผ่านมาสองปี เราเริ่มที่จะเครียด จากกการเรียน จากสภาพสังคมที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
การบริหารเงิน ที่บางทีก็ไม่พอใช้ เมื่อโทรไปคุยกับที่บ้าน ก็ได้รับคำที่บอกว่า "เหนื่อยแล้วนะ หยุดเอาเรื่องมาทำให้เหนื่อยอีกได้ไหม"
นั่นคือประโยคที่จำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ และอีกหลายๆอย่าง เราเริ่มโดดเรียนเนื่องจากเราไม่อยากที่จะไป อยากนอนอยู่เฉยๆ
บางทีก็ออกมานอนเล่นกลางลานบาสมืดๆเป็นชั่วโมงแล้วนอนมองท้องฟ้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เราได้ออกมาอยู่หอนอกกับเมท
ตอนแรกๆมันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ จนกระทั่งเมทพาผู้ชายมานอนห้องเราโดยที่ไม่ได้บอกหรือขอเราเลย
จึงแยกห้องกันไป เราเริ่มขึ้นฝึกปฏิบัติบนรพ ซึ่งอาจารย์จะค่อนข้างดุมากพอสมควร ซึ่งเราก็เข้าใจนะ ว่ามันคือการสอนของอาจารย์
แต่การสอนของอาจารย์บางท่าน ก็ทำให้เราต้องกดดันจนเราทนไม่ไหว กลับมาร้องไห้อยู่หลายครั้งก็มี
ชีวิตประจำวันราเริ่มเปลี่ยน ห้องเราเริ่มที่จะไม่เก็บ ผ้าเริ่มจะไม่ซัก ผมเริ่มจะไม่สระ อาบน้ำบางทีแค่วันละครั้ง
มันหนักมาก สะสมมาเรื่อยๆ แต่ดีหน่อยที่เราคุยกับพี่สาวคนนึงในแชททุกวัน ซึ่งเราก็รักเขามาก เขาขออะไรมาเราก้พยายามทำให้ได้
เพราะก่อนหน้านี้มันเคยเกิดประมาณว่า ไม่อยากกินข้าวอยู่ สามวัน แล้วพอจะกินก็กินไม่ได้ อ้วกออกตลอด แค่น้ำแดงเฉยๆ ก็ยังกินไม่ได้
เราก็ไปหารพมหาลัย ซึ่งเขาจ่ายยาโรคซึเศร้ามาด้วย แต่เราก็ไปปรึกษาอาจารย์ ท่านก็ไม่อยากให้กิน
อาการเริ่มหนักขึ้นตอนขึ้นวอร์ดในช่วงเดือนนี้ ที่เคสจะหนักขึ้น แต่ขีดความอดทนของเรามันน้อยลงทุกที เรียนก็ไกลบ้าน วันหยุดแทบไม่มี
ที่น่าตกใจคือ เขียนงานเอกสารไม่ได้มือสั่นไปหมด ฝืนมากๆบางทีก็วูบไปเลย หรือถึงขั้นหัวใจมันเต้นแรงแบบกระตุกเลยก็มี
เราเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ความคิดฆ่าตัวตายมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เราแยกตัวออกมาหนักกกว่าเดิม
เริ่มเตรียมอุปกรณ์ที่จะฉีดยาเข้าเส้นเลือดพร้อม แต่ก้ยังมีสติเดินไปหาอาจารย์ที่ตึกสำนัก ซึ่งอาจารย์สอนจิตเวชก็บอกว่า
ไปหาหมอกันเถอะนะ เราก็แบบ ขนาดนั้นเลยหรอ? รู้สึกเหมือนรับตัวเองไม่ได้เท่าไหร่ว่าเราเป็นหนักขนาดนั้นเลยหรอ
จนได้ไปหาหมอ กับพบนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งก็ยอมรับว่าดีขึ้นหน่อย เพราะเรามีอาการเฉยชากับทุกอย่งไปแล้ว เหมือนแบบไม่รู้สึกอะไรเลย
ณ เวลานั้นคือ อยากหลุด อยากออกไปจากที่นี่ อยากไป ความรู้สึกผิดมันถาโถมมากๆ มันทรมาณมากๆเลยนะ
อยากกินก็กินไม่ได้ อยากนอนก็นอนไม่ได้ น้ำตาไหลทั้งๆที่ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีการสะอื้น ทำอะไรไม่ได้เลย หลังจากไปหาหมอ
ก็ขึ้นฝึกปกติ แล้วน้าก็โทรมาตอนเที่ยง กลับกลายเป็นว่า มันไปสะกิดปมหลักในใจของเรา ทำให้เราร้องงไห้ชนิดกรีดร้อง จนอาจารย์ต้องอยู่ด้วยไม่ห่าง
อาจารย์จึงพาไปหาหมออีกครั้ง และเราโดนปรับยา และโดนสั่งให้พักงานไปเลย ช่วงนีเราก็ยังอยู่ในช่วงพัก เพราะอาจารย์ทุกท่านยังไม่ให้ไปฝึก
สุดท้าย สิ่งที่คนเป็นโรคนี้ ที่เขากำลังป่วย สิ่งที่เขาต้องการคือ "ความเข้าใจ" ในตัวของจริงๆ
อยากให้คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องพูดปลอบหรืออะไร ขอแค่อยู่ข้างๆ เปิดใจ ฟัง สิ่งที่เขาบอก สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
อย่าไปคิดแทนเขา เพราะเขาจะรู้สึกต่อต้านในใจ และเขาจะไม่ฟังคุณอีก
เวลาคนเป็นโรคนี้ เขาคิดจะฆ่าตัวตาย ส่วนนึง อยากแนะนำว่า
"อย่าให้เขาคิดถึงครอบครัวขนาดนั้น" สำหรับบางคนและจขกทเอง หากอยากตาย แล้วมีคนมาพูดแบบนี้
เราจะ Guilty หรือรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก และเราอาจจะช่วยเขาได้ไม่ทันแล้วก็ได้
หากใครมีคนรอบข้าง เป็นโรคนี้ หรือกำลังป่วย ก็ขอให้อยู่ข้างๆเขาก็พอค่ะ ดูแลเขาทางด้านจิตใใจให้มาก
ฟังเขา เข้าใจเขา ในสิ่งที่เขาคิด ที่เขาเป็น แค่นั้นก็เพียงพอค่ะ