สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
พอวางสาย ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงดี ครอบครัวนี้สอนลูกยังไงผมไม่แปลกใจ แต่ผมแปลกใจว่าทำไมตามใจลูกจังเลย ผิดถูกไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก็ไม่รู้จะว่ายังไง ผมก็พยายามไกล่เกลี่ยของผมต่อไป แต่สุดท้ายความอดทนก็สิ้นสุดลงเมื่อทางฝ่ายน้องผู้ดียืนกรานว่า อยากได้ก็ไปฟ้องเอา!
คุณผู้อ่านครับ ผมใช้เวลาไกล่เกลี่ย 2 เดือนนะครับ ไม่ใช่ 2 วัน มาพูดแบบนี้ หมดแล้วครับความอดทน ผมติดต่อทนายวันนั้นเลย ทนายก็บอกผม ถ้าอยากฟ้องก็ได้ เดี๋ยวมาคุยกัน ก็จัดเลยครับ ผมก็ไปคุยกับทนาย ให้ข้อมูล ให้เอกสารอะไรต่างๆ ข้อมูลที่จำเป็นให้ทนายไปทำตามขั้นตอน แล้วก็ยื่นต่อศาล
ไม่นานหลังจากนั้นทนายก็แจ้งผมว่าส่งคำร้องไปที่ศาลแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ทางบ้านน้องก็ได้รับจดหมายจากศาล เท่านั้นแหละครับ แม่น้องก็โทรมาหาผม ถามผมว่าทำไมต้องไปถึงโรงถึงศาลด้วย เรื่องแค่นี้ คุยกันดีๆ ก็ได้ โห... พูดมาได้ไงเนี่ย ขึ้นเลยครับ ผมนี่ขึ้นเลย คุณแม่คิดว่าผมว่างขนาดนั้นเลยเหรอครับ เราคงไม่มาถึงตรงนี้หรอกครับถ้าคุณแม่กับคุณพ่อน้องผู้ดีจะรับผิดชอบอะไรแทนลูกตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สอนลูกตัวเองให้ดีๆ บ้าง
จากนั้นแม่น้องก็บอกว่า เดี๋ยวจะหาเงินมาคืนให้ แล้วก็ขอเบอร์ทนายผม ผมก็ให้ไป สักพัก ทนายก็โทรมาบอกว่า แม่น้องบอกจะคืนเงินให้แทนเอง แล้วก็นัดเป็นวันพุธ พอถึงวันก็เลื่อน แล้วก็เลื่อน เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่นั่นแหละ จนวันนึงโทรมาอีก ตอนหลังๆ นี้เป็นทนายฝั่งน้องผู้ดีนะครับที่ติดต่อมาหาทนายผม แล้วก็ขอไกล่เกลี่ยว่าจะคืนแค่ 200,000 จากที่ผมให้ไป 300,000 ผมก็ปฏิเสธไปว่า ไม่ครับ ผมจะเอา 300,000 ผมคืน ทางนั้นก็กลับไปคิดเป็นอาทิตย์ แล้วก็มาต่อรองใหม่เป็น 250,000 ละกัน โอ้ ต่อยังกะต่อของที่ตลาดสด
ผมก็ยืนยันคำเดิมครับ ผมจะเอา 300,000 ผมคืน นี่ดีแค่าไหนแล้วผมไม่เรียกค่าทนายผมไปด้วย ทนายผมก็จ้างมานะ ไม่ได้ขอมาทำคดีให้ฟรีๆ ก็เจรจากันอยู่สักพักก็ตกลงกันว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวน 300,000 บาทถ้วนแล้วก็นัดวันกัน
