สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องเมื่อสมัยยังเรียนอยู่มหาลัยมาเล่าให้ฟังครับ (พึ่งเรียนจบเมื่อปี 58) พูดเหมือนจบมานานมากเลยว่างั้น 555
ผมก็เหมือนหลายๆคนครับ ที่เมื่อได้เข้าเรียนมหาลัยแล้ว ก็อาจจะต้องมีเหตุจำเป็นหลายๆอย่างที่จะต้องหอบข้าวของจากบ้าน มาอยู่หอพักใกล้ๆกับมหาลัย ซึ่งกว่าที่ผมจะย้ายมาอยู่หอก็ตอนเรียนอยู่ปี 2 เทอม 1 ครับ เหตุผลหลักๆที่ต้องเข้ามาอยู่หอกับเพื่อน ก็เพราะตอนนั้นผมเป็นนักฟุตบอลคณะและก็ของมหาลัยด้วย ก็เลยต้องขอทางบ้านว่าจำเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่หอกับเพื่อนแถวๆมหาลัย ด้วยความที่ว่าตอนปี 1 เทอม 2 ที่บ้านคงเห็นว่าผมกลับบ้านดึกแทบทุกวัน เพราะตอนนั้นเพิ่งได้โอกาสเล่นบอลให้คณะ เวลาเลิกซ้อมทีก็ สองสามทุ่มแล้ว กลับไปถึงบ้านก็ดึก ด้วยเหตุผลนี้พอบอกที่บ้าน ท่านจึงไม่ได้ขัดอะไร
เข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ ประเด็นมันอยู่ตรงที่เพิ่งเคยย้ายมาอยู่หอครั้งแรก หอพักที่ผมย้ายมาอยู่กับเพื่อน เป็นหอพัก 8 ชั้น มีลิฟท์ 1 ตัว(ซึ่งเป็นลิฟท์สภาพเก่ามาก มักจะเสียอยู่บ่อยๆ ผมเคยปีนลิฟท์ตัวนี้ออกมาแล้ว 2 รอบ ในระยะเวลา 1 ปี
) ดูแล้วน่าจะเป็นหอที่เปิดใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า10 ปีได้ เพราะสภาพก็ดูเก่าใช้ได้ แต่ข้างในดูสะอาด สะอ้านดี เจ้าของหอพักเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ด้วยความที่หออยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมาก และราคาก็ไม่แพงสักเท่าไหร่ ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งจึงตกลงกันว่าจะอยู่ที่นี่ก็ได้จ่ายค่ามัดจำ และก็ได้ย้ายข้าวของมาอยู่เสร็จสับ
แรกๆที่เข้ามาอยู่มันก็ยังไม่ชิน เพราะคิดถึงบ้าน แต่พอผ่านมาสักอาทิตย์ได้ ผมก็เริ่มปรับตัวได้ จนทำให้เวลานอนหลับ จากปกติสี่ห้าทุ่มก็หลับแล้ว แต่ตอนอยู่หอพัก ตี1 ตี 2 ยังตาสว่างอยู่เลย ฮ่าๆๆ ติดเกมบ้าง ออกไปสังสรรค์ข้างนอกบ้าง ด้วยความที่ตี 1 ตี 2 ยังไม่นอนนี่แหละ ทำให้เราเจอเรื่องแปลกๆ เข้ามา
หลังจากที่อยู่หอนี้ไปสักพัก ผมกับเพื่อนก็ได้เริ่มสนิทสนมกับยามเฝ้าหอตอนกลางคืนมากขึ้น ลุงแกอายุน่าจะ 50 ต้นๆ ด้วยความที่ผมกับเพื่อนชอบลงมาเซเว่นตอนดึกๆ ก็จะแวะนั่งพูดคุยกับลุงยามชั้นล่างเป็นประจำ
มีอยู่วันหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดคืนนั้นผมกับเพื่อนกลับมาจากไปหาอะไรกินข้างนอก ก็เข้ามาในลิฟท์ปกติ แต่ไม่ปกติก็คือ ทุกครั้งที่เข้ามาเราจะกดไปชั้น 5 ชั้นเดียว ซึ่งเป็นชั้นที่เราพักอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อนและผมจึงคุยกันว่า จะไปนั่งเล่นกันบนดาดฟ้า (ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกนะ ว่ามันมีหรือป่าว แต่จากที่เคยไปเล่นหอเพื่อนอีกคน ที่อยู่อีกที่ มีดาดฟ้าไว้ตากผ้า และม้านั่ง ให้ไปนั่ง drink ได้) เราจึงกดลิฟท์ไปที่ชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด แต่ประเด็นคือ กดแล้ว ไฟมันไม่ขึ้นสีส้ม เหมือนกับทุกชั้น เอาง่ายๆก็คือ เขาคงทำให้มันกดไม่ได้นั้นแหละ
