พิธีขอขมากรรม ขออโหสิกรรม / วัดท่าไม้

สวัสดีครับ สวัสดีทุก ๆ ท่าน สำหรับกระทู้สนทนานี้ ข้าน้อยจะขอบอกเล่าประสบการณ์ และ มุมมองส่วนตัวในการเข้าร่วมพิธีกรรมขอขมากรรม วัดท่าไม้ ที่หลาย ๆ ท่านคงกำลังสนใจ และ สงสัยถึงขั้นตอน และ ประโยชน์ที่จะได้รับ ข้าน้อยจะขอบอกเล่า โดยละเอียด พร้อมมุมมอง ประสบการณ์ที่ข้าน้อยได้รับ คงจะเป็นประโยนช์ให้ ทุก ๆ ท่านที่เข้ามา อ่าน มาศึกษา ได้ไม่น้อย

          เริ่มจาก จุดเริ่มต้นของพิธี จะเกิดขึ้น ทุก ๆ วันพระใหญ่ วันขึ้น 15 ค่ำ ของทุก ๆ เดือน เป็นที่ทราบกันปากต่อปากอาจมีแจ้งให้ทราบในเพจ เฟสบุ๊คของท่านลูกศิษย์ หรือ แม้กระทั่งของท่านวัดฯ เองก้อมีแจ้งให้ทราบด้วยเช่นกัน การแต่งกายในการเข้าร่วมพิธี แต่งกายชุดขาวล้วน ท่าน ๆ คงจะนึกออกกันน่ะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นชุดที่มีขายทั่วไป เป็นเสื้อยืดขาวล้วน กางเกงขาวทรงสุภาพ ก็ได้เช่นเดียวกัน เริ่มเข้าพิธี เวลาประมาณ ตี 4 ของวัน สถานที่คือ ศาลาหลวงพ่อใหญ่  เมื่อเดินมาถึงจะมีเจ้าหน้าที่ คอยยื่นหนังสือ สวดมนต์ให้ ข้าน้อยก้อเดินเข้าศาลาไป ใครมาก่อนก้อเข้าไปก่อน นั่งเรียงแถวหน้ากระดาน เว้นช่องไฟ ให้พอเหมาะกัน เริ่มสวดมนต์ทำวัดเช้า ตามหนังสือสวดมนต์ โดยมีแม่ชีที่เป็นเจ้าพิธี คอยสวดนำ คอยบอกว่าให้เปิดหน้าไหน บทไหน จนจบ จากนั้น เจ้าพิธีฯ จะบอกให้ทุก ๆ ท่านที่เข้าร่วมทราบถึง เจตนาของการประกอบพิธีครั้งนี้ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ กรรมที่เกิดจากการทำแท้ง และ กรรมชนิดที่ ส่งผลให้ดวงตก ทำอะไรไม่ขึ้น ผีเข้า จิตไม่ปกติ (ขอใช้คำว่า ดวงตก) ทั้ง 2 ประเภทนี้ มีค่าใช้จ่ายต่างกัน คือ 600 บาท สำหรับกรรมจากการทำแท้ง , 300 บาท สำหรับดวงตก เมื่อเลือกได้แล้ว นั้น เจ้าหน้าที่ก็จะประกาศ แยกใครที่ต้องการแบบไหน ให้ไปทางไหน มีลำดับขั้นตอน คอยบอกให้ทราบตลอด สำหรับข้าน้อย เลือกที่ ประเภทแรก เพราะเหตุจากการเคยรับรู้ เคยเห็น คนรอบกาย ได้กระทำเช่นนั้น จากนั้นเราก้อเดินไปตามเสียงประกาศ เข้าแถวตอนลึก ต่อคิว ชำระเงิน พร้อมรับอุปกรณ์ เครื่องบูชา ประกอบพิธี ในถาดของบูชา ประกอบไปด้วย กล้วยน้ำหว้า 1 หวี หมูสามชั้น 1 เส้น น้ำมะพร้าว 1 ขวด น้ำดื่มสะอาด 1 แก้ว ข้าวสวย ข้าวสาร ขนม และ อีกอย่างที่ข้าน้อยไม่ทราบ ว่าคืออะไร ลักษณะเป็น ก้อนสีดำ เหมือน ดิน และ ถ่านหุ้งข้าวผสมกัน และ ธูป เทียน