พอถึงวันนัด แม่น้องก็มากับทนาย แต่จริงๆ ไม่เชิงว่าเป็นทนายหรอกครับ เพราะแกเลิกทำอาชีพทนายไปนานแล้ว แต่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน แล้วรู้จักกับครอบครัวน้อง เลยมาทำให้ ทนายพอเจอผม คุยกันไม่กี่คำก็บอกผมว่า ให้ผมระวังตัวนะ เอาไปโพสต์ในพันทิป ในเว็บต่างๆ ระวังจะโดนฟ้อง บลาๆๆ ผมแบบเพลียยยยย แต่ละคน ไม่แปลกใจเลยอยู่ด้วยกันได้
แม่น้องก็เอาเช็คเงินสดมาให้ ก็จัดการรับ แล้วก็เซ็นตกลงว่าจะไม่ฟ้องต่อ เพราะเราได้เงินที่เราต้องการมาแล้ว แล้วก็แยกย้ายกัน ตอนนี้แหละครับ จังหวะที่จะจบนี่แหละ แม่น้องผู้ดีพูดกับผมว่า เนี่ย น้อง 3 แสน น้องทำแบบนี้น่ะ บาปกรรมมีจริงนะ วันนี้อาจจะยังไม่รู้ แต่แก่ตัวไปแล้วจะเจอมันย้อนกลับนะ ตอนนี้ผมหัวหมุนติ้วๆๆๆ พยายามประมวลผลว่าการที่น้องมาหลอกผม แล้วเอาเงินผมไปสามแสน แล้วผมทวงคืนนี่มันคือบาปกรรมยังไง แต่ก็คิดไม่ออก ยังครับ ยังไม่พอ แม่น้องพูดกับผมอีกว่า จริงอยู่ที่ผมทำโดยไม่สนใจว่าน้องจะเจออะไรบ้าง แต่ก็ควรคิดถึงพ่อคิดถึงแม่น้องบ้าง ถ้ามีเพื่อนมีใครมาถามจะให้ตอบว่ายังไง ตอนนั้นแหละ ผมนี่แบบ โอ้วววว คุณแม่เพิ่งคิดได้เหรอครับ? ตอนที่ผมไปไกล่เกลี่ยด้วยแรกๆ ก็แม่นี่แหละครับที่บอกผมว่าเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว
ผมก็ฟังๆ มีโต้ตอบบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก จนพอเสร็จแล้วจะแยกย้ายกันละ ทนายฝั่งนั้นก็เอาอีกละ บอกผมระวังนะ โดนฟ้องมามันจะไม่จบง่ายๆ แบบนี้นะ โห... ว่าจะไม่ขึ้นละ ขอขึ้นหน่อยเถอะ ผมพูดไปตอนนั้นเลย คุณคิดว่านี่ง่ายเหรอครับ? ผมเสียเวลาตามเรื่องนี้มา 4 เดือน คุณคิดว่าง่ายเหรอ? จำไม่ได้แล้วว่าเขาตอบยังไง ประมาณว่าทนายฝั่งผมบอกว่า อ่าๆๆ พอๆ แยกย้าย ก็เลยไม่ได้ต่อความกัน แต่ประโยคนั้นพูดมาผมขึ้นจริงๆ ครับ ความอดทนผมมีเยอะมาก แต่ว่านี่มันเกินไปจริงๆ
สรุป ผมก็ได้เงินผมคืนมา แต่ก็เสียค่าทนายไปหลายหมื่นบาท แต่ก็ไม่เชิงว่าแย่เท่าไหร่ เพราะว่าระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ว่ามานี้ ผมกับพี่ชาญก็ได้ไปพูดคุยกับบริษัทจัดหาคู่ที่พวกเราทั้งสองใช้บริการกัน แล้วก็ไกล่เกลี่ยกันจนสุดท้ายทางบริษัทได้คืนเงินให้ผมประมาณสามหมื่นกว่าบาท น่าจะเกือบๆ สี่หมื่น จากที่จ่ายไปเกือบห้าหมื่น ก็เอามาเป็นช่วยค่าทนายจำนวนนึงก็ถือว่ายังดีครับ ส่วนของพี่ชาญนั้น ได้มาน้อยมาก น่าจะประมาณ 20-30% ของจำนวนเงินที่พี่ชาญจ่ายไปตอนแรก แต่พี่เขาก็ไม่ได้อะไรมาก ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับว่าผมก็ได้บทเรียนอะไรมากมายเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฟ้องร้องกรณีที่แฟน