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับความอยากรู้อยากเห็นของผมและเพื่อนเลย ในเมื่อกดชั้น 8 ไม่ได้ เราก็กดชั้น 7 แทน แล้วกะจะเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปอีกที พอไปถึงชั้น 7 เดินขึ้นบันได้ไปชั้น 8 สิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดว่า ชั้น 8 ก็คงเป็นชั้นห้องพักปกติ มันผิด เพราะเขามีประตูเหล็กปิดกั้นเอาไว้ตรงบันไดหนีไฟ พร้อมคล้องโซ่พร้อมล็อคกุญแจด้วย เปิดไฟสลัวๆในชั้นนั้น ชั้นนี้ก็มีห้องพักปกติเหมือนทุกชั้น แต่จะมีสิ่งของต่างๆกองเต็มไปหมด บรรยากาศน่าขนหัวลุกใช้ได้เลย เขาน่าจะปิด ไม่ให้ใครอยู่เลยแหละมั้ง และบันไดหนีไฟก็ไปสุดแค่ชั้น 8 สรุปคือ ชั้นดาดฟ้า ที่หอนี้ไม่มี (อดสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนเลย) เราก็เลยลงลิฟท์กลับไปห้องดีกว่า
พอวันถัดมา ผมกับเพื่อนก็เลยได้สอบถามกับลุงยามว่า ชั้น 8 ทำไมเขาไม่ให้ใครเข้าไปพัก ลุงยามเลยบอกว่า เมื่อก่อนก็เปิดให้คนเช่าปกติแหละ แต่หลังๆมา แกก็ไม่รู้ทำไม เพราะเจ้าของหอ ทำชั้นนั้นไว้เก็บของ พวก เฟอร์นิเจอร์ สำรอง เอาไปเก็บไว้ชั้นนั้นหมด และผมกับเพื่อนก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรอีก
ด้วยความที่พวกเราสองคนเริ่มนอนดึกกัน มีอยู่วันหนึ่ง ประมาณตี 2 ตี 3 ได้ เราก็ปิดไฟปิดทุกอย่าง นอนกันแล้ว แต่ยังนอนเล่นมือถือ ทุกอย่างเงียบสงบ แต่ก็ยังได้ยินเสียงเปิดลิฟท์ในเวลานั้น (ซึ่งลิฟท์ตัวนี้ เสียงปิดเปิดประตูจะได้ยินชัดมากในตอนกลางคืน)
ถ้าเกิดตอนดึกๆ เงียบๆ ใครขึ้นหรือลงลิฟท์ ที่ชั้นห้องผมอยู่ จะได้ยินเสียง เพราะห้องผมอยู่ใกล้ๆลิฟท์เลย ) พอได้ยินเสียงลิฟท์เปิด สักพักก็ได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูป (เสียงชัตเตอร์อ่ะ) ดังแช็กแก็ก ดังอยู่หน้าห้อง
เอาล่ะสิ! ผมกับเพื่อนหันมามองหน้ากันทันที งง มากกก คือไรวะ ใครมาถ่ายรูปตอนนี้
อะไรยังไง ผมกับเพื่อนคุยกัน เอาไงดี สรุปก็เลยตัดสินใจเปิดประตูห้องออกมาดู ปรากฏว่า ไม่เห็นมีใครเลย เริ่มทำให้ความ งง แปลเปลี่ยนไปเป็นความกลัวทันที พอเปิดไปไม่เห็นมีใคร ก็เลยคุยกันอีกว่า ใครแกล้งเราป่ะวะ หรือจะเป็น... มันทำให้เราสงสัยมากขึ้น กับหอพักแห่งนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะวันนั้นที่เราขึ้นไปชั้น 8 มันต้องมีอะไรแน่ๆ เกิดคำถามขึ้นมามากมายในหัวของเราสองคน????
