[หนังโรงเรื่องที่ 181] Beauty and the Beast - เอ็มม่าและเจ้าชายอสูรหล่อลากดินยิ้มหวาน by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 181] Beauty and the Beast - เอ็มม่าและเจ้าชายอสูรหล่อลากดินยิ้มหวาน ; (Bill Condon, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ :  B+ (จากสเกล D-A)

**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย

เรื่องย่อ : ตามนิทานปรัมปราเลย เรื่องเกี่ยวกับอดีตเจ้าชายรูปงามคนหนึ่ง (Dan Stevens) ที่ถูกจอมเวทย์สาปให้ร่างกายตนกลายเป็นอสูรร้าย เพื่อเป็นการลงโทษที่เจ้าชายมีนิสัยสปอยล์ชอบมองคนที่ภายนอก และให้ดอกกุหลาบพลาสติกมาอันนึง โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าชายมีรักแท้และถูกรักตอบก่อนที่ดอกกุหลาบจะร่วงหล่นไปทั้งหมดคำสาปนี้จะหายไป ...

ถือว่าเป็นหนังที่ hype สูงมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาโดยเฉพาะในหมู่ของสาวๆทั้งหลายที่มีความผูกพันกับ fairytale สุดอมตะเรื่องนี้มายาวนาน ซึ่งแรกสุดเลยก็ต้องยอมรับจริงๆว่า 'หนังสอบผ่าน' ในการเนรมิตภาพและโรมานซ์ที่สวยงาม พร้อมที่จะเติมเต็มทุกจินตนาการของทุกคนได้แน่นอน

สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมก็คือ 'ความจัดเต็ม' ของหนังที่ใส่เข้ามาได้แบบไม่ขัดเขินและกลมกลืนกับความเป็นเวอร์ชั้นคนเล่นได้แนบเนียนมาก ทั้งแสง-สี-เสียง ในทุกๆ montage ถือว่าออกแบบมาได้ดีและค่อนข้างน่าจดจำ โดยเฉพาะพาร์ทที่เกี่ยวข้องกับตัวปราสาทของเจ้าชายนั้นถือว่าสวยงามทุกช่วงทุกตอน+กับดนตรีที่ค่อนข้างติดหูและเรียบเรียงใหม่ออกมาได้ดี เอาง่ายๆคือไปฟังเพลงกับดูภาพเฉยๆก็คุ้มแล้วล่ะ

อีกเรื่องที่ถือว่าหนังอัพเกรดตัวเองขึ้นมาอีกขั้นก็คือพาร์ทของ 'ความรัก' ระหว่างเบลล์และอสูรที่ถูกสอดแทรกดีเทลเข้าไปในเรื่องทำให้มันดูเรียลมากขึ้น ภายใต้ธีมง่ายๆเกี่ยวกับ 'ความเข้ากันได้ของไลฟ์สไตล์' (compatibility) ระหว่างทั้งสองคนซึ่งล้วนก็เป็นนักอ่านด้วยกันทั้งคู่ ... คือต้องเปรยมาก่อนอีกนิดว่าตามท้องเรื่องนั้นตัวเบลล์เองถูกกลั่นแกล้งจากคนในหมู่บ้านด้วยความ 'ประหลาด' (odd) จากหญิงสาวในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ว่าเธออ่านหนังสือออก (literate) (ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกในยุคที่เพศหญิงยังไม่ถูกให้โอกาสมากพอในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ เพราะ mindset ในยุคนั้นยังเห็นผู้หญิงมีหน้าที่แค่ปรนนิบัติสามีและมีลูกเท่านั้น) หรือไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแต่งหน้าที่ไม่ตามเทรนด์ตามกระแสก็ตามแต่

ซึ่งแน่นอนว่าเบลล์ที่เคยอยู่ในสังคมระดับล่างที่ตัวเองไม่สามารถ fit in ได้มาเจอกับเจ้าชาย (ในร่างอสูร) จากฐานะทางสังคมที่สูงกว่า-และมีไลฟ์สไตล์ที่สามารถจูนเข้าหากันได้มากกว่า (ชอบอ่านนิยาย-วรรณกรรมเหมือนกัน, มีเวลาว่างไปเดินกินลมชมวิวได้) ก็ไม่แปลกที่ความรักมันจะก่อตัวขึ้นมาได้ในความเข้ากันได้นี้ ... ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมันช่วยให้ดูเมคเซนส์มากกว่า 'การใช้ความดีเอาชนะใจ' ที่มันดูเป็นเรื่องที่มันปัจเจกกว่ามากๆ มันเป็นอะไรที่นามธรรมจนเบลล์ไม่น่าจะหลงรักเจ้าชายได้ทันในเวลาสั้นๆแบบนี้