หรือคนที่บอกว่าคบกับเราเนี่ย ถ้าเราให้เงินไป แล้วหาย จะมาโมเมว่าเราให้ด้วยความเสน่หาไม่ได้นะครับ อย่างกรณีผม พอโอนเงินให้ตอนหลังแล้วก็ตัดการติดต่อไปเลย อันนี้ไปทวงคืนได้ครับ ไม่ใช่จะมาอ้างว่าฝ่ายชายให้โดยความเสน่หามันไม่ได้ โดยเฉพาะให้เป็นเงินสดแบบนี้ ทักท้วงได้ครับ ที่มันจะไม่ได้คือในกรณีเช่นว่า เป็นแฟนกัน อยู่กินกันมาหลายปี ฝ่ายชายก็ให้เงินฝ่ายหญิงไปหลายบาท ซื้อทอง ซื้อมือถือให้ แต่ต่อมามีปากเสียกันจนขอหย่า แล้วไปทวงเงินคืนทวงของคึนจากฝ่ายหญิง อันนี้ไม่ได้ ถือว่าให้ด้วยความเสน่หา ต้องแยกให้ออก ไม่งั้นเอะอะก็จะเสน่หาตลอด ตายเลยครับ
เรื่องบริษัทจัดหาคู่ก็น่าเป็นห่วงครับ คือเราไม่มีทางรู้เลยว่า คู่เดทของเราเนี่ย ฐานะดีจริงไหม การศึกษาอาจจะมี แต่ฐานะนี่มีมาอย่างไร เขาตรวจสอบให้เราไม่ได้ อย่างเคสผม น้องผู้ดีจบ ป. โท ม. ติด top 3 ของประเทศ แต่เกาะผู้ชายเอา แบบนี้บริษัทก็ไปตรวจสอบไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วรายได้มาจากทางไหนกันแน่ ในทางกลับกัน ถ้าคุณอยากหาผู้ชายรวยๆ คุณก็สร้างโปรไฟล์แล้วไปหาในบริษัทพวกนี้ เขาเช็คให้เรียบร้อยว่าฝ่ายชายมีเงินจริงไหม คุณก็แค่ไปเดทด้วย แล้วก็คุยดีด้วย ให้เขาจ่ายนั่นจ่ายนี่ให้ เห็นไหมครับ แหล่งรายได้ชั้นดีเลย มีคนการันตีให้ด้วย
จริงๆ ผมว่าจะเขียนหลายประเด็น แต่มันก็ผ่านมาสักพักแล้ว และก็มีหลายๆ อย่างที่ต้องทำ ที่ยังค้างคาในช่วงหลัง ทำให้ลืมๆ ไปแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง เอาเป็นท่านใดมีข้อสงสัย หรือมีอะไรข้องใจก็สอบถามเข้ามาได้นะครับ ผมจะมาตอบให้เป็นระยะๆ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นกำลังใจ และติดตามมาตั้งแต่กระทู้แรกนะครับ ผมหวังว่า อย่างน้อยๆ เรื่องของผมก็คงจะเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้นำไปคิดไปปรับใช้ และระมัดระวังกันครับ สมัยนี้คนเรามีมาหลายรูปแบบจริงๆ
สำหรับเพจก็ยังคงมีอยู่นะครับ มีหลายๆ รายละเอียดปลีกย่อยที่ผมเล่าเฉพาะในเพจ แต่ไม่ได้มาลงในนี้ ใครว่าง หรือสนใจอ่านเพิ่มเติมก็เข้าไปดูได้ครับ https://www.facebook.com/3-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-3-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-1161907610523013/
ขอบคุณอีกครั้งครับที่ติดตามอ่านจนจบ สวัสดีครับ