หลังจากนั้น ผมกับเพื่อน จากที่ไม่เคยไหว้พระ ก็หันมาซื้อพวงมาลัย เพื่อมาไหว้บูชาพระที่ห้องทุกวันพระเลยครับ ทำแบบนั้นได้ประมาณ 1 เดือนได้ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงถ่ายรูปแบบคืนนั้นอีกเลย
จนกระทั่งเราเริ่มลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ คืนนั้นเรากลับมาห้องกันดึก ประมาณ ตี 2 กว่าๆ เรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงถ่ายรูปดังแช็กแก็ก ขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไฟห้องเราก็เปิด แต่เสียงลิฟท์เราไม่ได้ยิน เพราะตอนนั้นเราคุยกันอยู่ในห้อง ไม่ทันได้สังเกต แต่เสียงแช็กแก็กครั้งนี้ดังอยู่หน้าห้อง กลบเสียงที่เราคุยกันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งครั้งนี้เราก็ทำเหมือนครั้งก่อน คือเดินออกไปเปิดประตูดู แต่ครั้งนี้เราสองคนเดินไปเปิดดูช้ากว่าครั้งก่อน เพราะมัวเกี่ยงกันกับเพื่อนอยู่ครับ เพราะกลัวมาก ใจผมเต้นตึบๆๆๆแรงมาก มือไม้สั่นไปหมด
สรุปคือ เราสองคนก็ต้องเดินไปเปิดพร้อมกัน เพื่อให้ชัดเจน ว่ามันคือเสียงที่มาจากไหนกันแน่ ให้มันรู้กันไปเลย ปรากฏว่าพอเปิดประตูออกไปดูก็ยังไม่เจออะไรอีก ครั้งนี้เราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ละ ต้องไปถามเจ้าของหอ หรือแม่บ้าน ยาม ใครก็ได้ ให้กระจ่างที เพราะถ้าเกิดมีอะไร ที่ไม่ดี หรือมีสิ่งที่เราไม่รู้ ผมกับเพื่อนจะยอมย้ายออกทันที (ใครจะไปอยู่วะ เจอแบบนี้)
วันถัดมา ผมกะจะไปถามเจ้าของหอโดยตรงเลยแหละ แต่เพื่อนมันห้ามไว้ มันบอกมันกลัวคำตอบ เพราะผมกับเพื่อนคิดว่า ที่เขาปิดชั้น 8 มันต้องมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เรายังไม่รู้แน่ๆ ถ้าเราไปถามเขา ถ้ามันใช่แบบที่เราคิด เขาจะบอกเราตามตรงหรอก
ถ้าเขาตอบว่าไม่มีอะไร เขาจะมองเรายังไง หรือถ้ามีอะไรจริงๆ เราจะควรทำยังไงดี ตอนนั้นสับสนมาก สรุปเลยไม่ถาม
แต่พวกเราตัดสินใจไปถามลุงยามแทน เพราะเราสนิทอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่แบบที่เราคิด ก็คงไม่เป็นอะไร
คืนนั้นเราก็ลงไปดูดบุหรี่ข้างล่าง พร้อมเล่าเรื่องทีเจอมาทั้งหมดให้ลุงยามฟัง ระหว่างที่กำลังเล่าอยู่
ลุงยามเลยถามขึ้นมาว่า เราอยู่ชั้น 5 ใช่ไหม ผมเลยตอบว่าใช่ เราทั้งคู่ก็มีงงนิดๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยบอกลุงยามเลยว่าอยู่ชั้น 5
ลุงยามก็เลยพูดต่อว่า พวกเอ็งนอนดึกกันล่ะสิ
ห๊าาาา ! ผมกับเพื่อน มองหน้ากัน นึกในใจ เห้ยยยย! แมร่งต้องมีอะไรแน่ๆ