         ในขั้นตอนนี้เป็นการไหว้ เทวดาฟ้าดิน กลางแจ้ง จะไปประกอบพิธีที่ ริมแม่น้ำ บริเวณจุดจำหน่ายอาหาร สำหรับท่านที่เคยไป วัดท่าไม้ คงจะพอนึกภาพออก ในเวลาขณะนั้น ประมาณตี 5 ใกล้ ๆ พระอาทิตย์จะขึ้น บรรยากาศถือว่าดีเลย ลมเย็น ๆ แสงอ่อน ๆ เริ่มเข้าพิธี ข้าน้อยเดินถือถาด ไปตามเสียงนำ ไป เข้าแถวเรียงหน้ากระดาน หันหน้าออกไปยังแม่น้ำ เรียงกันไป เว้นช่องไฟให้พอเหมาะ เพื่อน ๆ ที่เข้าร่วมพิธีคอยบอกกัน ช่วยกัน หลาย ๆ คนยิ้มแย้ม หลาย ๆ คนใบหน้ามีความหม่นหมอง หลาย ๆ คนเอาสนุกไม่ดูสถานการณ์พูดจา ยอกล้อแซวกันไป ตามประสา ข้าน้องสังเกตเห็น มีหลากหลายวัย รวมทั้งมีชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง แทบจะ 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมพิธีฯ ทั้งหมด มาต่อกันที่ ริมน้ำ เมื่อทุกคนพร้อม เสียงนำ คือ แม่ชีท่านเดิม เดินถือ เครื่องขยายเสียง แบบ มือถือ พูดนำถึงขั้นตอนต่าง ๆ จุด ธูป เทียน กล่าวนำสวด / ขอสรุปในใจความน่ะครับ คือเป็นการ ประกาศบอกเทวดาฟ้าดิน 16 ชั้น ฟ้า 15 ชั้นดิน ผีสาง เทวดา เหล่ายักษ์คนธรรพ์ ครูบาอาจารย์ ต่าง ๆ ให้ช่วยเปิดทาง ให้เจ้ากรรมนายเวรของ ผู้เข้าร่วมพิธีฯ ได้รับรู้ ได้เห็น ช่วยอำนวยบุญ ให้ส่งไปถึงท่านเจ้ากรรม นั้น ๆ (ตรงนี้ แนะนำน่ะครับสำหรับท่านที่เชื่อ ให้ตั้งใจครับ ไม่เล่น น่ะครับ) ผ่านไป สำหรับพิธีฯ ไหว้กลางแจ้ง ต่อมา เข้าแถวรับของสำหรับใส่บาตร พระสงฆ์ มีจัดเตรียมไว้ให้ เรียบร้อยน่ะครับ ดูดีเลย ถึงจะเป็นของแห้งที่ลักษณะที่เคยผ่านการ ถวายมาแล้ว เรียกง่าย ๆ ว่าเวียนนั้นแหละครับ แต่ อย่าคิดมากน่ะครับ เราทำบุญ เราจ่าย เราซื้อแล้วครับ เงินนั้นก็เข้าวัดไปทำประโยชน์ นั้นแหละครับ หลังจากรับของใส่บาตรแล้ว นั้น ก้อมาต่อแถวเป็น แถวตอนลึก คู่ เว้นทางเดินบริเวณ หน้าอุโบสททองคำ ทางเข้าใหญ่หน้าวัด พอจะถึงออกใช่ไหมครับ เข้าแถว


ข้าน้อยก็เข้าแถว ยืนรอ พระสงฆ์ ได้ใส่บาตรพระสงฆ์รับพรจาก ท่านแล้วถยอยเดินแถว ไปตามเสียงบอกจากแม่ชีท่านเดิม ให้ไปรับเครื่องถวายสังฆทาน และ กลับมายังศาลาหลวงพ่อใหญ่อีกครั้ง เพื่อถวายสังฆทาน



