ปี 2014 ผมเคยเขียนรีวิวเรื่อง Enemy ของผกก.คนนี้ไว้บางส่วนว่า 
"ปีนี้ Enemy กลายเป็นหนัง "ปล่อยของ" ไปอีกขั้นของเขา แสดงให้เห็นความพิเศษของ "ภาพยนตร์" ในฐานะงานศิลป์ที่หากอยู่ในมือคนพิเศษ มันก็กลายเป็น "สิ่งพิเศษ" ที่ทดสอบผู้เสพมากกว่าการรับเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงหรือเนื้อหา"
"...และที่สำคัญ หากจังหวะฉากจบของ Prisoners ทำให้คนดูต้องมนต์เหมือนการลุ้นโทเทมลูกข่างปิดเรื่องใน Inception (2010) ฉากจบของเรื่องนี้ก็คงเป็นการตบหน้าคนดูฉาดใหญ่และอึ้งที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายสิบปี"
"...อาจไม่ยุติธรรมนัก แต่ฐานะแฟนทั้งคู่ผมอดเอา Denis Villeneuve ไปเทียบกับ Christopher Nolan ไม่ได้ หากประเด็นศีลธรรมและเรื่องราวของ Prisoners เทียบได้กับ Insomnia (2002), ความทะเยอทะยานของ Enemy ก็คงเทียบได้กับ Memento (2000) ในระดับที่สดใหม่ยิ่งขึ้นของยุคนี้
อัจฉริยะลูกใหม่เกิดขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว"
ผมขอเอาสามย่อหน้าเดิมข้างต้นมาช่วยเสริมการกล่าวถึง Arrival ที่ตอกย้ำว่า สามปีผ่านมา ความคิดเดิมของผมนั้นยิ่งเด่นชัด ผกก.คนนี้คืออัจฉริยะของยุคที่ "มีของ" ยังไม่หมด และใช้ศาสตร์ของการทำหนังมาเล่นกับความคิดและความรู้สึกของผู้ชมครั้งแล้วครั้งเล่า ปมของหนังเรื่องนี้เมื่อคลายออกมาถึงไม่ใช่รสของการต้องมนต์แบบ Prisoners ไม่ตบหน้าฉาดแบบ Enemy แต่ก็พาเราเบิ่งตาเปิดสมองนึกย้อนเรื่องราวของเรื่องและสารที่เรื่องต้องการสื่อไม่ต่างจากการที่ตัวเอกได้เข้าใจถึงแก่นของ "ภาษา" ต่างดาว ขณะที่คนดูก็ได้เข้าใจถึง "ภาษา" ของหนังที่ฉายมาตั้งแต่ฉากแรกจนไคลแมกซ์
และสุดท้าย ดังที่สามปีก่อนผมเคยเปรียบเทียบหนังของ ผกก. น่าทึ่งสองคนนี้ เรื่องนี้ก็คงอดไม่ได้ที่จะจับคู่เปรียบกับ Interstellar (2014) เพราะพื้นเรื่อง Sci-fi แม้วิทยาศาสตร์ของ Arrival จะไม่เข้มข้นหรือโฉ่งฉ่างเท่า แต่หนังเรื่องนี้กลับตรึงให้เราขบคิดไปถึงอภิปรัชญาของ "ตรรกะความคิด" "ทางเลือก" และ "จุดประสงค์" ในการคงอยู่ของเรา
เราจะยังคงเลือกใช้ชีวิตแบบเดิมไหม เมื่อเรารู้ปลายทางของมัน?
เรามีอิสระในทางเลือกเพียงใด?
เราใช้ชีวิตได้คุ้มค่าในช่วงเวลาปัจจุบันแล้วหรือยัง?
บางทีคำถามสำคัญ "What is your purpose on Earth?" ที่ทุกรัฐบาลต้องการคำตอบจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกครั้งนี้ กลับกลายเป็นคำถามสำคัญที่สุดจากสารของเรื่องที่ Denis Villeneuve ต้องการสะกิดเราให้กลับมาถามตัวเองหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง
(เช่นเดิม หนังของผกก. คนนี้สำหรับผมเหมือนกล่องของขวัญชั้นดีที่ควรเปิดดูเอง จึงไม่สามารถกล่าววิจารณ์อะไรนอกจากคุณค่าของมันจากสายตาเหมือนเรื่องก่อน ๆ ของเขา)
9/10
Arrival (2016): "อะไรคือจุดประสงค์บนโลกของคุณ?"