สิ่งที่ไม่ชอบก็คือการที่หนังพอร์ตความเป็น 'การ์ตูน' มาวางใส่ทั้งดุ้นแบบนี้ คือบางสิ่งบางอย่างที่มันเคยโอเคในการ์ตูนมันก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ในเวอร์ชั่นแสดงจริงแบบนี้ อาทิเช่นบุคลิกของตัวร้ายอย่าง 'แกสตอง' (Luke Evans) กับบุคลิก over-narcissism ที่มันดูการ์ตู๊น..การ์ตูนจนน่าหงุดหงิด (คือในชีวิตจริงมีคนแบบนี้ด้วยเหรอวะ?) จนเรารู้สึกว่ามันน่าจะ tone down ลงมานิดหน่อยให้มันรู้สึกประดักประเดิดน้อยลงกว่านี้ หรือจะเป็นบางบทสนทนาที่แลดู 'ล้น' จากบริบทตอนนั้นมากๆก็ตามแต่

เรื่องความเป็น PC ของหนังก็คงไม่ต้องพูดถึงอะไรเยอะ (ตัวละครเกย์ก็น่ารักดี) หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวละครผิวสีที่หนังอิมโพรไวซ์เข้ามาก็ดี ก็ถือว่าเป็นการปรุงแต่งที่เสริมเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ทำให้หนังเสียอรรถรสอะไร
.

เอ็มม่า วัตสัน ถือว่าคุมบทตัวเองได้ผ่านแบบไม่มีข้อโต้แย้ง เธอสามารถขายความเป็นเนิร์ดดี้เบลล์ได้แบบไม่ขัดเขินอะไร (*แค่กๆ เฮอร์ไมโอนี่) ถ้าจะให้ติตรงไหนก็คงต้องเป็นเรื่องร้องเพลงที่ไม่พีคซักเท่าไหร่ คือไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่แย่ แต่ก็ไม่ได้น่าชื่นชมอะไรทำนองนั้น แต่เอาจริงก็หยวนๆไปเถอะเนอะ เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วทุกข้อเสียแก้ไขได้ด้วยสำเนียงบริทิชน่ารักๆของนางนี่แหละ /เปิดโหมดไร้เหตุผล

ที่พีคกว่าเอ็มม่าก็คือเจ้าชายอสูรเนี่ยล่ะ คือในพาร์ทอสูรก็ไม่เท่าไหร่ มันมาลุ้นก็ตอนที่เจ้าชายจะกลายร่างกลับเป็นคนปกตินี่ ... คือถ้าคืนร่างแล้วไม่หล่อมันก็จะ awkward แปลกๆใช่มะ ปรากฏว่าโอเคหล่อจ้าาาา หล่อเลยแหละ (นี่ไม่ได้ดู casting ตัวละครเจ้าชายก่อนไปเข้าโรง) คือเป็นอารมณ์หล่อที่ควรจะเป็นในแฟรี่เทลแบบนี้น่ะ ดูอ้อนแอ้นๆดี อันนี้ถือว่าสอบผ่านเช่นกัน

.. คือถ้าพูดรวมๆแล้ว Beauty and the Beast ก็คือหนังอีกเรื่องที่สอบผ่านในโจทย์ของตัวเองได้อย่างสวยงามแหละ ตอบโจทย์ทุกสิ่งทุกคนคาดหวังจากแฟรี่เทลสวยๆงามๆได้อย่างดี

แล้วถามว่าทำไมคะแนนจบที่ B+? ก็ต้องว่ากันตามตรงว่าถ้ามองหนังที่ความเป็นหนังจริงๆมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้นไง คือถ้าไม่นับความเป็นนิทานคลาสสิคมาขายแล้วก็ยากหน่อยที่จะฟาดฟันกับวัตถุดิบของหนังเรื่องอื่นๆที่สดกว่าใหม่กว่าได้ บวกกับความประดักประเดิดที่หนังยังคุมตัวเองไม่อยู่ในหลายๆช่วงตอนด้วย ก็เอาเป็นว่าขอให้คะแนนตามเนื้อผ้าแล้วกัน :X

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่