ในขั้นตอนนี้ สำหรับท่านที่เลือก กรรมที่เกิดจากการทำแท้ง นั้น จะได้รับ หุ่นปั้น กุมารทอง และ ก้องทองเหลือง ที่ใช้ในการหล่อพระพุทธรูป ใส่ถาดพร้อมกระดาษเงินกระดาษทองมาให้ในชุด กลับเข้ามาที่ การถวายสังฆทาน ขั้นตอนก้อเหมือน ๆ ทั่วไป การกล่าวคำถวาย การรับศีล แต่ เพิ่มเติมคือการแผ่เมตราบทใหญ่ ที่เน้น เฉพาะถึงการตัดชีวิตเด็กน้อยตาดำ ๆ ที่หมดโอกาสได้มีชีวิต เน้นหนัก (ตรงนี้ก้อตั้งใจน่ะครับ) เมื่อเสร็จสิ้น บทสวดมนต์และการแผ่เมตา แม่ชีท่านเดิมก็จะบอกให้เราไปพักไปทานข้าว ถยอยกันเดินออกไปน่ะครับ ตรงนี้เราต้องใช้จ่ายเงินเองน่ะครับในการ ซื้ออาหาร จะมีเพียงน้ำดื่ม เท่านั้นที่หาได้ ตามจุด หรือ มีเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร ก็สบายไป ครับ

           มาต่อกันครับ หลังจากทำกิจกรรมส่วนตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น กลับมายังศาลาฯ อีกครั้ง ในครั้งนี้จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ บาตรพระสงฆ์ และ เชิงเทียน จะมีเจ้าหน้าที่ของทางวัด คอยบอกน่ะครับ ที่ข้าน้อยได้มาคือ เทียน 4 เล่ม บาตรพระ เชิงเทียน (จะมีใบโพธิ์ ที่เราไปหาเก็บมาด้วยน่ะครับ ในขั้นตอนเล็ก ๆ หลังจากการไหว้กลางแจ้ง) หนังสือสวดมนต์ 4 เล่ม เข้ามานั่งในศาลา พร้อม บาตรที่เติมน้ำ นำเชิงเทียนใส่ลงไปในบาตร เขียนชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ในใบโพธิ์ และ ใส่ลงไปครับ ในระหว่างพิธีสวดมนต์นี้ จะไม่มีการเปิดพัดลม น่ะครับ เพื่อไม่ให้ เทียนดับ จะจุดเทียนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ สวดมนต์ในช่วงนี้ถือว่ายาว และ นานมาก ๆ ใจความในบทสวด ต่าง ๆ ขอไม่ลงลายละเอียดน่ะครับ สวดติดต่อ 3-4 ชั่วโมงเลย เจ็บปวดขาว เมื่อยหลัง ปวดแขน ต่าง ๆ เสียงแหบเสียงแห้งกันไป ยาวไปครับ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ คือการอดทน สวดไม่ได้ก้อ สงบนิ่ง ตรงไหนได้ก้อ สวด พยายามครับ อ่านไปตามตัวหนังสือ มี แม่ชีเจ้าพิธีฯ คอยนำให้ตลอด แม่ชีท่าน สวดตลอด สวดแบบออกไมค์ สวดทุกคำ ทุกบท จริง ๆ ในใจข้าน้อยตอนนั้นมันแบบว่า ทุกข์มาก มันเจ็บมันปวดเหลือเกิน อยากจะลุกเดินออกไปซ่ะ เสียงแม่ชีท่านดังตลอด แม่ชีครับ แม่จะเอาทุกบทจริง ๆ หร๋อครับเนี้ย พอคิดอย่างนี้ได้ ก็เอา ไปต่อ ฮึดสู้ตั้งใจสวด ไปพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ ท่านอื่น ไปพร้อมกับแม่ชีท่านนั้น เมื่อถึงเวลา ประมาณ เที่ยงโดยประมาณ แม่ชีท่านจะ หยุด ให้เราแผ่เมตาบทใหญ่อีกครั้ง กราบพระ และให้เราไปทานข้าวกลางวัน ไปพัก เต็ม ชั่วโมง ทุก ๆ ท่านก้อถยอยกันเดินออก ไปทำกิจวัตของตน ทานข้าว โทรศัพท์ เข้าห้องน้ำ ต่าง ๆ ไปผ่อนคลาย ยืดแขนขา และ กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในเวลาบ่ายโมง

*** ตรงนี้น่ะครับ คนจะเยอะมากที่ท่าน้ำ ที่บริเวณขายอาหาร ท่านที่พอจะมีกำลัง หรือ มีเวลานำรถส่วนตัวมา แนะนำให้ทำอาหารมาไว้ทานเอง จะดีเยี่ยมมาก ๆเลยครับ จะช่วยลดปริมาณคนไม่แออัดที่ท่าน้ำ มีที่หลบพัก นั่งผ่อนคลายได้มากมายในวัด ตัวท่านเองก็จะได้ผ่อนคลายแบบ เต็ม ๆ ด้วยครับ

