ไทยรัฐออนไลน์ ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 รายงานข่าวว่า
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวในการแสดงปาฐกถาที่หอ
ประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559มีความ
ตอนหนึ่งว่า
" ...เราเป็นนักการเมือง ถ้าให้ทำผิดหลักการเราทำไม่ได้ ตัวอย่างกรณี
เรื่องวัดพระธรรมกายที่เกิดในสมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี
ที่มีคนมาร้อง
ว่าเอาที่ดินวัดใส่ในชื่อพระ ทำไม่ได้ ซึ่งเราต้องให้ความเป็นธรรมและ
ดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อหลักฐานชัดว่า ทางวัดมีความผิดอัยการก็
สั่งฟ้อง ทางวัดก็มาขอให้ตนช่วย แต่แต่บอกไปว่า ทำไม่ได้เพราะมี
พยานหลักฐานชัดเจน ต่อมา เขาใช้เวลาสืบพยาน 4-5 ปี ที่สุดอัยการ
ยกฟ้อง(ข้อเท็จจริงคือถอนฟ้อง)โดยบอกว่าได้นำที่ดินคืนไปแล้ว ซึ่งเข้า
ใจว่า
คงเกิดจากความเกรงใจฝ่ายการเมืองในยุคต่อๆ มา เห็นได้ว่าหลัก
นิติธรรมไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาในทางปฏิบัติที่ตัวบุคคล..."
อ่านข่าวต่อได้ที่:
http://www.thairath.co.th/content/626320
จากคำกล่าวของนายชวน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเครื่องแสดงว่า :
1. สิ่งที่พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายร้องเรียนนายไชยบูลย์
เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย เป็นความจริง
2. การที่นายไชยบูลย์ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองแสดงว่าตนได้
พา
วัดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองก่อน
3. การที่นายไชยบูลย์ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองแสดงว่าตนเองก็รู้ดี
แก่ใจว่าตนได้ทำผิดจริง และถ้าสู้คดีกันในศาลตามปกติต้องถูกศาลพิพากษาลง
โทษแน่นอนจึงหาทางแทรกแซงการทำงานของกระบวนการยุติธรรม นั่นคือ
นายไชยบูลย์
ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม แต่ต้องการบิดเบือนความยุติธรรมให้ตนรอดพ้นจากความผิด
แม้จะผิดหลักความยุติธรรมก็จะเอา
4.
นายไชยบูลย์ไม่สนใจความยุติธรรม กลัวความยุติธรรม ที่สาวกมาอ้างความ
ยุติธรรมจึงเป็นการหลอกลวงประชาชน และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมนายไชยบูลย์จึงหนีสุดชีวิต
ไม่ยอมเข้ามอบตัว
5. ที่มีคนโจษจันกันว่า ในท้ายที่สุดนายไชยบูลย์ได้ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมือง
ใหญ่ซึ่งขณะนี้อยู่ต่างประเทศให้ช่วยเหลือและนักการเมืองผู้นั้นช่วยให้มีการถอนคดี
จึงเชื่อว่าเป็นความจริง และเท่ากับนายชัยบูลย์นำวัดเข้าไปสู่วงการเมืองครั้งที่สอง
นายชวน หลีกภัย ยืนยันธรรมกายมาขอให้ช่วยเหลือในคดีฟ้องธัมมชโยตอนตนเป็นนายกรัฐมนตรี
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวในการแสดงปาฐกถาที่หอ
ประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559มีความ
ตอนหนึ่งว่า
" ...เราเป็นนักการเมือง ถ้าให้ทำผิดหลักการเราทำไม่ได้ ตัวอย่างกรณี
เรื่องวัดพระธรรมกายที่เกิดในสมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีคนมาร้อง
ว่าเอาที่ดินวัดใส่ในชื่อพระ ทำไม่ได้ ซึ่งเราต้องให้ความเป็นธรรมและ
ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อหลักฐานชัดว่า ทางวัดมีความผิดอัยการก็
สั่งฟ้อง ทางวัดก็มาขอให้ตนช่วย แต่แต่บอกไปว่า ทำไม่ได้เพราะมี
พยานหลักฐานชัดเจน ต่อมา เขาใช้เวลาสืบพยาน 4-5 ปี ที่สุดอัยการ
ยกฟ้อง(ข้อเท็จจริงคือถอนฟ้อง)โดยบอกว่าได้นำที่ดินคืนไปแล้ว ซึ่งเข้า
ใจว่าคงเกิดจากความเกรงใจฝ่ายการเมืองในยุคต่อๆ มา เห็นได้ว่าหลัก
นิติธรรมไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาในทางปฏิบัติที่ตัวบุคคล..."
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/626320
จากคำกล่าวของนายชวน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเครื่องแสดงว่า :
1. สิ่งที่พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายร้องเรียนนายไชยบูลย์
เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย เป็นความจริง
2. การที่นายไชยบูลย์ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองแสดงว่าตนได้พา
วัดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองก่อน
3. การที่นายไชยบูลย์ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองแสดงว่าตนเองก็รู้ดี
แก่ใจว่าตนได้ทำผิดจริง และถ้าสู้คดีกันในศาลตามปกติต้องถูกศาลพิพากษาลง
โทษแน่นอนจึงหาทางแทรกแซงการทำงานของกระบวนการยุติธรรม นั่นคือนายไชยบูลย์
ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม แต่ต้องการบิดเบือนความยุติธรรมให้ตนรอดพ้นจากความผิด
แม้จะผิดหลักความยุติธรรมก็จะเอา
4. นายไชยบูลย์ไม่สนใจความยุติธรรม กลัวความยุติธรรม ที่สาวกมาอ้างความ
ยุติธรรมจึงเป็นการหลอกลวงประชาชน และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมนายไชยบูลย์จึงหนีสุดชีวิต
ไม่ยอมเข้ามอบตัว
5. ที่มีคนโจษจันกันว่า ในท้ายที่สุดนายไชยบูลย์ได้ไปขอความช่วยเหลือจากนักการเมือง
ใหญ่ซึ่งขณะนี้อยู่ต่างประเทศให้ช่วยเหลือและนักการเมืองผู้นั้นช่วยให้มีการถอนคดี
จึงเชื่อว่าเป็นความจริง และเท่ากับนายชัยบูลย์นำวัดเข้าไปสู่วงการเมืองครั้งที่สอง