"ปีนี้ Enemy กลายเป็นหนัง "ปล่อยของ" ไปอีกขั้นของเขา แสดงให้เห็นความพิเศษของ "ภาพยนตร์" ในฐานะงานศิลป์ที่หากอยู่ในมือคนพิเศษ มันก็กลายเป็น "สิ่งพิเศษ" ที่ทดสอบผู้เสพมากกว่าการรับเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงหรือเนื้อหา"
"...และที่สำคัญ หากจังหวะฉากจบของ Prisoners ทำให้คนดูต้องมนต์เหมือนการลุ้นโทเทมลูกข่างปิดเรื่องใน Inception (2010) ฉากจบของเรื่องนี้ก็คงเป็นการตบหน้าคนดูฉาดใหญ่และอึ้งที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายสิบปี"
"...อาจไม่ยุติธรรมนัก แต่ฐานะแฟนทั้งคู่ผมอดเอา Denis Villeneuve ไปเทียบกับ Christopher Nolan ไม่ได้ หากประเด็นศีลธรรมและเรื่องราวของ Prisoners เทียบได้กับ Insomnia (2002), ความทะเยอทะยานของ Enemy ก็คงเทียบได้กับ Memento (2000) ในระดับที่สดใหม่ยิ่งขึ้นของยุคนี้
อัจฉริยะลูกใหม่เกิดขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว"
ผมขอเอาสามย่อหน้าเดิมข้างต้นมาช่วยเสริมการกล่าวถึง Arrival ที่ตอกย้ำว่า สามปีผ่านมา ความคิดเดิมของผมนั้นยิ่งเด่นชัด ผกก.คนนี้คืออัจฉริยะของยุคที่ "มีของ" ยังไม่หมด และใช้ศาสตร์ของการทำหนังมาเล่นกับความคิดและความรู้สึกของผู้ชมครั้งแล้วครั้งเล่า ปมของหนังเรื่องนี้เมื่อคลายออกมาถึงไม่ใช่รสของการต้องมนต์แบบ Prisoners ไม่ตบหน้าฉาดแบบ Enemy แต่ก็พาเราเบิ่งตาเปิดสมองนึกย้อนเรื่องราวของเรื่องและสารที่เรื่องต้องการสื่อไม่ต่างจากการที่ตัวเอกได้เข้าใจถึงแก่นของ "ภาษา" ต่างดาว ขณะที่คนดูก็ได้เข้าใจถึง "ภาษา" ของหนังที่ฉายมาตั้งแต่ฉากแรกจนไคลแมกซ์
และสุดท้าย ดังที่สามปีก่อนผมเคยเปรียบเทียบหนังของ ผกก. น่าทึ่งสองคนนี้ เรื่องนี้ก็คงอดไม่ได้ที่จะจับคู่เปรียบกับ Interstellar (2014) เพราะพื้นเรื่อง Sci-fi แม้วิทยาศาสตร์ของ Arrival จะไม่เข้มข้นหรือโฉ่งฉ่างเท่า แต่หนังเรื่องนี้กลับตรึงให้เราขบคิดไปถึงอภิปรัชญาของ "ตรรกะความคิด" "ทางเลือก" และ "จุดประสงค์" ในการคงอยู่ของเรา
เราจะยังคงเลือกใช้ชีวิตแบบเดิมไหม เมื่อเรารู้ปลายทางของมัน?
เรามีอิสระในทางเลือกเพียงใด?
เราใช้ชีวิตได้คุ้มค่าในช่วงเวลาปัจจุบันแล้วหรือยัง?
บางทีคำถามสำคัญ "What is your purpose on Earth?" ที่ทุกรัฐบาลต้องการคำตอบจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกครั้งนี้ กลับกลายเป็นคำถามสำคัญที่สุดจากสารของเรื่องที่ Denis Villeneuve ต้องการสะกิดเราให้กลับมาถามตัวเองหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง
(เช่นเดิม หนังของผกก. คนนี้สำหรับผมเหมือนกล่องของขวัญชั้นดีที่ควรเปิดดูเอง จึงไม่สามารถกล่าววิจารณ์อะไรนอกจากคุณค่าของมันจากสายตาเหมือนเรื่องก่อน ๆ ของเขา)
9/10