คุณผู้อ่านครับ ผมใช้เวลาไกล่เกลี่ย 2 เดือนนะครับ ไม่ใช่ 2 วัน มาพูดแบบนี้ หมดแล้วครับความอดทน ผมติดต่อทนายวันนั้นเลย ทนายก็บอกผม ถ้าอยากฟ้องก็ได้ เดี๋ยวมาคุยกัน ก็จัดเลยครับ ผมก็ไปคุยกับทนาย ให้ข้อมูล ให้เอกสารอะไรต่างๆ ข้อมูลที่จำเป็นให้ทนายไปทำตามขั้นตอน แล้วก็ยื่นต่อศาล
ไม่นานหลังจากนั้นทนายก็แจ้งผมว่าส่งคำร้องไปที่ศาลแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ทางบ้านน้องก็ได้รับจดหมายจากศาล เท่านั้นแหละครับ แม่น้องก็โทรมาหาผม ถามผมว่าทำไมต้องไปถึงโรงถึงศาลด้วย เรื่องแค่นี้ คุยกันดีๆ ก็ได้ โห... พูดมาได้ไงเนี่ย ขึ้นเลยครับ ผมนี่ขึ้นเลย คุณแม่คิดว่าผมว่างขนาดนั้นเลยเหรอครับ เราคงไม่มาถึงตรงนี้หรอกครับถ้าคุณแม่กับคุณพ่อน้องผู้ดีจะรับผิดชอบอะไรแทนลูกตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สอนลูกตัวเองให้ดีๆ บ้าง
จากนั้นแม่น้องก็บอกว่า เดี๋ยวจะหาเงินมาคืนให้ แล้วก็ขอเบอร์ทนายผม ผมก็ให้ไป สักพัก ทนายก็โทรมาบอกว่า แม่น้องบอกจะคืนเงินให้แทนเอง แล้วก็นัดเป็นวันพุธ พอถึงวันก็เลื่อน แล้วก็เลื่อน เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่นั่นแหละ จนวันนึงโทรมาอีก ตอนหลังๆ นี้เป็นทนายฝั่งน้องผู้ดีนะครับที่ติดต่อมาหาทนายผม แล้วก็ขอไกล่เกลี่ยว่าจะคืนแค่ 200,000 จากที่ผมให้ไป 300,000 ผมก็ปฏิเสธไปว่า ไม่ครับ ผมจะเอา 300,000 ผมคืน ทางนั้นก็กลับไปคิดเป็นอาทิตย์ แล้วก็มาต่อรองใหม่เป็น 250,000 ละกัน โอ้ ต่อยังกะต่อของที่ตลาดสด
ผมก็ยืนยันคำเดิมครับ ผมจะเอา 300,000 ผมคืน นี่ดีแค่าไหนแล้วผมไม่เรียกค่าทนายผมไปด้วย ทนายผมก็จ้างมานะ ไม่ได้ขอมาทำคดีให้ฟรีๆ ก็เจรจากันอยู่สักพักก็ตกลงกันว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวน 300,000 บาทถ้วนแล้วก็นัดวันกัน
พอถึงวันนัด แม่น้องก็มากับทนาย แต่จริงๆ ไม่เชิงว่าเป็นทนายหรอกครับ เพราะแกเลิกทำอาชีพทนายไปนานแล้ว แต่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน แล้วรู้จักกับครอบครัวน้อง เลยมาทำให้ ทนายพอเจอผม คุยกันไม่กี่คำก็บอกผมว่า ให้ผมระวังตัวนะ เอาไปโพสต์ในพันทิป ในเว็บต่างๆ ระวังจะโดนฟ้อง บลาๆๆ ผมแบบเพลียยยยย แต่ละคน ไม่แปลกใจเลยอยู่ด้วยกันได้