          ช่วงหลังพักกลาววันเราเข้ามาใน ศาลาฯ ที่เดิม ประจำที่ของเรา ที่มีบาตรวางอยู่ ไม่ย้ายไปไหนล่ะที่นี้ นั่งยาว สวดมนต์เจริญภาวนา กันแบบ 4-5 ชั่วโมงติด ๆ สุดๆ ล่ะครับ สำหรับวรรค นี้ ทั้งง่วง ทั้งปวดเมื่อยมาหมด ไปครับ ไปกันยาว ๆ เสียงนำของแม่ชี ก็ยังดังเป็นแกนให้เราได้ตลอด ทุกคำ ทุกบท จริง ๆ แม่ชีท่านนี้ ได้ใจผมมาก ๆ คือท่านคือ ครูอาจารย์จริง ๆ ข้าน้อยเองยัง เหนื่อยยังเมื่อยยังง่วง แต่แม่ชีท่านนี้ ยังเสียงดี ชัดถ้อยชัดคำ ทำนองไพเราะต่อเนื่อง เป็นกำลังใจดี ๆ ให้ผู้เข้าร่วมพิธีฯ ครับ มีการพักเบรคเล็ก ๆ ให้เราไปห้องน้ำ ไปยืดแขนขา แล้วกลับมา อีกครั้งเพื่อ ฟังท่านแม่ชี ท่านบอก ท่านกล่าว ท่านสอนให้เรา อุทิศบุญกุล ให้ถึงเจ้ากรรมนายเวร ให้ยกโทษ ให้เว้นโทษ ให้คลายโกรธ จะบทมีคำ น่ะครับ ท่านแม่ชีจะนำท่านเอง ท่านมีแค่ความตั้งใจจริง เท่านั้น