แต่ตอนนี้เป้าหมายคงจะไม่ใช่ชั้น 8 ละ ยังไงก็ชั้นเราแน่ๆ (ชั้น 5) เผลอๆห้องตรงข้าม หรือ ห้องข้างๆ ชัวร์
จากนั้นลุงยามแกพูดต่ออีกว่า พวกเอ็งไม่ต้องกลัวๆ และไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก
ไอ้เรื่องเสียงกล้องถ่ายรูปนั่นอ่ะ มันมาจากคนที่อยู่ห้องข้างๆเองนั่นแหละ
ห๊าาาา ! ตายยยยแล๊ววววว
ในใจคิด(ห้องข้างๆเลยหรอวะ ตูอยู่มาได้ไงเนี่ยยยย) ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ลุงยามเล่าต่อว่า คนที่อยู่ห้องนี้เขาชอบกลับดึกๆ เวลาเมามาทีไร ชอบถ่ายรูปตัวเองก่อนเข้าห้อง
ถ้าไม่เชื่อลุงพวกเอ็งลองสังเกตดูดิ ถ้าวันไหนว่างๆ ดึกๆรอดูเพราะส่วนมาก คนนี้มักจะเมาตลอด เพราะลุงเคยร่วมวงกับมันอยู่ แล้วลุงก็หัวเราะ
พอได้ยินประโยคนี้ ผมกับเพื่อนก็เริ่มสบายใจกัน แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมากเท่าไหร่ เพราะอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเองมากกว่า
จากนั้นเราจึงได้ลองสังเกตดูตามคำบอกเล่าของลุง ก็เลยลองปิดไฟนอนฟังสังเกตกันดู ประมาณ 3-4 วันหลังจากนั้นได้ ก็ไม่เจออะไร
จนกระทั่ง เข้าวันที่ 5 จากที่เราเฝ้าสังเกตมาหลายวัน คืนนั้นตี 3 นิดๆ แน่นอนทุกอย่างเงียบสนิท
ได้ยินเสียงลิฟท์เปิด พร้อมกับได้ยินเสียงคนเดิน ตรงมาที่หน้าห้องเรา แต่พอเสียงเข้ามาใกล้ๆห้องเรา เสียงเดินนั้นเงียบไป
ผมกับเพื่อนก็เลยตัดสินใจ ใจดีสู้เสือกันไปเลย เอาให้รู้แล้วรู้รอด ช็อคเป็นช็อค
ลุกเดินไปที่ประตู เฝ้ายืนรอฟังเสียง พอได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูปปุ้บ เราทั้งคู่เปิดประตูทันที !!! ปรากฏว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เห็นผู้ชายใส่ชุด รปภ (น่าจะใช่นะ) ยืนอยู่หน้าห้องเรา กลิ่นเหล้านี่ชนจมูกเต็มๆเลย ซึ่งเราก็ตกใจ พอเขาเจอเรา เขาก็เลยเปิดประตูเข้าห้องปกติ แต่สีหน้าเขาก็คงจะงงๆเหมือนกันแหละ ด้วยความที่เราไม่อยากให้เขาสงสัย หรือง่ายๆ คือเราสองคนแก้เขิล นั่นแหละ เลยเนียนใส่รองเท้าแล้วเดินลงลิฟท์ไปข้างล่างเลยทันที
เป็นไปตามที่ลุงยามพูดไม่มีผิดเลย สรุปคืนนั้นผมกับเพื่อน สบายใจมากๆ เหมือนยกหินออกจาก อก หัวเราะกันแทบทั้งคืนเลย
พอหลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติ คือก็ไม่เคยได้ไหว้พระก่อนนอนอีกเลย 555 จนอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ ผมก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ส่วนเพื่อนก็ย้ายไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้องมัน
#นี่ก็คือเรื่องจริงที่เจอมากับตัวเอง #สมัยเรียนมหาลัย ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ ณ ช่วงเวลานั้นขนลุกใช้ได้เลย
*** ขออภัย หาก ไม่ทำให้ขนลุกเหมือนที่ท่านคาดหวัง
เรื่องจริงชวนขนลุกสมัยเรียนมหาวิทยาลัย :D
ผมก็เหมือนหลายๆคนครับ ที่เมื่อได้เข้าเรียนมหาลัยแล้ว ก็อาจจะต้องมีเหตุจำเป็นหลายๆอย่างที่จะต้องหอบข้าวของจากบ้าน มาอยู่หอพักใกล้ๆกับมหาลัย ซึ่งกว่าที่ผมจะย้ายมาอยู่หอก็ตอนเรียนอยู่ปี 2 เทอม 1 ครับ เหตุผลหลักๆที่ต้องเข้ามาอยู่หอกับเพื่อน ก็เพราะตอนนั้นผมเป็นนักฟุตบอลคณะและก็ของมหาลัยด้วย ก็เลยต้องขอทางบ้านว่าจำเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่หอกับเพื่อนแถวๆมหาลัย ด้วยความที่ว่าตอนปี 1 เทอม 2 ที่บ้านคงเห็นว่าผมกลับบ้านดึกแทบทุกวัน เพราะตอนนั้นเพิ่งได้โอกาสเล่นบอลให้คณะ เวลาเลิกซ้อมทีก็ สองสามทุ่มแล้ว กลับไปถึงบ้านก็ดึก ด้วยเหตุผลนี้พอบอกที่บ้าน ท่านจึงไม่ได้ขัดอะไร
เข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ ประเด็นมันอยู่ตรงที่เพิ่งเคยย้ายมาอยู่หอครั้งแรก หอพักที่ผมย้ายมาอยู่กับเพื่อน เป็นหอพัก 8 ชั้น มีลิฟท์ 1 ตัว(ซึ่งเป็นลิฟท์สภาพเก่ามาก มักจะเสียอยู่บ่อยๆ ผมเคยปีนลิฟท์ตัวนี้ออกมาแล้ว 2 รอบ ในระยะเวลา 1 ปี) ดูแล้วน่าจะเป็นหอที่เปิดใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า10 ปีได้ เพราะสภาพก็ดูเก่าใช้ได้ แต่ข้างในดูสะอาด สะอ้านดี เจ้าของหอพักเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ด้วยความที่หออยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมาก และราคาก็ไม่แพงสักเท่าไหร่ ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งจึงตกลงกันว่าจะอยู่ที่นี่ก็ได้จ่ายค่ามัดจำ และก็ได้ย้ายข้าวของมาอยู่เสร็จสับ
แรกๆที่เข้ามาอยู่มันก็ยังไม่ชิน เพราะคิดถึงบ้าน แต่พอผ่านมาสักอาทิตย์ได้ ผมก็เริ่มปรับตัวได้ จนทำให้เวลานอนหลับ จากปกติสี่ห้าทุ่มก็หลับแล้ว แต่ตอนอยู่หอพัก ตี1 ตี 2 ยังตาสว่างอยู่เลย ฮ่าๆๆ ติดเกมบ้าง ออกไปสังสรรค์ข้างนอกบ้าง ด้วยความที่ตี 1 ตี 2 ยังไม่นอนนี่แหละ ทำให้เราเจอเรื่องแปลกๆ เข้ามา
หลังจากที่อยู่หอนี้ไปสักพัก ผมกับเพื่อนก็ได้เริ่มสนิทสนมกับยามเฝ้าหอตอนกลางคืนมากขึ้น ลุงแกอายุน่าจะ 50 ต้นๆ ด้วยความที่ผมกับเพื่อนชอบลงมาเซเว่นตอนดึกๆ ก็จะแวะนั่งพูดคุยกับลุงยามชั้นล่างเป็นประจำ
มีอยู่วันหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดคืนนั้นผมกับเพื่อนกลับมาจากไปหาอะไรกินข้างนอก ก็เข้ามาในลิฟท์ปกติ แต่ไม่ปกติก็คือ ทุกครั้งที่เข้ามาเราจะกดไปชั้น 5 ชั้นเดียว ซึ่งเป็นชั้นที่เราพักอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อนและผมจึงคุยกันว่า จะไปนั่งเล่นกันบนดาดฟ้า (ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกนะ ว่ามันมีหรือป่าว แต่จากที่เคยไปเล่นหอเพื่อนอีกคน ที่อยู่อีกที่ มีดาดฟ้าไว้ตากผ้า และม้านั่ง ให้ไปนั่ง drink ได้) เราจึงกดลิฟท์ไปที่ชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด แต่ประเด็นคือ กดแล้ว ไฟมันไม่ขึ้นสีส้ม เหมือนกับทุกชั้น เอาง่ายๆก็คือ เขาคงทำให้มันกดไม่ได้นั้นแหละ
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับความอยากรู้อยากเห็นของผมและเพื่อนเลย ในเมื่อกดชั้น 8 ไม่ได้ เราก็กดชั้น 7 แทน แล้วกะจะเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปอีกที พอไปถึงชั้น 7 เดินขึ้นบันได้ไปชั้น 8 สิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดว่า ชั้น 8 ก็คงเป็นชั้นห้องพักปกติ มันผิด เพราะเขามีประตูเหล็กปิดกั้นเอาไว้ตรงบันไดหนีไฟ พร้อมคล้องโซ่พร้อมล็อคกุญแจด้วย เปิดไฟสลัวๆในชั้นนั้น ชั้นนี้ก็มีห้องพักปกติเหมือนทุกชั้น แต่จะมีสิ่งของต่างๆกองเต็มไปหมด บรรยากาศน่าขนหัวลุกใช้ได้เลย เขาน่าจะปิด ไม่ให้ใครอยู่เลยแหละมั้ง และบันไดหนีไฟก็ไปสุดแค่ชั้น 8 สรุปคือ ชั้นดาดฟ้า ที่หอนี้ไม่มี (อดสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนเลย) เราก็เลยลงลิฟท์กลับไปห้องดีกว่า
พอวันถัดมา ผมกับเพื่อนก็เลยได้สอบถามกับลุงยามว่า ชั้น 8 ทำไมเขาไม่ให้ใครเข้าไปพัก ลุงยามเลยบอกว่า เมื่อก่อนก็เปิดให้คนเช่าปกติแหละ แต่หลังๆมา แกก็ไม่รู้ทำไม เพราะเจ้าของหอ ทำชั้นนั้นไว้เก็บของ พวก เฟอร์นิเจอร์ สำรอง เอาไปเก็บไว้ชั้นนั้นหมด และผมกับเพื่อนก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรอีก
ด้วยความที่พวกเราสองคนเริ่มนอนดึกกัน มีอยู่วันหนึ่ง ประมาณตี 2 ตี 3 ได้ เราก็ปิดไฟปิดทุกอย่าง นอนกันแล้ว แต่ยังนอนเล่นมือถือ ทุกอย่างเงียบสงบ แต่ก็ยังได้ยินเสียงเปิดลิฟท์ในเวลานั้น (ซึ่งลิฟท์ตัวนี้ เสียงปิดเปิดประตูจะได้ยินชัดมากในตอนกลางคืน)
ถ้าเกิดตอนดึกๆ เงียบๆ ใครขึ้นหรือลงลิฟท์ ที่ชั้นห้องผมอยู่ จะได้ยินเสียง เพราะห้องผมอยู่ใกล้ๆลิฟท์เลย ) พอได้ยินเสียงลิฟท์เปิด สักพักก็ได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูป (เสียงชัตเตอร์อ่ะ) ดังแช็กแก็ก ดังอยู่หน้าห้อง
เอาล่ะสิ! ผมกับเพื่อนหันมามองหน้ากันทันที งง มากกก คือไรวะ ใครมาถ่ายรูปตอนนี้
อะไรยังไง ผมกับเพื่อนคุยกัน เอาไงดี สรุปก็เลยตัดสินใจเปิดประตูห้องออกมาดู ปรากฏว่า ไม่เห็นมีใครเลย เริ่มทำให้ความ งง แปลเปลี่ยนไปเป็นความกลัวทันที พอเปิดไปไม่เห็นมีใคร ก็เลยคุยกันอีกว่า ใครแกล้งเราป่ะวะ หรือจะเป็น... มันทำให้เราสงสัยมากขึ้น กับหอพักแห่งนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะวันนั้นที่เราขึ้นไปชั้น 8 มันต้องมีอะไรแน่ๆ เกิดคำถามขึ้นมามากมายในหัวของเราสองคน????
หลังจากนั้น ผมกับเพื่อน จากที่ไม่เคยไหว้พระ ก็หันมาซื้อพวงมาลัย เพื่อมาไหว้บูชาพระที่ห้องทุกวันพระเลยครับ ทำแบบนั้นได้ประมาณ 1 เดือนได้ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงถ่ายรูปแบบคืนนั้นอีกเลย
จนกระทั่งเราเริ่มลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ คืนนั้นเรากลับมาห้องกันดึก ประมาณ ตี 2 กว่าๆ เรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงถ่ายรูปดังแช็กแก็ก ขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไฟห้องเราก็เปิด แต่เสียงลิฟท์เราไม่ได้ยิน เพราะตอนนั้นเราคุยกันอยู่ในห้อง ไม่ทันได้สังเกต แต่เสียงแช็กแก็กครั้งนี้ดังอยู่หน้าห้อง กลบเสียงที่เราคุยกันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งครั้งนี้เราก็ทำเหมือนครั้งก่อน คือเดินออกไปเปิดประตูดู แต่ครั้งนี้เราสองคนเดินไปเปิดดูช้ากว่าครั้งก่อน เพราะมัวเกี่ยงกันกับเพื่อนอยู่ครับ เพราะกลัวมาก ใจผมเต้นตึบๆๆๆแรงมาก มือไม้สั่นไปหมด
สรุปคือ เราสองคนก็ต้องเดินไปเปิดพร้อมกัน เพื่อให้ชัดเจน ว่ามันคือเสียงที่มาจากไหนกันแน่ ให้มันรู้กันไปเลย ปรากฏว่าพอเปิดประตูออกไปดูก็ยังไม่เจออะไรอีก ครั้งนี้เราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ละ ต้องไปถามเจ้าของหอ หรือแม่บ้าน ยาม ใครก็ได้ ให้กระจ่างที เพราะถ้าเกิดมีอะไร ที่ไม่ดี หรือมีสิ่งที่เราไม่รู้ ผมกับเพื่อนจะยอมย้ายออกทันที (ใครจะไปอยู่วะ เจอแบบนี้)
วันถัดมา ผมกะจะไปถามเจ้าของหอโดยตรงเลยแหละ แต่เพื่อนมันห้ามไว้ มันบอกมันกลัวคำตอบ เพราะผมกับเพื่อนคิดว่า ที่เขาปิดชั้น 8 มันต้องมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เรายังไม่รู้แน่ๆ ถ้าเราไปถามเขา ถ้ามันใช่แบบที่เราคิด เขาจะบอกเราตามตรงหรอก
ถ้าเขาตอบว่าไม่มีอะไร เขาจะมองเรายังไง หรือถ้ามีอะไรจริงๆ เราจะควรทำยังไงดี ตอนนั้นสับสนมาก สรุปเลยไม่ถาม
แต่พวกเราตัดสินใจไปถามลุงยามแทน เพราะเราสนิทอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่แบบที่เราคิด ก็คงไม่เป็นอะไร
คืนนั้นเราก็ลงไปดูดบุหรี่ข้างล่าง พร้อมเล่าเรื่องทีเจอมาทั้งหมดให้ลุงยามฟัง ระหว่างที่กำลังเล่าอยู่
ลุงยามเลยถามขึ้นมาว่า เราอยู่ชั้น 5 ใช่ไหม ผมเลยตอบว่าใช่ เราทั้งคู่ก็มีงงนิดๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยบอกลุงยามเลยว่าอยู่ชั้น 5
ลุงยามก็เลยพูดต่อว่า พวกเอ็งนอนดึกกันล่ะสิ
ห๊าาาา ! ผมกับเพื่อน มองหน้ากัน นึกในใจ เห้ยยยย! แมร่งต้องมีอะไรแน่ๆ
แต่ตอนนี้เป้าหมายคงจะไม่ใช่ชั้น 8 ละ ยังไงก็ชั้นเราแน่ๆ (ชั้น 5) เผลอๆห้องตรงข้าม หรือ ห้องข้างๆ ชัวร์
จากนั้นลุงยามแกพูดต่ออีกว่า พวกเอ็งไม่ต้องกลัวๆ และไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก
ไอ้เรื่องเสียงกล้องถ่ายรูปนั่นอ่ะ มันมาจากคนที่อยู่ห้องข้างๆเองนั่นแหละ
ห๊าาาา ! ตายยยยแล๊ววววว
ในใจคิด(ห้องข้างๆเลยหรอวะ ตูอยู่มาได้ไงเนี่ยยยย) ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอได้ยินประโยคนี้ ผมกับเพื่อนก็เริ่มสบายใจกัน แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมากเท่าไหร่ เพราะอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเองมากกว่า
จากนั้นเราจึงได้ลองสังเกตดูตามคำบอกเล่าของลุง ก็เลยลองปิดไฟนอนฟังสังเกตกันดู ประมาณ 3-4 วันหลังจากนั้นได้ ก็ไม่เจออะไร
จนกระทั่ง เข้าวันที่ 5 จากที่เราเฝ้าสังเกตมาหลายวัน คืนนั้นตี 3 นิดๆ แน่นอนทุกอย่างเงียบสนิท
ได้ยินเสียงลิฟท์เปิด พร้อมกับได้ยินเสียงคนเดิน ตรงมาที่หน้าห้องเรา แต่พอเสียงเข้ามาใกล้ๆห้องเรา เสียงเดินนั้นเงียบไป
ผมกับเพื่อนก็เลยตัดสินใจ ใจดีสู้เสือกันไปเลย เอาให้รู้แล้วรู้รอด ช็อคเป็นช็อค ลุกเดินไปที่ประตู เฝ้ายืนรอฟังเสียง พอได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูปปุ้บ เราทั้งคู่เปิดประตูทันที !!! ปรากฏว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นไปตามที่ลุงยามพูดไม่มีผิดเลย สรุปคืนนั้นผมกับเพื่อน สบายใจมากๆ เหมือนยกหินออกจาก อก หัวเราะกันแทบทั้งคืนเลย
พอหลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติ คือก็ไม่เคยได้ไหว้พระก่อนนอนอีกเลย 555 จนอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ ผมก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ส่วนเพื่อนก็ย้ายไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้องมัน
#นี่ก็คือเรื่องจริงที่เจอมากับตัวเอง #สมัยเรียนมหาลัย ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ ณ ช่วงเวลานั้นขนลุกใช้ได้เลย
*** ขออภัย หาก ไม่ทำให้ขนลุกเหมือนที่ท่านคาดหวัง