แม่น้องก็เอาเช็คเงินสดมาให้ ก็จัดการรับ แล้วก็เซ็นตกลงว่าจะไม่ฟ้องต่อ เพราะเราได้เงินที่เราต้องการมาแล้ว แล้วก็แยกย้ายกัน ตอนนี้แหละครับ จังหวะที่จะจบนี่แหละ แม่น้องผู้ดีพูดกับผมว่า เนี่ย น้อง 3 แสน น้องทำแบบนี้น่ะ บาปกรรมมีจริงนะ วันนี้อาจจะยังไม่รู้ แต่แก่ตัวไปแล้วจะเจอมันย้อนกลับนะ ตอนนี้ผมหัวหมุนติ้วๆๆๆ พยายามประมวลผลว่าการที่น้องมาหลอกผม แล้วเอาเงินผมไปสามแสน แล้วผมทวงคืนนี่มันคือบาปกรรมยังไง แต่ก็คิดไม่ออก ยังครับ ยังไม่พอ แม่น้องพูดกับผมอีกว่า จริงอยู่ที่ผมทำโดยไม่สนใจว่าน้องจะเจออะไรบ้าง แต่ก็ควรคิดถึงพ่อคิดถึงแม่น้องบ้าง ถ้ามีเพื่อนมีใครมาถามจะให้ตอบว่ายังไง ตอนนั้นแหละ ผมนี่แบบ โอ้วววว คุณแม่เพิ่งคิดได้เหรอครับ? ตอนที่ผมไปไกล่เกลี่ยด้วยแรกๆ ก็แม่นี่แหละครับที่บอกผมว่าเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว
ผมก็ฟังๆ มีโต้ตอบบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก จนพอเสร็จแล้วจะแยกย้ายกันละ ทนายฝั่งนั้นก็เอาอีกละ บอกผมระวังนะ โดนฟ้องมามันจะไม่จบง่ายๆ แบบนี้นะ โห... ว่าจะไม่ขึ้นละ ขอขึ้นหน่อยเถอะ ผมพูดไปตอนนั้นเลย คุณคิดว่านี่ง่ายเหรอครับ? ผมเสียเวลาตามเรื่องนี้มา 4 เดือน คุณคิดว่าง่ายเหรอ? จำไม่ได้แล้วว่าเขาตอบยังไง ประมาณว่าทนายฝั่งผมบอกว่า อ่าๆๆ พอๆ แยกย้าย ก็เลยไม่ได้ต่อความกัน แต่ประโยคนั้นพูดมาผมขึ้นจริงๆ ครับ ความอดทนผมมีเยอะมาก แต่ว่านี่มันเกินไปจริงๆ
สรุป ผมก็ได้เงินผมคืนมา แต่ก็เสียค่าทนายไปหลายหมื่นบาท แต่ก็ไม่เชิงว่าแย่เท่าไหร่ เพราะว่าระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ว่ามานี้ ผมกับพี่ชาญก็ได้ไปพูดคุยกับบริษัทจัดหาคู่ที่พวกเราทั้งสองใช้บริการกัน แล้วก็ไกล่เกลี่ยกันจนสุดท้ายทางบริษัทได้คืนเงินให้ผมประมาณสามหมื่นกว่าบาท น่าจะเกือบๆ สี่หมื่น จากที่จ่ายไปเกือบห้าหมื่น ก็เอามาเป็นช่วยค่าทนายจำนวนนึงก็ถือว่ายังดีครับ ส่วนของพี่ชาญนั้น ได้มาน้อยมาก น่าจะประมาณ 20-30% ของจำนวนเงินที่พี่ชาญจ่ายไปตอนแรก แต่พี่เขาก็ไม่ได้อะไรมาก ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับว่าผมก็ได้บทเรียนอะไรมากมายเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฟ้องร้องกรณีที่แฟน หรือคนที่บอกว่าคบกับเราเนี่ย ถ้าเราให้เงินไป แล้วหาย จะมาโมเมว่าเราให้ด้วยความเสน่หาไม่ได้นะครับ อย่างกรณีผม พอโอนเงินให้ตอนหลังแล้วก็ตัดการติดต่อไปเลย อันนี้ไปทวงคืนได้ครับ ไม่ใช่จะมาอ้างว่าฝ่ายชายให้โดยความเสน่หามันไม่ได้ โดยเฉพาะให้เป็นเงินสดแบบนี้ ทักท้วงได้ครับ ที่มันจะไม่ได้คือในกรณีเช่นว่า เป็นแฟนกัน อยู่กินกันมาหลายปี ฝ่ายชายก็ให้เงินฝ่ายหญิงไปหลายบาท ซื้อทอง ซื้อมือถือให้ แต่ต่อมามีปากเสียกันจนขอหย่า แล้วไปทวงเงินคืนทวงของคึนจากฝ่ายหญิง อันนี้ไม่ได้ ถือว่าให้ด้วยความเสน่หา ต้องแยกให้ออก ไม่งั้นเอะอะก็จะเสน่หาตลอด ตายเลยครับ
