นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะครับ "ส่วนน้อย"ที่ทุ่มเทกับการสอนก็มี
ถ้าสังเกตดูมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อาจารย์จะสอนเพียงแค่ 2-3 วิชา ต่อปีเท่านั้น
แต่มหาวิทยาลัยสักประมาณต่ำกว่าท็อป 300 ในอเมริกา ก็จะเน้นไปที่งานสอนมากขึ้น
ยิ่งบางคนได้ทุนวิจัย ก็ไม่ต้องสอนไปเป็นปีๆ
บางคนเป็น ศาสตราจารย์ สามารถต่อรองเข้ามาทำงานวิจัยอย่างเดียว กับรับเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ต้องสอนสักตัวก็มี
นอกเหนือจากด้านปริมาณแล้ว คุณภาพการสอน ก็แทบจะเป็นอะไรที่อาจารย์มหาลัยชั้นนำ แทบไม่ใส่ใจ
กล่าวคือ การประเมินคุณภาพการสอนจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอาให้ไม่ได้ร้องเรียนในแง่ความไม่โปร่งใสเป็นพอ แต่วิจัยสำคัญที่สุด
ทำให้ผมคิดว่า แล้วพวกนี้ จะเป็นอาจารย์มหาลัยไปทำไม ไปทำอาชีพนักวิจัยที่ไม่ต้องสอน จะดีกว่าไหม
ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความคิดเห็นครับ
ปล. ขออนุญาต แท็ก ติวเตอร์ นะครับ เห็นมีโผล่ขึ้นมาอัตโนมัติ เพราะผมคิดว่า การที่อาจารย์ตั้งทัศนคติไว้แบบนี้
ทำให้อาชีพติวเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมา
ทำไม อาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ถึงให้ความสำคัญกับงานวิจัยมากกว่างานสอนครับ ยิ่งมหาลัยระดับรองลงมา งานสอนก็จะยิ่งมากขึ้น
ถ้าสังเกตดูมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อาจารย์จะสอนเพียงแค่ 2-3 วิชา ต่อปีเท่านั้น
แต่มหาวิทยาลัยสักประมาณต่ำกว่าท็อป 300 ในอเมริกา ก็จะเน้นไปที่งานสอนมากขึ้น
ยิ่งบางคนได้ทุนวิจัย ก็ไม่ต้องสอนไปเป็นปีๆ
บางคนเป็น ศาสตราจารย์ สามารถต่อรองเข้ามาทำงานวิจัยอย่างเดียว กับรับเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ต้องสอนสักตัวก็มี
นอกเหนือจากด้านปริมาณแล้ว คุณภาพการสอน ก็แทบจะเป็นอะไรที่อาจารย์มหาลัยชั้นนำ แทบไม่ใส่ใจ
กล่าวคือ การประเมินคุณภาพการสอนจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอาให้ไม่ได้ร้องเรียนในแง่ความไม่โปร่งใสเป็นพอ แต่วิจัยสำคัญที่สุด
ทำให้ผมคิดว่า แล้วพวกนี้ จะเป็นอาจารย์มหาลัยไปทำไม ไปทำอาชีพนักวิจัยที่ไม่ต้องสอน จะดีกว่าไหม
ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความคิดเห็นครับ
ปล. ขออนุญาต แท็ก ติวเตอร์ นะครับ เห็นมีโผล่ขึ้นมาอัตโนมัติ เพราะผมคิดว่า การที่อาจารย์ตั้งทัศนคติไว้แบบนี้
ทำให้อาชีพติวเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมา