คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เรียนภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษหรอกครับ คนเราถ้ารักและอยากเรียนวิชาไหนเราก็จะขวนขวายและพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองจนเก่งได้ทั้งนั้น อะไรที่เราพยายามเรียนด้วยตัวเองจะเข้าหัวมากกว่าไปเรียนพิเศษและนั่งฟังคนอื่นบอกเรา
วิธีเรียนภาษาอังกฤษมีหลายวิธี ผมขอเล่าวิธีเรียนภาษาอังกฤษของผม เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง
ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนมาเรียน ป.5 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญในกรุงเทพ ช่วง ป.1-4 ผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ
ตอน ป.5 ผมคลั่งไคล้เพลงภาษาอังกฤษมาก ฟังเพลงกับพี่สาวทางวิทยุทุกเย็นหลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ซื้อหนังสือเพลงมาอ่านเนื้อร้องแล้วร้องเพลงตามวิทยุอย่างสนุกสนานทุกวันเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แปลกมากที่ผมเข้าใจคำและประโยคอังกฤษในเพลงหมดเลย สามารถจำประโยคในเพลงไปใช้พูดและเขียนต่อเองได้ด้วย
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าภาษาอังกฤษของผมดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาภายในปีเดียวเป็นเพราะผมใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันละเป็นชั่วโมง ได้ฝึกฟัง ฝึกพูด (ด้วยการร้องเพลง) และฝึกอ่านเนื้อร้องจากหนังสือเพลง
ปีนั้นจำได้ว่าการบ้านเยอะมาก มีการบ้านภาษาอังกฤษที่ต้องเขียนตอบด้วยลายมือ การเขียนด้วยลายมือช่วยให้คิดทบทวนบทเรียนและจำบทเรียนต่างๆได้แม่นขึ้น
ปีถัดไปผมเจอดิกชันนารีอังกฤษล้วนของ Oxford ในบ้าน คงเป็นของพี่ชายคนใดคนหนึ่งนั่นแหละ ผมก็เปิดดิกเล่นบ่อยๆ ดูความหมายของคำศัพท์ ดูวิธีออกเสียงแต่ละคำที่เป็นสัญลักษณ์โฟเนติก ดูวิธีการสะกดคำต่างๆ
ปีต่อมาโรงเรียนให้ใช้หนังสือเรียนภาษาอังกฤษแทบทุกวิชา แม้แต่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต และอีกหลายวิชา มันเป็นอะไรที่ลำบากมากที่ต้องเรียนจากหนังสือภาษาอังกฤษและต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ จำได้ว่าตอนนั้นต้องเพิ่มเวลาทบทวนบทเรียนเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน บางทีก็ต้องท่องคำตอบเอา แต่ก็ผ่านพ้นปีนั้นมาได้ด้วยผลการเรียนที่ค่อนข้างดี
หลังจากนั้นจำได้ว่าครูฝรั่งให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ผมก็เขียนได้ดีโดยอาศัยประโยคภาษาอังกฤษที่จำได้เอามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราว
ปีถัดมาครูฝรั่งให้นักเรียนเบิกหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษจากห้องสมุดโรงเรียนแล้วอ่านเงียบๆในห้องเรียนวันละ 1 คาบสัปดาห์ละหลายวัน จำได้ว่าได้ประโยชน์จากการอ่านอย่างนั้นมากเลย ปีนั้นอ่านจบไปหลายเล่ม ได้ทั้งภาษาอังกฤษและความสนุกสนานจากการอ่านหนังสือนวนิยายมากมาย
มีหนังสือเรียนเล่มหนึ่งชื่อว่า 50 Common Mistakes in English เช่น beside กับ besides ต่างกันยังไง ก็ได้ความรู้มาก
ครูฝรั่งเอาหนังสือเรียนที่มีแต่ idioms ต่างๆผูกเป็นเรื่องเป็นบทๆ ผมลืมไปแล้วว่าหนังสือชื่ออะไร ครูฝรั่งให้นักเรียนท่องทั้งบทเลยครับ แล้วบอกข้อสอบล่วงหน้าด้วยว่า ข้อสอบจะให้นักเรียนเขียนตั้งแต่ประโยคหนึ่งถึงอีกประโยคหนึ่ง นักเรียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องท่องทั้งบท ต้องจำ idioms ต่างๆมากมาย จำขึ้นใจกันเลยแหละ
พอเข้ามอปลายก็เอาข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาภาษาอังกฤษเก่าๆมาฝึกทำและดูเฉลย จำได้ว่าได้ความรู้ภาษาอังกฤษเยอะแยะ
ใครจะเอาวิธีเรียนภาษาอังกฤษของผมไปใช้ก็เชิญนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์
วิธีเรียนภาษาอังกฤษมีหลายวิธี ผมขอเล่าวิธีเรียนภาษาอังกฤษของผม เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง
ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนมาเรียน ป.5 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญในกรุงเทพ ช่วง ป.1-4 ผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ
ตอน ป.5 ผมคลั่งไคล้เพลงภาษาอังกฤษมาก ฟังเพลงกับพี่สาวทางวิทยุทุกเย็นหลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ซื้อหนังสือเพลงมาอ่านเนื้อร้องแล้วร้องเพลงตามวิทยุอย่างสนุกสนานทุกวันเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แปลกมากที่ผมเข้าใจคำและประโยคอังกฤษในเพลงหมดเลย สามารถจำประโยคในเพลงไปใช้พูดและเขียนต่อเองได้ด้วย
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าภาษาอังกฤษของผมดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาภายในปีเดียวเป็นเพราะผมใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันละเป็นชั่วโมง ได้ฝึกฟัง ฝึกพูด (ด้วยการร้องเพลง) และฝึกอ่านเนื้อร้องจากหนังสือเพลง
ปีนั้นจำได้ว่าการบ้านเยอะมาก มีการบ้านภาษาอังกฤษที่ต้องเขียนตอบด้วยลายมือ การเขียนด้วยลายมือช่วยให้คิดทบทวนบทเรียนและจำบทเรียนต่างๆได้แม่นขึ้น
ปีถัดไปผมเจอดิกชันนารีอังกฤษล้วนของ Oxford ในบ้าน คงเป็นของพี่ชายคนใดคนหนึ่งนั่นแหละ ผมก็เปิดดิกเล่นบ่อยๆ ดูความหมายของคำศัพท์ ดูวิธีออกเสียงแต่ละคำที่เป็นสัญลักษณ์โฟเนติก ดูวิธีการสะกดคำต่างๆ
ปีต่อมาโรงเรียนให้ใช้หนังสือเรียนภาษาอังกฤษแทบทุกวิชา แม้แต่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต และอีกหลายวิชา มันเป็นอะไรที่ลำบากมากที่ต้องเรียนจากหนังสือภาษาอังกฤษและต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ จำได้ว่าตอนนั้นต้องเพิ่มเวลาทบทวนบทเรียนเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน บางทีก็ต้องท่องคำตอบเอา แต่ก็ผ่านพ้นปีนั้นมาได้ด้วยผลการเรียนที่ค่อนข้างดี
หลังจากนั้นจำได้ว่าครูฝรั่งให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ผมก็เขียนได้ดีโดยอาศัยประโยคภาษาอังกฤษที่จำได้เอามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราว
ปีถัดมาครูฝรั่งให้นักเรียนเบิกหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษจากห้องสมุดโรงเรียนแล้วอ่านเงียบๆในห้องเรียนวันละ 1 คาบสัปดาห์ละหลายวัน จำได้ว่าได้ประโยชน์จากการอ่านอย่างนั้นมากเลย ปีนั้นอ่านจบไปหลายเล่ม ได้ทั้งภาษาอังกฤษและความสนุกสนานจากการอ่านหนังสือนวนิยายมากมาย
มีหนังสือเรียนเล่มหนึ่งชื่อว่า 50 Common Mistakes in English เช่น beside กับ besides ต่างกันยังไง ก็ได้ความรู้มาก
ครูฝรั่งเอาหนังสือเรียนที่มีแต่ idioms ต่างๆผูกเป็นเรื่องเป็นบทๆ ผมลืมไปแล้วว่าหนังสือชื่ออะไร ครูฝรั่งให้นักเรียนท่องทั้งบทเลยครับ แล้วบอกข้อสอบล่วงหน้าด้วยว่า ข้อสอบจะให้นักเรียนเขียนตั้งแต่ประโยคหนึ่งถึงอีกประโยคหนึ่ง นักเรียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องท่องทั้งบท ต้องจำ idioms ต่างๆมากมาย จำขึ้นใจกันเลยแหละ
พอเข้ามอปลายก็เอาข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชาภาษาอังกฤษเก่าๆมาฝึกทำและดูเฉลย จำได้ว่าได้ความรู้ภาษาอังกฤษเยอะแยะ
ใครจะเอาวิธีเรียนภาษาอังกฤษของผมไปใช้ก็เชิญนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์
แสดงความคิดเห็น
อยากเก่งอังกฤษ ต้องเริ่มจากอะไรคะ
ปล.ตอนนี้ที่บ้านเริ่มลงตัว น้องสองคนเริ่มโตรู้เรื่อง พ่อแม่เค้าก็มีเวลามากกว่าเดิมอยู่ ตอนนี้เลยจะเหมือนช่วยกันติวให้หนูให้น้องใหม่หมดเลย5555
ปล.2 หนูไม่เรียนพิเศษนะคะ ไม่สะดวกหลายอย่าง แล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเราก็เก่งได้ เกิดมาพึ่งเคยเรียนครั้งเดียวเพราะครูบังคับค่ะ5555 หนูจะใช้อ่านหนังสือ ดูยูทูปเอาค่ะ
ปล.สุดท้ายยย โรงเรียนหนูมีสอนภาษาที่สามด้วยหนูลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะชอบค่ะ แถมไปได้ดีด้วย ยังงงๆตัวเองอยู่ว่าไม่เก่งอังกฤษแต่ญี่ปุ่นนี่คล่องเฉยเลย5555
สุดท้าย ขอขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้านะคะ และขอบคุณที่สละเวลามาอ่านค่ะ ถ้าคำไหนหนูพิมพ์ผิดต้องขออภัยด้วยนะคะ