เรื่องบริษัทจัดหาคู่ก็น่าเป็นห่วงครับ คือเราไม่มีทางรู้เลยว่า คู่เดทของเราเนี่ย ฐานะดีจริงไหม การศึกษาอาจจะมี แต่ฐานะนี่มีมาอย่างไร เขาตรวจสอบให้เราไม่ได้ อย่างเคสผม น้องผู้ดีจบ ป. โท ม. ติด top 3 ของประเทศ แต่เกาะผู้ชายเอา แบบนี้บริษัทก็ไปตรวจสอบไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วรายได้มาจากทางไหนกันแน่ ในทางกลับกัน ถ้าคุณอยากหาผู้ชายรวยๆ คุณก็สร้างโปรไฟล์แล้วไปหาในบริษัทพวกนี้ เขาเช็คให้เรียบร้อยว่าฝ่ายชายมีเงินจริงไหม คุณก็แค่ไปเดทด้วย แล้วก็คุยดีด้วย ให้เขาจ่ายนั่นจ่ายนี่ให้ เห็นไหมครับ แหล่งรายได้ชั้นดีเลย มีคนการันตีให้ด้วย
จริงๆ ผมว่าจะเขียนหลายประเด็น แต่มันก็ผ่านมาสักพักแล้ว และก็มีหลายๆ อย่างที่ต้องทำ ที่ยังค้างคาในช่วงหลัง ทำให้ลืมๆ ไปแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง เอาเป็นท่านใดมีข้อสงสัย หรือมีอะไรข้องใจก็สอบถามเข้ามาได้นะครับ ผมจะมาตอบให้เป็นระยะๆ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นกำลังใจ และติดตามมาตั้งแต่กระทู้แรกนะครับ ผมหวังว่า อย่างน้อยๆ เรื่องของผมก็คงจะเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้นำไปคิดไปปรับใช้ และระมัดระวังกันครับ สมัยนี้คนเรามีมาหลายรูปแบบจริงๆ
สำหรับเพจก็ยังคงมีอยู่นะครับ มีหลายๆ รายละเอียดปลีกย่อยที่ผมเล่าเฉพาะในเพจ แต่ไม่ได้มาลงในนี้ ใครว่าง หรือสนใจอ่านเพิ่มเติมก็เข้าไปดูได้ครับ https://www.facebook.com/3-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-3-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-1161907610523013/
ขอบคุณอีกครั้งครับที่ติดตามอ่านจนจบ สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
บทสรุปกระทู้สามเดือน 3 แสน+ กับผู้หญิงคนเดียว
ขอเท้าความก่อนนะครับสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน สามารถอ่านเต็มๆ ได้จากกระทู้แรก https://ppantip.com/topic/35739687 และกระทู้ที่สอง https://ppantip.com/topic/35879603 แต่ว่าผมจะสรุปย่อๆ ให้ฟังเลยนะครับ
ประมาณกลางปีที่แล้วผมได้รู้จักกับน้องคนนึงผ่านทางบริษัทจัดหาคู่แห่งนึงโดยบังเอิญ เนื่องจากผมไปกรอกไว้เล่นๆ แล้วเขาติดต่อมาหลายครั้งมา ติดต่อมาจนผมเกรงใจเลยไปฟังดูก็ได้ โดยที่ไม่คิดว่าจะโดนอีกดอกคือ นั่งฟังเขาอธิบายร่วมชั่วโมง ก็เลยเกรงใจ อ่ะ สมัครก็ได้ครับ อันนี้พลาดมาก คราวหลังจะหน้าด้านบอกไปเลยว่า ยังไม่สนใจครับ แต่ก็นั่นละครับ ผมก็หลวมตัวไปสมัครแพคเกจแบบที่สอง ก็คือ เจอได้ 3 เดท ในมูลค่าประมาณ 48,000 บาท ตัวเลขไม่เป๊ะนะครับ แต่ราวๆ นี้
ต่อมาก็ได้นัดเจอกับเดทแรก ผ่านไปไม่มีอะไร ไม่ถูกใจ เดทสอง ผ่านไปก็ไม่มีอะไรประทับใจ จนมาถึงเดทสาม ก็มาเจอกับน้องที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมดทั้งมวลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของผมครับ คือผมก็ไปนัดเจอกับน้อง เรียกว่าน้องผู้ดีแล้วกันนะครับ เรียกมานานแล้ว เหมือนจะติดปากไปแล้ว ก็เจอกันแล้วก็ทำความรู้จัก ไปนั่นไปนี่ด้วยกัน น้องก็เหมือนที่เล่าไปในกระทู้ ก่อนๆ ครับคือ เป็นคนอวดร่ำอวดรวย แต่ผู้ชายต้องจ่ายนะ อวดเฉยๆ แต่ไม่จ่ายครับ น้องบอกว่าเป็นผู้ชายต้องดูแลผู้หญิงได้เพราะพ่อน้องก็ดูแลแม่น้องแบบนั้น บลาๆๆ
ในระหว่างที่ผมคุยกับน้องช่วงนั้น น้องก็มีการไปคุยกับพี่อีกคนที่มาจากบริษัทจัดหาคู่เดียวกัน โดยที่ผมก็ไม่ทราบ พี่เขาก็ไม่ทราบ พี่คนนี้เรียกว่าพี่ชาญก็แล้วกันครับ ซึ่งต่อมาเนื่องด้วยที่ผมเป็นคนจริงจัง และทุ่มเท ก็เลยไม่ฉุกคิดอะไร จนให้เงินน้องไปหลายบาท มารู้ตัวอีกทีคือน้องหายไปพร้อมกับเงินผมสามแสน ซึ่งเงินจำนวนนี้ผมไม่เคยบอกเลยว่าให้เลย เอาไปใช้อะไรก็ได้ ไม่เคยพูดแบบนั้นครับ เงินที่ให้ผมมีเงื่อนไขร่วมกับน้องเสมอ แต่ยังไงก็ไม่รู้ละ ต่อมาน้องก็มาหายไป ติดต่อยังไงก็ไม่ได้ จนเป็นที่มาของกระทู้แรกครับ
หลังจากที่ตั้งกระทู้แรกไปแล้ว ก็มีคนเข้ามาให้ความคิดเห็นต่างๆ นานา ไปหลายทิศหลายทางหลายแง่หลายมุม ผมก็รับไว้เป็นบทเรียน และนำมาปรับปรุงใช้ในชีวิตประจำวันแต่โดยดีครับ ซึ่งกระทู้นั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้จักกับพี่ชาญโดยความบังเอิญ พี่ชาญส่งข้อความหาผม พร้อมสอบถาม และให้เบอร์โทรไว้ ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์แล้วจึงได้พบว่าน้องผู้ดีนั้นคือคนเดียวกับที่พี่ชาญได้รู้จักผ่านบริษัทจัดหาคู่เดียวกับที่ผมใช้บริการ ซึ่งโดยปกติ แต่ในกรณีของพี่ชาญนี่ ถ้าผมจำไม่ผิดคือ ทางพี่ชาญ และน้องผู้ดีได้ให้ฟีดแบคกลับไปทางบริษัทฯ ว่ามีการพูดคุยกันต่อ แต่ส่วนของผมนั้น น้องผู้ดีไม่ได้บอกครับ อันนี้ผมมารู้ในภายหลังทางบริษัทแจ้งผมเองว่าน้องไม่ได้บอกเลยว่าหลังจากเดทกับผมแล้วคุยกับผมต่อ ซึ่งถ้าบอก ทางบริษัทก็จะไม่แนะนำคนใหม่ให้คบซ้อน อะไรประมาณนั้นเท่าที่ฟังๆ วันนั้นหลายเดือนก่อน