           ช่วงหลังนี้เราจะถยอยเดินกันออกไปที่โบรถใหญ่ อยู่อยุ่ด้านหน้าของวัด ไปสวดมนต์กราบพระนิพพาน ตรงนี้ไม่นานนัก ใช้เวลาราว ๆ 30 นาที จากนั้น จะเข้าสู่ขั้นตอน พิธีสะเดาะห์ ต่อชะตา (นอนโลง) ก้อจะถยอยกันไป น่ะครับ จะมีเจ้าหน้าที่ และ พระคุณเจ้า พระสงฆ์ ที่ประกอบพิธีให้ ตรงนี้ ข้าน้อยรู้สึกประทับใจ มากครับ เดิมที่ ประทับใจ แม่ชีท่านนั้นแล้ว (ทราบภายหลังว่าท่าน ชื่อแม่ชีต้อม) ยังไม่พอ ทั้งเจ้าหน้าที่ ทุก ๆ ท่าน ให้ความร่วมมือ ดูแลผู้เข้าร่วมดีมาก ๆ ครับ พระสงฆ์ หลวงพี่ท่านนึง (ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อท่าน) ผู้เข้าร่วมพิธีราว ๆ 400 คนเห็นจะได้ ถยอยกันเข้าประกอบพิธีต่อชตาสะเดาะห์ นอนโลง ครั้งล่ะ 34 คน หลวงพี่ท่านนั้น ต้องสวด บทเดียวกันแล้ว ครั้งล่ะ 6 -7 นาทีเห็นจะได้ ทั้งหมด จนครบจำนวน และด้วยสีหน้า ยิ้มแย้ม ตั้งใจตลอดเสียงดังไม่มีตก นี่ถือเป็นความเมตตา ของหลวงพี่ท่านนี้อย่างมาก ข้าน้อยประทับใจมาก ๆ
ผู้เข้าร่วมพิธีที่เสร็จจากการนอนโลงแล้ว นั้นก้อ ขึ้นไปยัง ศาลาหลวงพ่อใหญ่ เล่นเดิม นำบาตร และ หนังสือสวดมนต์ต่าง ๆ ไปเก็บตามเสียงประกาศของแม่ชีท่านเดิม และ กลับมานั่งพักในศาลา แบบสบาย ๆ พระครูเจ้าอาวาส ลงมานั่งเทศ พูดคุย กับ ท่าน ๆ ผู้ประกอบพิธี เป็นการผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี เลย --- สุดท้าย ไครเม๊ก ของพิธีฯ อยุ่ที่ขั้นตอนต่อไป นี้ล่ะครับ เวลาราว ๆ สัก 2 ทุ่มเห็นจะได้ เมื่อทุกท่าน มากันครบแล้ว นั่ง สงบนิ่งอยุ่ในศาลาฯ เรียบร้อยแล้ว นั้น พระครูอีกรูปนึง คือ รูปที่สาม นอกจากที่พิธีนอนโลง และ เจ้าอาวาส แล้ว พระครูรูปนี้ เข้ามาประกอบพิธีนี้ เราจะเรียกว่า ยังไงดี ลักษณะเหมือนเป็นการ ไล่ของไม่ดี ลมเพลมพัด ไม่มีชื่อที่แน่นอน ไม่เหมือนสวดพันยักษ์ เริ่มจากการ อาราธนา กราบพระ กราบพ่อแม่ กราบครูอาจารย์ ข้าน้อยเองก็เคยผ่านพิธีสวด ต่าง ๆ มาบ้างก็พอเข้าใจอยู่
     เริ่มจากการ คัดตัวผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หอบหืด โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ออกจากเขตพื้นที่ พิธี มีชายหนุ่มเจ้าหน้าที่เข้ามา เดินดู หลายคน ขั้นตอนคือ ให้ผู้เข้าร่วมพิธี สูบลมหายใจ เข้า-ออก แบบเต็มแรงสูด แบบต่อเนื่อง วนไป พอพระครูให้สัญญาณ ทุกคนก็เริ่มสูด ทั้งตัวข้าน้อยด้วย เป็นลักษณะ เหมือนทุกคนมีอาการ ไม่ใช่ตัวเอง ของขึ้น เหมือนปลุกของ เหมือนสวดพันยักษ์ เหมือนผีเข้า อะไรแบบนั้น ลักษณะอาการต่าง ๆ กันออกไป มีทั้งรุนแรง มีทั้งร้องไห้ อ้วก หรือ แม้กระทั้งพูดจาไม่เป็นคน มีหลากหลายในเสียงที่ได้ยิน สำหรับตัวข้าน้อยนั้น เกิดอาการ ปากชา มือชา และ ยกมือขึ้นสูงเหนือหัว ซึ่งเป็นอาการที่ข้าน้อย มีสติดี รู้ตัวดี ก่อนจะเกิดอาการนั้น ๆ ข้าน้อยยังคิดอยู่ ระลึกอยู่ ว่าเป็นไปไม่ได้ มือทั้งสองข้างของข้าน้อยนั้น ๆ เหมือนมีแรงดัน ข้าน้อยฟืนมัน รวมมือเอาไว้ คิดว่าไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้ เรากำลังอุปทานหมู่กันอยู่ และ มีความคิดนึงออกมา จากหัว เราทำมาทั้งวันแล้ว รักษาศีล ทำบุญด้วยการภาวนา เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จะฝืนให้มันสูญเปล่าทำไมลองปล่อยไปดูสิ๊ ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าน้อยเองก้ออยากรู้เหมือนกัน เลยปล่อยไปตามธรรมชาติ มือของข้าน้อยนั้น ยกชูขึ้นเหนือหัว ทำท่าลักษณะเหมือน หลวงจีน วัดเส้าหลิน อารมณ์แบบนั้น ไม่สั่น ไม่โวยวาย ข้าน้อยรู้สึกแค่เหมือนมึอมัน ชา แล้วมีแรงดันอยุ่ที่มือ จะสุดท้าย เหมือนมันหลุดออกไปจากปลายมือ ไหลวูบ ออกไปจากปลายมือที่ชูอยู่ และ ข้าน้อยก้อ ลืมตา มองไปรอบ ๆ เห็นผู้เข้าร่วมพิธี ออกท่าทางต่าง ๆ ไป จนทุกคนสงบลง แผ่เมตาให้สิ่งนึ่งสิ่งใดนั้นที่เกิดขึ้นที่ตัวเรากราบลาพระ / จำนวนตัวอักษรหมด ใกล้จะจบแล้วครับ มาต่อครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่