นอกจากพี่ชาญแล้วก็ยังมีพี่อีกหลายคนทักทายเข้ามา ก็เจอน้องคนเดียวกันนี่แหละครับ แต่ว่าผ่านช่องทางอื่น ไม่ได้มาจากบริษัทจัดหาคู่ แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ น้องมีนิสัยชอบให้จ่ายให้ครับ ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวกับปลา จะเล็กจะใหญ่ ก็คือให้คนที่คุยด้วย หรือคบหาด้วยนี่แหละซื้อให้ ก็เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าโดนแล้วละพวกเรา
โดยตอนแรกผมก็ว่าจะปล่อยๆ ไปช่างมันเถอะ แต่ว่าหลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าเราควรจะทิ้งเงินเราทำไม ก็เลยไปตามทวง น้องก็ปฏิเสธโดยตลอด จนกระทั่งถึงจุดๆ นึงที่ผมกับพี่ชาญไปหาถึงบ้าน แล้วปรากฏว่าพ่อแม่น้องปกป้องน้องมากๆ หัวเด็ดตีนขาดยังไง ลูกก็ไม่ผิด ถึงผิดก็จะชดใช้ให้เอง แต่สุดท้ายก็บอกไปคุยกันเองละกัน ผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว นี่มันเรื่องของเด็ก (อ้าว)
ก็พยายามไกล่เกลี่ยอยู่หลายวัน จนมีวันนึง ตอนที่ผมอยู่ต่างจังหวัด น้องผู้ดีก็ส่งข้อความมาตอนตีสอง หรือตีสามนี่แหละ บอกวันพรุ่งนี้ให้มาคุยกันที่โรงพัก ไม่งั้นจะถือว่าผมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาไกล่เกลี่ยเอง ตอนนั้นอ่านแล้วแบบว่า WTF มาก แต่ก็รีบมาครับ อะไรที่พออำนวยความสะดวกให้ครอบครัวนี้ได้ก็อยากทำให้ พอไปคุยที่โรงพักก็กลายเป็นว่า แค่ให้ไปคุยเฉยๆว่า ยังไงก็จะไม่คืนเงิน วันนั้นผมนี่แบบเฟลมาก ไม่รู้จะเรียกไปทำไมไปแค่นั้น ผมก็โทรหาแม่น้อง บอกว่าไหนจะคืน ทำไมให้มาคุยแค่นี้ แม่น้องก็ถามผม อ้าว ไม่คืนเหรอ แม่ก็บอกให้คืนแล้วไง ทำไมผู้ดีไม่คืน ผมก็จะไปรู้เหรอครับคุณแม่ เอ้อ...
ผ่านไปสองสามวัน คุณแม่น้องผู้ดีรับปากจะคุยกับลูกให้ ยังไงก็จะให้คืน แต่ผ่านไปหลายวัน ไม่ติดต่อกลับ ผมก็เลยโทรไป คุณแม่น้องผู้ดีพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยว่า ก็เรื่องของเด็กก็คุยกันเอาเนาะ น้องผู้ดีว่ายังไงก็ว่าตามนั้นแหละ แม่ไม่เกี่ยว แม่แก่แล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปทำธุระก่อน วางสาย กรึบ...
(ห๊าาาาาาา!!!!??)